Elixir Supplier - ตอนที่ 544
544 สายเกินไปที่จะมาสำนึกเสียใจทีหลัง
“ผมต้องบอกผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดให้คุณได้รู้เอาไว้ก่อน อย่าโกรธผมเลยนะครับ” หวังเย้าพูด “ถ้าดูจากสถานการณ์ของเธอในตอนนี้แล้ว ตอนที่เธอกลับมา ผมกลัวว่า ผมคงจะรักษาเธอไม่ได้แล้ว”
เขาไม่ได้ตื่นตูมเกินไป แต่เป็นเพราะโรคที่ต้องรักษานั้นยากมาก หลังจากที่ได้รับการรักษาไประยะหนึ่ง ร่างกายของเธอก็ฟื้นตัวขึ้นมาเพียงเล็กน้อย พวกเขากำลังเตรียมที่จะเข้าสู่การรักษาในขั้นต่อไป แต่เธอดันกลับบ้านเพื่อไปดูแลแม่ที่ป่วยหนัก
ความกตัญญูของเธอเป็นสิ่งที่น่ายกย่อง แต่ไม่สมเหตุสมผล เพราะมันจะเป็นการดูดกลืนชีวิตอันน้อยนิดของเธอให้น้อยลงไปอีก สาเหตุสำคัญของการเกิดโรคคือร่างกายที่อ่อนแอและภูมิต้านทานที่ต่ำ โดยทั่วไป ขอแค่การไหลเวียนของโลหิตและพลังฉีเป็นปกติ ร่างกายก็จะไม่เจ็บป่วยด้วยโรคร้าย
“ฉันจะลองกลับไปพูดกับเธออีกรั้ง” ศาสตราจารย์ลู่พูด แล้วเขาก็จากไปอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับขามา
หวังเย้าถอนหายใจเบาๆ เวินหว่านเป็นลูกที่กตัญญูต่อพ่อแม่ แต่เธอไม่ควรไม่สนใจสุขภาพร่างกายของตนเอง
…
ในสายตาของหวังยี่หลง หวังเจ๋อเชิงผู้เป็นลูกชายของเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก มันเหมือนกับการเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ลูกสะใภ้ของเขาจัดการทำความสะอาดและและทำเตียงในห้องนอนของเขาใหม่ ลูกชายของเขาเป็นคนทำความสะอาดและซื้อฮีตเตอร์เครื่องใหม่มาไว้ในห้องของเขา เขามักจะพูดคุยเป็นเพื่อนพ่อของเขา ซึ่งมันไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเลยตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ชายชราจึงรู้สึกซาบซึ้งใจ แต่เขาก็รู้สึกกลัวด้วยเช่นกัน
หวังเจ๋อเชิงมาหาชายชราในตอนเช้าตรู่
“พ่อ เมื่อคืนนอนหลับสนิทดีไหม?” เขาถาม
“พ่อหลับสนิทดี” ชายชราพูด “เจ๋อเชิง ลูกมีเรื่องอะไรอยากจะบอกกับพ่อรึเปล่า?”
