Elixir Supplier - ตอนที่ 560
560 ฝันมากเกินไป
“นี่ยาครับ” หวังเย้าพูด “วิธีการกินก็เหมือนเดิม แล้วสูตรยาที่ผมให้ไว้คราวที่แล้วยังอยู่ไหมครับ?”
“ยังมีอยู่ ผมเอาให้พ่อกินมาตลอดตั้งแต่ที่ได้มา” หวูถงหรงพูด
หวังเย้าได้ให้สูตรยาสมุนไพรที่มีสรรพคุณในการบำรุงร่างกายไป เพื่อให้พ่อของหวูถงชิ่งได้กิน
“เอายาให้เขาก่อนนะครับ” หวังเย้าพูด
หลังจากที่ชายชรากินยาเข้าไปแล้ว หวังเย้าก็รักษาเขาด้วยการฝังเข็ม เขาค่อยๆแทงเข็มลงไปตามร่างกายของชายชรา โดยเน้นไปที่ส่วนหัวใจและปอดของชายชราเป็นหลัก แพทย์ประจำตระกูลคอยเฝ้ามองการรักษาโดยไม่คลาดสายตา ในฐานะของแพทย์ประจำตระกูลที่มีสถานะสูงในสังคม เขาจึงมีความสามารถอยู่พอตัว เขามีความรู้ทั้งแพทย์แผนตะวันตกและแพทย์แผนจีน
การฝังเข็มเป็นการเข้าไปกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตและพลังฉี ทั้งยังช่วยให้การดูดซึมยาดีขึ้นด้วย มันยังสามารถกระตุ้นการทำงานส่วนต่างๆของร่างกายได้ด้าย แต่ร่างกายของชายชราเป็นเหมือนกับฟืนที่กำลังเผาไหม้ และเหลือเชื้อเพลิงเพียงน้อยนิด
“อาการของเขาดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ที่ผมเจอนิดหน่อยนะครับ” หวังเย้าพูด
คำพูดของเขาดูเหมือนไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด
หวังเย้าจับดูชีพจรของชายชราอีกครั้ง หลังจาที่ผ่านไปได้ 30 นาที
“ตอนนี้ อาการของเขาคงที่ดี ต้องให้เขากินยาตามปริมาณที่บอกไว้ทุกครั้งด้วยนะครับ” หวังเย้าพูด
หวังเย้าออกมาจากบ้านตระกูลหวู ส่วนเฉินหยิงก็อยู่เขาที่ด้านนอก จากนั้น เธอก็ขับรถพาหวังเย้าตรงไปยังอพาร์ทเมนต์ของน้าหวังเย้า
“สวัสดีครับ น้า” หวังเย้าพูดหลังจากที่เขาไปถึงที่อพาร์ทเมนต์
“สวัสดีจ๊ะ เสี่ยวเย้า มาปักกิ่งทำไมไม่บอกน้าก่อนล่ะ?” จางซิวฟางมีความสุขมากที่ได้เห็นหน้าหลานชายของเธอ
เธอดึงดันจะให้หวังเย้าอยู่ทานอาหารกลางวันด้วยกัน
“ขอโทษด้วยจริงๆครับน้า ผมนัดเพื่อนไปกินข้าวเที่ยงไว้แล้ว” หวังเย้าพูด
“ก็ได้จ๊ะ” จางซิวฟางพูด “แล้วข้าวเย็นล่ะ?”
“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกครับ” หวังเย้าพูด “แล้วลูกพี่ลูกน้องของผมจะสอบเข้ามหาลัยปีนี้ใช่ไหมครับ? เธอเตรียมตัวไปถึงไหนแล้ว?”
