Elixir Supplier - ตอนที่ 542
542 คือหนึ่งภูเขาและหนึ่งค่ายกล
ตัวเนินเขามีความสูงไม่ถึง 30 เมตรด้วยซ้ำ แต่มันมีความต่างระหว่างการเดินขึ้นกับเดินลงอยู่
“ภูเขาลูกนี้คือค่ายกลขนาดใหญ่!” หลินซือเทาหันกลับไปมองเนินเขาหนานชานที่อยู่เบื้องหลังเขา
“ค่ายกลขนาดใหญ่เหรอ?” อาหาวหันกลับไปมอง เขามีนั้นต่างไปจากหลินซือเทา เพราะเขายังมีประสบการณ์ไม่มากและไม่เคยได้พบเห็นของแบบนี้มาก่อน “มันจะต้องเป็นแบบนั้นแน่ ถ้าไม่อย่างนั้น อากาศมันจะต่างกันขนาดนี้ได้ยังไง? แล้วทำไมภูเขาทั้งลูกถึงยังเขียวชอุ่มในฤดูกาลนี้ได้ล่ะ?”
“ไม่แปลกใจเลย ที่เขาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้” หลินซือเทาพูด “ฉันคิดว่า มันจะต้องเป็นเพราะภูเขาลูกนี้แน่ๆ”
ถ้าหากหวังเย้าอยู่ตรงนี้ พวกเขาคงจะพูดสรรเสริญเขาไม่หยุด และการที่เขาอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ ก็เป็นเพราะว่าภูเขาที่อยู่เบื้องหลังของพวกเขานี้เอง
“เขาเช่าภูเขาลูกนี้ใช่ไหมครับ?” อาหาวถาม
“ใช่” หลินซือเทาพูด “สงสัยจริงๆว่ามันเป็นยังไง”
“มันพอไหมครับ?” อาหาวถาม
“พอเหรอ?” หลินซือเทาเงียบไป ไม่นานเขาก็เข้าใจความหมายของอาหาว “ใช่ มันคงจะไม่พอ เรากลับไปคุยกับนายน้อยกันเถอะ ให้เขาจัดการเรื่องนี้เอง”
…
หวังเย้าไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดเรื่องอะไรหลังจากผ่านเหตุการณ์นี้ไป เขายังคงอยู่บนเนินเขาหนานชาน โสมซานซี, เสวียเจี๋ย, โท้วกู่เฉา…
เขาขาดสมุนไพรไปสองตัว เขาจึงโทรไปหาหลี่เม่าชวง
“ไม่มีปัญหา ฉันจะส่งไปให้นายให้เร็วที่สุด” หลี่เม่าชวงพูด
“ขอบคุณครับ” หวังเย้าพูด
เขาลงไปจากเนินเขาในตอนเที่ยง เมื่อไปถึงที่บ้าน เขาก็ได้ยินเสียงแม่ของเขากำลังพูดถึงเรื่องที่ชาวบ้านกำลังจะแลกบ้านกับอพาร์ทเมนต์กัน
“มีบ้าน 100 กว่าหลังที่จะแลกบ้านกับอพาร์ทเมนต์” เธอพูด
“100 กว่าหลังเลยเหรอครับ? นั่นไม่ใช่ครึ่งหนึ่งของหมู่บ้านเลยเหรอ?” หวังเย้าถาม
“ก็เกือบจ๊ะ ช่วงนี้ มีชาวบ้านหลายคนไปดูที่ที่เขากำลังก่อสร้างกันอยู่ แล้วการก่อสร้างก็เร็วมากด้วย” เธอตอบ
“แม่ก็ไปที่นั่นมาด้วยเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ไม่ได้ไปหรอกจ๊ะ” จางซิวหยิงยิ้มและโบกมือ
“เชื่อผมนะครับแม่ อยู่ที่หมู่บ้านของเราก็ดีอยู่แล้ว” หวังเย้าพูด
“อืม พ่อเขาก็พูดแบบนั้นเหมือนกัน” จางซิวหยิงพูด
หลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว หวังเย้าไม่ได้กลับขึ้นไปบนเนินเขาหรือไปที่คลินิก แต่เขาเข้าไปซื้อของในเมืองเป็นเพื่อนแม่และแวะไปเยี่ยมพี่สาวของเขา
“อะไรนะ? จะซื้อบ้านเหรอ?” เมื่อได้เจอกับหวังรุ่ย พวกเขาก็ได้รู้ว่าตู้หมิงหยางคิดที่จะซื้อบ้านหลังใหม่
“ราคาเท่าไหร่เหรอ?” จางซิวหยิงถาม
“ก็พอสมควรค่ะ” หวังรุ่ยพูด
“ถ้าเงินไม่พอ ลูกต้องบอกแม่นะ” จางซิวหยิงพูด
เมื่อตู้หมิงหยางรู้ว่าแม่ยายในอนาคตของเขาจะมาเยี่ยม เขาก็รีบออกจากงานเพื่อไปซื้อของเป็นเพื่อนพวกเขา
“เธอไม่ต้องมาเป็นเพื่อนป้าหรอก” จางซิวหยิงพูด “กลับไปทำงานเถอะ งานของเธอคงจะยุ่งมาก”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ” เขาพูด “นี่เป็นเรื่องที่ผมควรทำอยู่แล้ว”
เมื่อเขาบอกกับหวังรุ่ยว่าเขาคิดจะซื้อบ้าน เธอก็นำเงินเก็บจำนวนหลายแสนหยวนออกมา ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกซึ้งใจมาก เขาคิดที่จะเขียนชื่อของพวกเขาทั้งสองคนลงในชื่อเจ้าของบ้าน ในเมื่อพวกเขาจะแต่งงานกันอยู่แล้ว มันคือเรื่องในระยะยาว ไม่ใช่การละเล่นของเด็กๆ
ตู้หมิงหยางพาพวกเขาไปทานอาหารกันที่ร้านอาหารดีดีร้านหนึ่ง หวังเย้าและแม่ของเขากลับไปถึงที่บ้าน ก็เป็นเวลาสองทุ่มกว่าแล้ว
…
วันต่อมา มีแขกคนหนึ่งเดินทางไปที่ที่ทำการผู้ใหญ่บ้าน และยังเป็นแขกที่มีเกียรติมากอีกด้วย
“ซุนหยุนเชิง!” หวังเจียนหลี่รู้สึกประหลาดใจกับการมาเยือนในครั้งนี้
“มีเรื่องอะไรก็เชิญพูดมาได้เลยนะ” หวังเจียนหลี่รีบพูด
ซุนหยุนเชิงมีบริษัทใหญ่อยู่เบื้องหลังเขา เพราะแม้แต่ผู้นำเขตและเมืองก็ยังเคารพเขา
“ผมอยากจะทำสัญญาเช่าเนินเขาที่อยู่รอบๆหมู่บ้านครับ” ซุนหยุนเชิงพูด
“ทำสัญญาเช่าเนินเขาเหรอ?” หวังเจียนหลี่ตกตะลึง
เนินเขาทางทิศตะวันตกและออกของหมู่บ้านมีพื้นที่ค่อนข้างจำกัด เพราะภูเขาเหล่านั้นเต็มไปด้วยหินและพื้นดินที่ขรุขระ มีพื้นที่เพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่สามารถทำการเกษตรได้ ดังนั้น การเช่าภูเขาเหล่านี้จึงเป็นเรื่องไร้ประโยชน์
“อะไรนะครับ? มันมีปัญหาอย่างนั้นเหรอครับ?” ซุนหยุนเชิงถาม
“อ้อ ไม่ใช่หรอก แต่ฉันต้องขอคิดดูก่อนน่ะ” หวังเจียนหลี่พูด “แล้วก็ต้องขอความเห็นจากสมาชิกคนอื่นด้วย”
“ได้ครับ ผมไม่รีบอยู่แล้ว” ซุนหยุนเชิงพูด
หลังจากที่พวกเขาคุยกันเสร็จแล้ว ซุนหยุนเชิงก็ขอตัวกลับ
เช่าเนินเขาเปล่าๆพวกนั้นน่ะเหรอ? หวังเจียนหลี่รู้สึกงุนงง เขาจะเช่าเนินเขาพวกนั้นไปทำไมกัน? หรือเขาจะเจออะไรที่นั่นเข้า?