พฤติกรรมที่ผิดปกติของลูกชาย ทำให้ชายชราคิดว่า ลูกชายอาจจะกำลังซ่อนอะไรบางอย่างจากเขาอยู่
“ไม่มีนี่” หวังเจ๋อเชิงพูด “ผมจะซ่อนอะไรได้ล่ะ? พ่อคิดมากเกินไปแล้ว”
สองวันก่อน หวังเจ๋อเชิงนำผลตรวจจากโรงพยาบาลประจำเขตเหลียนชานเข้าไปในตัวจังหวัด เขาได้ปรึกษากับหมอของโรงพยาบาลประจำจังหวัด พวกเขาได้ยืนยันเรื่องผลตรวจ และทางผู้เชี่ยวชาญก็ได้บอกว่า ถ้าเขารู้สึกไม่สบายใจ ก็ให้เขาพาพ่อของเขามาตรวจที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดอีกครั้งได้ ซึ่งมันจะทำให้มั่นใจได้มากกว่า หวังเจ๋อเชิงยังได้รับการบอกกล่าวมาด้วยว่า มันไม่มีวิธีรักษาพ่อของเขาให้หายจากโรคนี้ได้ แล้วเขาก็ร้องไห้ออกมาในทันที
เขาเพิ่งจะสำนึกได้ แต่กลับพบว่าพ่อของเขากำลังจะตายจากโรคร้าย และคาดว่า ชายชราจะเหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่วันเท่านั้น เขาอยากจะดูแลพ่อของเขา แต่ตอนนี้พ่อของเขากำลังจะตาย มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าอย่างมาก
หวังเจ๋อเชิงวางแผนที่จะพาพ่อของเขาไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด เมื่อดูจากสภาพของชายชราแล้ว หวังเจ๋อเชิงตัดสินใจรอไปสักพัก ถ้าจะไป เขาก็ต้องรอสักสองสามวันก่อน เพื่อที่พ่อของเขาจะได้ไม่สงสัย
“ช่วงนี้ พี่สาวของลูกเขายุ่งมากเลยเหรอ?” ชายชราถาม
“ตอนนี้ พี่ยุ่งมาก” หวังเจ๋อเชิงพูด “ลูกสองคนก็ทำให้พี่ต้องเหนื่อยมากแล้ว”
หวังเจ๋อเชิงยังไม่ได้บอกกับพี่สาวของเขาว่า พ่อของพวกเขานั้นป่วยหนักอยู่ เขาอยากจะบอกเธอ แต่ตอนที่เขาโทรไปหาเธอ เขาก็พบว่าเธออยู่ที่โรงพยาบาลเพราะลูกชายของเธอป่วย และต้องฉีดยา ในเวลานั้น หวังเจ๋อเชิงจึงกลืนคำพูดทั้งหมดกลับไป เพราะเขารู้ว่ามันมีแต่จะทำให้พี่สาวของเขาต้องกังวลมากขึ้นกว่าเดิม
เขาเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ถ้าหากเรื่องนี้เกิดขึ้นในอดีต ไม่ว่ายังไงเขาก็จะบอกเธอให้ได้
หวังเจ๋อเชิงตัดสินใจที่จะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เขาถือว่ามันคือการชดเชยตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา
“แล้วลูกไม่เป็นอะไรใช่ไหม? ยังท้องเสียอยู่รึเปล่า?” พ่อของเขาถาม
“ผมไม่เป็นอะไรแล้ว” หวังเจ๋อเชิงพูด
มันเป็นเรื่องที่แปลกมาก ช่วงหลังมานี้เขายุ่งมาก เขาไม่มีเวลากินข้าวและนอนแทบไม่พอ แต่ร่างกายของเขากลับแข็งแรงดี โดยเฉพาะลำไส้ของเขา เขาไม่ถ่ายออกมาเป็นเลือดแล้ว และบาดแผลตามร่างกายก็เกือบจะหายดีแล้ว
มันคือเวรกรรมจริงๆน่ะเหรอ?
เดิมทีเขารู้สึกหัวเราะเยาะกับเรื่องพวกนี้ เพราะเขาไม่เคยเชื่อเลย แต่หลังจากที่หลายๆอย่างเกิดขึ้นกับร่างกายของเขา มันก็ทำให้เขาเริ่มเชื่อขึ้นมาบ้างแล้ว ถ้าหากไม่ใช่เพราะเวรกรรม แล้วจะอธิบายเรื่องนี้ได้ยังไง?