“ก็เหมือนเดิมแหละจ๊ะ เธอไม่ค่อยชอบเรียนเท่าไหร่” จางซิวฟางพูด
สามีของจางซิวเฟิงต้องย้ายมาอยู่ที่ปักกิ่ง ก็เพราะเขาต้องเข้ารับราชการทหารที่นี่ หลังจากที่ปลดเกษียณแล้ว เขาก็ได้งานทำที่ปักกิ่งต่อ เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมาก เพื่อพาภรรยาและลูกสาวของเขาเข้ามาอยู่ในปักกิ่งด้วยกัน เขาเลือกซื้ออพาร์ทเมนต์ในทำเลที่ดี เพื่อที่ลูกสาวของเขาจะได้เข้าเรียนในโรงเรียนดีดี แต่ดูเหมือนว่า ลูกพี่ลูกน้องคนนี้ของหวังเย้าจะไม่ได้สนใจเรื่องเรียนเท่าไหร่นัก และผลการเรียนของเธอก็มักจะออกมาไม่ดีเสมอ ถ้าเธอสามารถสอบเข้ามหาลัยชั้นนำได้ ก็แสดงว่าเธอต้องโชคดีอย่างมาก
“ถ้าลูกสาวน้าเก่งได้สักครึ่งของเสี่ยวเย้า น้าก็คงจะมีความสุขมาก” จางซิวฟางพูด
ด้วยผลการเรียนที่ดีในชั้นมัธยมของหวังเย้า ถ้าหากเขาได้มาเรียนที่ปักกิ่ง เขาก็คงจะได้เข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยชิงหัวหรือไม่ก็มหาวิทยาลัยปักกิ่ง
“อย่าคิดมากเลยครับ” หวังเย้าพยายามปลอบใจน้าของเขา
“เฮ้อ!” จางซิวฟางถอนหายใจออกมา
หวังเย้าไม่ได้อยู่ที่อพาร์ทเมนต์น้าของเขานานนัก เขายังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องทำ และมีแผนจะไปหาเฉินโจวบ่ายนี้
ลูกพี่ลูกน้องของเขากำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปีนี้ เฉินหยิงจำข้อมูลนี้เอาไว้
“เราไปกินข้าวกันดีไหมครับ?” หวังเย้าถาม “ผมเลี้ยงเอง”
“ค่ะ” เฉินหยิงพูด
ปักกิ่งเป็นเมืองที่มีจำนวนประชากรมหาศาล มีตึกสูงอยู่เต็มไปหมด และมีร้านอาหารทุกประเภทเท่าที่จะหาได้ ไม่ว่าจะเป็นอาหารตะวันตกหรืออาหารจีนทั้งโบราณและสมัยใหม่ ก็สามารถหาเจอได้ในละแวกเดียวกัน
เฉินหยิงนั้นรู้ความชอบของหวังเย้าอยู่แล้ว เธอจึงพาเขาไปที่ร้านอาหารจีนต้นตำรับ ซึ่งเชี่ยวชาญการทำอาหารสไตล์อานฮุย
(มณฑลอานฮุย ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีน)
หวังเย้ายังไม่เคยได้ลองกินอาหารอานฮุยมาก่อน
พวกเขาสั่งไก่อบ, ไผ่ภูเขา, ไก่ผัด, อกเป็ด, และผัดเห็ดใส่เกาลัด
ร้านอาหารได้จ้างพ่อครัวฝีมือดีเอาไว้ อาหารแต่ละจานจึงรสชาติดีมาก
“ผมคิดว่า ที่ที่มีร้านอาหารที่ดีที่สุดในจีนก็คือปักกิ่งนี้แหละครับ” หวังเย้าพูด
“เซียนเชิงชอบอาหารที่นี่ไหมคะ?” เฉินหยิงถามด้วยรอยยิ้ม “ที่นี่ มีร้านอาหารแบบนี้อยู่อีกหลายร้านเลยล่ะค่ะ”
หวังเย้ายิ้มตอบกลับไป เขาไม่มีปัญหา ถ้าหากมากินในร้านอาหารแบบนี้เป็นครั้งคราว แต่เขาก็ไม่ได้ชอบที่จะต้องออกมากินแบบนี้บ่อยๆ
หลังทานอาหารเสร็จแล้ว พวกเขาก็เดินทางไปที่โรงพยาบาลที่เฉินโจวรักษาตัวอยู่
เฉินโจวยังมีสติดีอยู่ และเขาก็เป็นแบบนี้มาได้สักพักแล้ว หากดูตามแนวทางการรักษาของทางโรงพยาบาล เขาก็สามารถออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว แต่เฉินโจวกลับอยากอยู่ต่ออีกสักพัก เผื่อว่าเขาอาจจะอาการกำเริบขึ้นมาอีก เขาไม่ต้องการกลายเป็นภาระของพี่สาว
“สวัสดีฮะ พี่” เฉินโจวพูด
“ว่าไง เสี่ยวโจว” เฉินหยิงพูด
“สวัสดีครับ หมอหวัง” ทั้งเฉินโจวและเฉินหยิง ต่างก็เรียกหวังเย้าแบบนี้เพื่อเป็นการแสดงความนับถือที่มีต่อเขา
“สวัสดี ช่วงนี้เธอเป็นยังไงบ้าง?” หวังเย้าถาม
“ผมสบายดีครับ” เฉินโจวพูด
“ดี” หวังเย้าพูด “เธอรู้สึกปวดหัวหรือมีอาการอะไรบ้างไหม? แล้วเห็นภาพหลอนบ้างรึเปล่า?”