เขาไม่ได้รีบร้อนคุยกับสมาชิกที่เหลือ แต่เลือกที่จะไปปรึกษากับภรรยาของเขาก่อน
“เช่าเนินเขาเปล่าเหรอ?” เธอถาม
“ใช่แล้วล่ะ” หวังเจียนหลี่พูด
“นั่นก็ถือเป็นเรื่องดีนะ” เธอพูด “ภูเขาพวกนั้นเอาไปทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ถ้ามีคนมาเช่าไปก็จะดีมาก”
“แต่เขาจะเช่าไปทำอะไรล่ะ?” หวังเจียนหลี่ถาม
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณล่ะ?” ภรรยาของเขาถาม “อาจจะเป็นเพราะเขารวยและอยากจะลงทุนอะไรสักอย่าง หรืออาจจะเป็นเพราะเขาอยากจะปลูกผักผลไม้บนเขาก็ได้ ไม่ใช่ว่าคนในเมืองเขาชอบกินอาหารปลอดสารพิษกันเหรอ?”
หลังจากที่ปรึกษากับภรรยาของเขาแล้ว เขาก้ตัดสินใจไปคุยกับสมาชิกกรรมการหมู่บ้านในตอนกลางวัน ซึ่งพวกเขาส่วนใหญ่รวมตัวกันอยู่ที่ที่ทำการหมู่บ้าน
“เช่าเนินเขารกร้างเหรอ?” หนึ่งในสมาชิกถาม
“บางทีเขาอยากจะเลี้ยงอะไรสักอย่างก็ได้” สมาชิกอีกคนพูด
“เราไม่เข้าใจความคิดของพวกคนรวยหรอก” หวังเจียนหลี่พูด “ทุกคนคิดว่ายังไง? เราจะให้เขาทำสัญญาเช่าไหม?”
“ทำไมจะไม่ให้ล่ะ?” สมาชิกพูด “นี่เป็นเรื่องดีสำหรับพวกเรา ขอแค่ไม่ส่งผลเสียอะไรก็พอ ถึงยังไงภูเขาสองลูกนั้นก็เอาไปใช้ทำอะไรไม่ได้ นอกจากปลูกเชอร์รี่กับเกาลัด ซุนเจิ้งหรงมีสถานะที่ไม่ธรรมดา ถ้าเราไม่ใช่เขาเช่า เขาก็อาจจะเข้าไปคุยกับทางเขตโดยตรง ไม่รู้ว่ามีคนมากแค่ไหนที่อยากจะเข้าหาเขาก่อน”
“ใช่ แล้วยังมีชาวบ้านหลายคนที่กำลังรออพาร์ทเมนต์ในเมืองอีก” สมาชิกคนหนึ่งพูด
นี่ถือเป็นเหตุผลที่สำคัญที่สุด ถ้าหากซุนหยุนเชิงรู้สึกไม่พอใจเพราะเรื่องนี้ เขาก็อาจจะยกเลิกทุกอย่าง แล้วคนในหมู่บ้านก็จะมาเอาเรื่องกับพวกเขาที่เป็นกรรมการหมู่บ้าน
พวกเขาจึงเริ่มปรึกษากันเรื่องการทำสัญญา เนินเขาทางทิศตะวันตกและออกสามารถทำสัญญาเช่าได้เลย
“เนินเขาสองลูกนั้นติดกับเนินเขาหนานชานที่เสี่ยวเย้าเช่าอยู่ด้วย แต่เรื่องนี้ก็สามารถอธิบายให้เขาเข้าใจได้” สมาชิกอีกคนพูด
เมื่อเรื่องทุกอย่างตกลงกันได้แล้ว หวังเจียนหลี่จึงเดินทางไปที่บ้านพักของตระกูลซุนด้วยตัวเอง และบอกเรื่องนี้กับซุนหยุนเชิง
“ไม่มีปัญหาครับ ผมต้องการพูดให้ชัดเจนตอนนี้เลยนะครับ ว่าเนินเขาทั้งหมดที่ผมจะทำสัญญาเช่านั้น ผมจะโอนเจ้าของให้กับคนอื่น” ซุนหยุนเชิงพูด