“พี่จะลองไปถามเสี่ยวเย้าดูหน่อยไหม? เผื่อว่าเขาจะมีทางช่วย” ภรรยาของเขาถามขึ้นมาในระหว่างที่กำลังทานอาหารกันอยู่
“เขาจะไปรักษาโรคนี้ได้ยังไงกัน?” หวังเจ๋อเชิงถาม “แต่ฉันก็ต้องขอบคุณเขาล่ะนะ”
หลังจากที่เขาทานอาหารเสร็จแล้ว เขาก็เดินไปที่คลินิก ซึ่งหวังเย้าก็เพิ่งจะมาถึงพอดี
“หมอหวัง” แม้แต่คำเรียกหวังเย้าก็ยังเปลี่ยนไปด้วย
“เข้ามานั่งข้างในก่อนสิครับ” หวังเย้าพูด
เขาสามารถบอกได้ว่า ไม่กี่วันมานี่ หวังเจ๋อเชิงเปลี่ยนไปมาก สิ่งที่เปลี่ยนไปมากที่สุดก็คือแววตาของเขา เหมือนอย่างที่คนพูดกันว่า ดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ แววตาของเขาแสดงถึงความอ่อนโยนและใจดี ถึงแม้ว่าเขาจะดูเหนื่อยอยู่เล็กน้อยก็ตาม จิตใจที่เหนื่อยล้าของเขาได้แสดงผ่านออกมาทางแววตาด้วยเช่นกัน
“ขอบคุณนะ” หวังเจ๋อเชิงพูด
“ขอบคุณผมเรื่องอะไรเหรอครับ?” หวังเย้าเทน้ำใส่แก้วให้กับเขา
“ขอบคุณที่ทำให้ฉันได้รู้ว่า ตัวเองเคยทำตัวเลวร้ายขนาดไหน” หวังเจ๋อเชิงพูด
“นั่นเป็นเพราะพี่ได้สติแล้วต่างหากล่ะครับ” หวังเย้าพูด
เขาไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากใช้ทริคเล็กๆน้อยๆเท่านั้น ในตอนเริ่มแรก เขาแอบตบไปบนร่างกายของหวังเจ๋อเชิง เขาจัดการเคลื่อนเส้นเลือดของหวังเจ๋อเชิงเล็กน้อย ซึ่งมันจะส่งผลต่อการทำงานของกระเพาะและการเคลื่อนไหวของแขนขาของหวังเจ๋อเชิง เขารู้ว่า เมื่อผ่านไปได้ 7-8 วัน หวังเจ๋อเชิงก็จะอาการดีขึ้นเอง ถ้าหากในช่วงเวลานั้นเขายังไม่สำนึก หวังเย้าก็คิดจะหาวิธีการอื่นเพื่อสั่งสอนเขา
“พ่อของฉันป่วยหนักมาเลยใช่ไหม?” หวังเจ๋อเชิงถาม
อาการป่วยของพ่อเขานั้นถูกค้นพบโดยหวังเย้า ซึ่งเป็นคนแนะนำให้ชายชราไปที่โรงพยาบาลขนาดใหญ่ให้เร็วที่สุด แต่โชคร้ายที่ตอนนั้นชายชราไม่ได้รับการรักษาทันเวลา
“มันร้ายแรงมากครับ” หวังเย้าพูด “พี่ได้พาคุณลุงไปโรงพยาบาลมารึยังครับ?”
“อืม ฉันพาเขาไปแล้ว หมอบอกว่า มันร้ายแรงมากและไม่สามารถรักษาได้!” ดวงตาของหวังเจ๋อเชิงแดงก่ำ มันไม่ใช่การแสดง แต่มันคืออารมณ์ความรู้สึกจริงๆของเขา
“อย่าเสียใจไปเลยครับ ตอนนี้ มันคือเวลาที่จะทำให้คุณลุงได้มีความสุขที่สุดต่างหาก” หวังเย้าพูด
“ฉันต้องโทษตัวเอง ฉันมันเป็นลูกที่แย่ ฉันรู้ว่าที่เขาป่วยก็เพราะฉัน” หวังเจ๋อเชิงพูด
หลายวันมานี้เขารู้สึกเสียใจมาก เมื่อคิดได้ว่า อาการป่วยที่พ่อของเขาเป็นนั้นเกิดขึ้นจากพฤติกรรมของเขาเอง หากคนเราอยู่ในอารมณ์ที่ดีและหัวเราะได้อย่างมีความสุข ก็จะไม่มีโรคภัยมากร่ำกราย เพราะพวกเขารู้สึกผ่อนคลายไม่มีเรื่องให้คิดมาก