“ไม่ครับ” เฉินโจวส่ายหน้า เขากลับมาที่โรงพยาบาลหลังจากที่ผ่านช่วงตรุษจีนไปแล้ว ตั้งแต่นั้นมา เขาก็สุขภาพแข็งแรงไม่มีปัญหาอะไรเลย
“แล้วเวลากลางคืนล่ะ? เธอฝันบ้างไหม?” หวังเย้าถาม
“ครับ ช่วงนี้ ผมฝันอยู่บ่อยๆ” เฉินโจวพูด
“เป็นฝันแบบไหนเหรอ?” หวังเย้าถาม
“อืม ความฝันของผมมันสับสนวุ่นวายมากเลย บางครั้งก็ฝันเห็น ตอนที่ผมยังเป็นเด็กและเล่นอยู่กับพี่ บางครั้งผมก็ฝันว่า ผมเป็นนักดาบอยู่ในโลกของจอมยุทธ์” เฉินโจวพูด
หวังเย้าเงียบไปครู่หนึ่ง เขายังไม่สามารถบอกได้ว่า อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เฉินโจวมีอาการแบบนี้ได้
“ฉันเอายามาให้เธอด้วย” หวังเย้าถามเฉินหยิง “พี่พาเขาออกจากโรงพยาบาลได้ไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“ฉันจะไปจัดการให้เดี๋ยวนี้เลยค่ะ” เฉินหยิงพูด
เธอจัดการเรื่องเอกสารทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ก่อนที่จะพาน้องชายของเธอกลับไปที่กระท่อม
หวังเย้าเอายาให้เฉินโจวกินเข้าไป เขาคอยสังเกตการณ์เปลี่ยนแปลงในทุกๆรายละเอียด โดยเน้นไปที่เส้นเลือดในบริเวณศีรษะของเฉินโจว เขาต้องการดูว่า เส้นเลือดจะมีการเคลื่อนตัวเหมือนกับครั้งก่อนหรือไม่
อย่างที่ฉันคิดไว้จริงๆ หวังเย้าคิด
ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ เฉินโจวยังคงมีสติดีทุกอย่าง
“เธอปกติดี” หวังเย้าพูด
เขาค่อนข้างมั่นใจว่า หลังจากที่เฉินโจวกินยาเข้าไปแล้ว อาการของเขาก็จะไม่กำเริบเป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือน
“เดือนหนึ่ง?” เฉินหยิงรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ยินเรื่องนี้
“ครับ ยาน่าจะช่วยให้เขามีสติได้ประมาณเดือนหนึ่ง ผ่านไปอีก 20 วัน ให้พี่พาเขามาหาผมที่คลินิก แล้วผมจะเอายาให้เขานะครับ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องพาเขากลับไปอยู่ที่โรงพยาบาลแล้วด้วย” หวังเย้าพูด
“เยี่ยม! ขอบคุณนะคะ” เฉินหยิงพูดอย่างมีความสุข “อีกเรื่องหนึ่ง ฉันบอกกับคุณซงไปว่าคุณมาที่นี่นะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ ไว้ผมค่อยแวะไปหาเธอ” หวังเย้าพูด
ซูเสี่ยวซวีมีความสุขมากที่ได้เจอหวังเย้า และมอบรอยยิ้มกว้างให้กับเขา
“สวัสดีค่ะ หมอหวัง” เธอพูด
“สวัสดี เสี่ยวซวี” หวังเย้าพูด เขารู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและความเยาว์วัยออกมาจากตัวของซูเสี่ยวซวี พร้อมกับความรู้สึกบางอย่างที่เขาเองก็บอกไม่ถูก มันเป็นสิ่งที่ดึงดูดให้เขาและซูเสี่ยวซวีเข้าใกล้กันมากขึ้น
“คุณมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“เมื่อวานน่ะ” หวังเย้าตอบ
“แล้วคุณจะอยู่อีกกี่วันคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“อีกสี่วัน” หวังเย้าพูด
ซงรุ่ยปิงไม่ได้เข้าไปแทรกบทสนทนาระหว่างพวกเขา เธอเพียงแค่นั่งมองลูกสาวของเธอและหมอหวังด้วยรอยยิ้ม
“เซียนเชิงคะ ช่วงหลังมานี้ ฉันรู้สึกได้ว่ากำลังภายในของฉันเพิ่มขึ้นด้วยค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“ฉันรู้สึกถึงมันได้” หวังเย้าพูด เขาคิดว่า สิ่งนี้น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เขารู้สึกใกล้ชิดกับซูเสี่ยวซวีมากขึ้น
เดิมที พลังฉีภายในร่างกายของซูเสี่ยวซวีก็เป็นหวังเย้าที่ส่งเข้าไปให้ และมันก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆโดยไม่ได้ตั้งใจ