“โอนให้กับคนอื่น? ใครเหรอ?” หวังเจียนหลี่ถาม
“หมอหวังครับ” ซุนหยุนเชิงพูด
“เสี่ยวเย้าน่ะเหรอ?” หวังเจียนหลี่ตกตะลึง
“ครับ แต่อย่าบอกให้ใครรู้นะครับ” ซุนหยุนเชิงพูด
เมื่อหวังเจียนหลี่ออกมาจากบ้านตระกูลซุนแล้ว เขาก็ยังคงรู้สึกสับสนไม่หาย เขาไม่เข้าใจว่า ทำไมชายหนุ่มคนนี้ถึงได้อยากจะเช่าเนินเขาให้กับเสี่ยวเย้า หรือเสี่ยวเย้าจะมีที่ปลูกสมุนไพรไม่พอ? แต่ฉันก็ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้จากปากของเสี่ยวเย้ามาก่อนเลย
เขาเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ และไม่ได้บอกกับภรรยาของเขา
…
เมื่อมาถึงคลินิก พันจวินก็เรียนเทคนิคการนวดกับหวังเย้า เวลาประมาณบ่าย 4 โมง หลี่เม่าชวงก็ขับรถเข้ามาในหมู่บ้าน เพื่อเอาสมุนไพรมาให้หวังเย้า
“ขอบคุณครับ” หวังเย้าพุด
“ไม่เป็นไร” หลี่เม่าชวงพูด เขามองดูพันจวินที่กำลังตั้งใจเรียนอยู่และถามด้วยรอยยิ้มว่า “นี่ นายมาเรียนที่นี่อย่างนั้นเหรอ?”
“ใช่แล้วล่ะ” พันจวินพูด
“โอ้ คงเหนื่อยน่าดูเลยนะ” หลี่เม่าชวงพูด
เมื่อคนเราเริ่มเข้าสู่วัยกลางคน ก็มีอยู่ไม่มากที่คิดจะเรียนต่อ
“พรุ่งนี้พี่ว่างรึเปล่าครับ?” หวังเย้าถาม
“ว่างสิ” หลี่เม่าชวงพูด “นายถามทำไมเหรอ?”
“ไปกินข้าวกันนะครับ ผมเป็นเจ้ามือเอง” หวังเย้าพูด
หลี่เม่าชวงตกลงทันที
“ดีครับ เจอกันที่เดิมนะครับ” หวังเย้าพูด
หลังผ่านตรุษจันมา หวังเย้าก็อยากจะเชิญเขากินอาหารเย็นด้วยกัน เขามักจะติดต่อกับเพื่อนๆอยู่เป็นประจำ ตอนตรุษจีน ทุกคนล้วนแล้วแต่แวะมาที่บ้านของเขาเพื่อสวัสดีปีใหม่ ในหมู่เพื่อนทั้งหมดของเขา หวังเย้าคือคนที่อายุน้อยที่สุด ตามจริงแล้ว หวังเย้าควรจะเป็นคนเยี่ยมเพื่อนคนอื่นๆมากกว่า
“โรงพยาบาลของเราอยากจะจ้างผู้เชี่ยวชาญมาเป็นที่ปรึกษาด้วยนะ” พันจวินพูด “อาจารย์สนใจไหม?”
“ผมเก่งขนาดนั้นเลยเหรอ?” หวังเย้าถามด้วยรอยยิ้ม
“ถ้านายไม่เก่ง แล้วใครจะเป็นใครได้ล่ะ?” พันจวินถาม
“ผมไม่ไปหรอก พี่ก็รู้ว่าผมไม่ชอบอะไรแบบนี้” หวังเย้าพูด
พันจวินพยักหน้ารับ
เมื่อหวังเย้าปิดประตูคลินิก เขาก็เห็นคนคนหนึ่งรีบร้อนวิ่งมาที่เขาพร้อมกับเด็กน้อยที่ร้องไห้ไม่หยุด
“เสี่ยวเย้า เธอช่วยดูอาการของเด็กคนนี้ให้หน่อยได้ไหม?” ชายคนนั้นมีท่าทีตื่นตระหนก
หวังเย้าจึงรีบเปิดประตูคลินิกในทันที