ลักษณะนิสัยคือสิ่งที่แสดงออกมาจากหัวใจ โรคภัยก็เกี่ยวข้องกับหัวใจเช่นกัน พูดกันว่า ความสุขส่งผลต่อหัวใจ, ความโกรธส่งผลต่อตับ, การคิดส่งผลต่อม้าม, และความกลัวส่งผลต่อไต
อารมณ์ที่ขึ้นสูงสามารถส่งผลเสียต่อร่างกายได้ เมื่อเกิดขึ้นในระยะยาวก็จะส่งผลเสียที่ร้ายแรงกว่าเดิม พ่อของหวังเจ๋อเชิงทำงานหนักเพื่อเลี้ยงดูลูกชาย แต่ผู้เป็นลูกกลับทำตัวอกตัญญู เขาด่าตะคอกชายชราทุกวัน และทำเหมือนชายชราเป็นคนใช้ ชายชราจึงไม่สามารถอยู่ในอารมณ์ที่ดีได้ และอาจจะอยู่ในอารมณ์ขุ่นมัวตลอดเวลา และมันก็ทำให้เขาป่วย
หวังเย้าไม่ได้พูดอะไร มันสายเกินไปที่จะมาสำนึกเสียใจตอนี้ ถ้าหากมันเกิดขึ้นเร็วกว่านี้สักหลายปี ชายชราก็คงจะไม่ต้องป่วยหนักแบบนี้ มันน่าเสียดายที่ไม่มียาสำนึกเสียใจบนโลกใบนี้ หรือคำว่า “ถ้าหาก” ในหลายๆสถานการณ์
“หมอรักษาโรคนี้ได้ไหม?” ถึงแม้หวังเจ๋อเชิงจะไม่ได้หวังมากนัก แต่เขาก็ยังอยากจะถาม
“ผมสามารถช่วยลดความเจ็บปวดลงได้ แต่มันรักษาได้ยากมาก” หวังเย้าพูด
“แค่ลดความเจ็บปวดลงได้ก็ถือว่าดีมากแล้ว” หวังเจ๋อเชิงพูด
ถึงแม้ชายชราจะบอกว่าเขานอนหลับสนิทดี แต่เขารู้ดีว่า พ่อของเขามักจะตื่นขึ้นมากลางดึกเสมอ หลายคืนที่ผ่านมา หวังเจ๋อเชิงมักจะตื่นขึ้นมากลางดึกและแอบเดินไปที่ห้องชายชราเงียบๆ เขาสามารถได้ยินเสียงถอนหายใจของชายชรา ซึ่งมันฟังดูย่ำแย่มาก มันคงจะดีถ้าหากเขาทรมานน้อยลง
“แต่ยามันแพงมากนะครับ!” หวังเย้าจ้องตากับหวังเจ๋อเชิง
“แพงเหรอ?” หวังเจ๋อเชิงพูดอย่างลังเล “ไม่ต้องห่วง”
หวังเย้าคิด ดีมาก เขาเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ
“ตอนนี้ พี่กลับบ้านไปก่อนนะครับ” หวังเย้าพูด “ผมต้องคิดดูก่อน แล้วพี่ค่อยกลับมาเอายาวันพรุ่งนี้”
“ดี” หวังเจ๋อเชิงพูด “ขอบคุณนะ!” เขาลุกขึ้นยืนและโค้งคำนับให้กับหวังเย้า ก่อนที่เขาจะเดินออกไป
“พี่ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นเลย” หวังเย้ารู้สึกประหลาดใจ
หลังจากที่หวังเจ๋อเชิงกลับไปถึงบ้านแล้ว ภรรยาของเขาก็ถามขึ้นมา “เป็นยังไงบ้าง?”
“เขาบอกว่า เขาสามารถช่วยลดความเจ็บปวดลงได้ แต่เรื่องรักษานั้นยากมาก” หวังเจ๋อเชิงพูด
สองสามีภรรยาพูดกันเสียงเบา เพราะกลัวว่าจะไปรบกวนชายชรา และทำให้ชายชรารู้สึกสงสัยมากยิ่งขึ้นไปอีก
“อย่างน้อยก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย” ภรรยาของเขาพูด
“ยามันแพงมากด้วย” หวังเจ๋อเชิงพูด “แต่เราต้องทำ ถ้าเราจะต้องเสียเงินทั้งหมดที่มีไปก็ตาม”
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหา”