Elixir Supplier - ตอนที่ 569
569 ความสุขอยู่ที่ใจ
พันจวินรู้สึกกังวลเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้มีโอกาสรักษาคนไข้ที่คลินิกของหวังเย้า ซึ่งต่างจากที่เขานวดให้ภรรยาที่บ้าน เขายังจดจำครั้งแรกที่เขาจับมีดในห้องผ่าตัดได้ดี เขาทั้งรู้สึกกังวลและตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกและเริ่มลงมือนวดรักษาให้กับคนไข้ทั้งสอง เขาทำอย่างช้าๆ แต่มือของเขายังคงนิ่งไม่เงอะงะ ถึงยังไงเขาก็เคยจับมีดผ่าตัดมาก่อน
พันจวินมีความคุ้นเคยกับเส้นเลือดและจุดฝังเข็มในร่างกายมนุษย์ดี เขายังได้เรียนความรู้พื้นฐานของการนวดมาแล้วเรียบร้อย เขาขาดเพียงแค่ภาคปฏิบัติ ดังนั้น เขาจึงยินดีกับโอกาสในครั้งนี้มาก
มือของเขาเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ เขาค่อยๆเพิ่มแรงเข้าไปทีละน้อย ซึ่งเป็นเทคนิคที่หวังเย้าสอนเขา
“โอ๊ย!” อยู่ๆร่างกายของคนไข้ก็บิดเล็กน้อย
“ขอโทษครับ คุณลุงเจ็บเหรอ?” พันจวินถามด้วยความกังวล
“ใช่ นิดหน่อยน่ะ” ชายชราพูด
“เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วครับ” หวังเย้าพูด การนวดไม่ได้หมายความว่า จะรู้สึกสบายและผ่อนคลายเสมอไป ความรู้สึกเจ็บ, คัน, หรือชาถือเป็นเรื่องปกติ “ทำต่อไปครับ”
พันจวินทำตามคำแนะนำของหวังเย้าไปเรื่อยๆ เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ
“ผมว่า เท่านี้น่าจะพอแล้วล่ะ” หวังเย้าพูด
การนวดรักษาดำเนินไปเกือบหนึ่งชั่วโมง
“รออีกสักพักนะครับ แล้วดูว่าคุณลุงจะรู้สึกดีขึ้นบ้างรึเปล่า” หวังเย้าพูดกับคนไข้
“ได้” ชายชราพูด
อาการของคนไข้ทั้งสองนั้นคล้ายคลึงกัน พันจวินมีความมั่นใจมากขึ้นในการรักษาคนไข้คนที่สอง ดังนั้น การเคลื่อนไหวของเขาจึงคล่องแคล่วกว่าเดิม การรักษาใช้เวลาประมาณ 10 นาที
คนไข้ทั้งสองต่างก็พอใจกับการนวดรักษาของพันจวิน ตอนมาที่คลินิก พวกเขาสองคนรู้สึกเจ็บขาและแทบจะเดินไม่ตรง แต่ตอนนี้ พวกเขารู้สึกดีขึ้นมากแล้ว
“อืม ฝีมือดีนะ” คนไข้พูด
หลังจากจ่ายค่ารักษาแล้ว คนไข้ทั้งสองก็กลับออกไป
“คิดว่ายังไงครับ?” หวังเย้าถาม
“มันเหมือนกับวันแรก ที่ฉันได้ช่วยชีวิตคนไข้ในห้องฉุกเฉินเลยล่ะ ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองได้รับรางวัลยังไงยังงั้น” พันจวินพูดด้วยรอยยิ้ม เขาบอกความรู้สึกที่ออกมาจากใจจริง
“พยายามมาที่นี่บ่อยๆเท่าที่จะทำได้นะครับ พี่จะได้มีโอกาสฝึกมือบ่อยๆด้วย แล้วพี่ก็สามารถเอามันไปใช้รักษาคนไข้ที่คลินิกพี่สาวของพี่ได้ด้วย” หวังเย้าพูด
คนไข้ส่วนใหญ่ที่มารักษากับหวังเย้า มักจะมาด้วยอาการปวดศีรษะหรือปวดขา การเรียนรู้ทั้งทางทฤษฎีและทางปฏิบัติ คือสิ่งสำคัญที่จะนำไปสู่การเป็นหมอที่ดีได้
“โอเค” พันจวินพูด
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ท้องฟ้าเริ่มมืดลง พันจวินขับรถออกไปจากหมู่บ้าน วันนี้ทั้งวัน เป็นวันที่ดีสำหรับเขามาก
“แม่ครับ น้ำพุร้อนที่หลี่เจียโกวเปิดให้เข้าได้แล้ว ผมว่าจะลองไปดูพรุ่งนี้ ไว้แม่ค่อยพาพ่อไปเที่ยวดูนะครับ” หวังเย้าพูด
“แม่ไม่สนใจหรอก” จางซิวหยิงบอกปัดในทันที ถึงหวังเย้าจะหวังดี แต่เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้ให้ความสนใจเลย “งานหมั้นของพี่สาวลูกจะจัดขึ้นในอีกสองวันนี้นะจ๊ะ อย่าลืมล่ะ”
“ไม่ลืมครับ” หวังเย้าพูด
สำหรับครอบครัวของเขาแล้ว มันคืองานใหญ่ที่สุดในปีนี้ของพวกเขา
ในเย็นวันนั้น ลูกชายของเวินหว่านรู้สึกเป็นห่วงเกี่ยวกับอาการป่วยของเธอมาก
“แม่รู้สึกเป็นยังไงบ้างครับ?” ลูกชายของเธอถาม
“แม่รู้สึกดีขึ้นมากแล้วจ๊ะ” เวินหว่านพูด
ยาที่หวังเย้าให้เธอกินได้ผลดีมาก เธอกินยาไปแล้วสองครั้งและรู้สึกดีขึ้นมาบ้างแล้ว ถึงแม้เธอจะยังรู้สึกเหนื่อยและไม่สบายตัวอยู่ แต่อาการก็ไม่ได้เลวร้ายเท่ากับเมื่อวาน
“ดีครับ ราตรีสวัสดิ์นะครับ” ลูกชายของเธอพูด
“ราตรีสวัสดิ์จ๊ะ” เวินหว่านพูด
หลังจากมองดูแม่ของเขาหลับไป ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ไม่บ่อยนัก เขาก็จัดการห่มผ้าให้เธอและเดินออกมาที่ลานบ้าน เขาจุดบุหรี่สูบ ศาสตราจารย์ลู่ก็สูบบุหรี่อยู่ที่ลานบ้านเช่นกัน
“แม่ของเธอหลับแล้วเหรอ?” ศาสตราจารย์ลู่ถาม
“ครับ ยาได้ผลดีมาก” ลูกชายของเวินหว่านตอบ “ลุงลู่ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ก็ได้นะครับ ผมดูแลแม่เองได้”
“ไม่เป็นไรหรอก ลุงทำเรื่องลางานเอาไว้แล้ว เธอคงไม่สามารถจัดการเรื่องทุกอย่างที่นี่ได้หมดหรอก” ศาสตราจารย์ลู่พูด
ลูกชายของเวินหว่านเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า “ผมไม่แน่ใจว่าเราจะอยู่ที่นี่กันนานแค่ไหน”
“เราจะอยู่ที่นี่จนกว่าเธอจะหาย” ศาสตราจารย์ลู่พูด
ลูกชายของเวินหว่านรู้สึกลังเลที่จะพาแม่ของเขามารักษาที่นี่ เพราะหมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่ในที่ห่างไกล และหมอก็อาจจะไม่เก่งพอที่จะรักษาแม่ของเขาได้ เขารู้สึกไม่ค่อยเชื่อมั่นในตัวหมอนัก เขาคิดว่า คงไม่มีหมอเก่งๆคนไหนที่จะอยากมาอยู่ในหมู่บ้านห่างไกลแบบนี้ หมอดีดีทั้งส่วนใหญ่มักจะทำงานอยู่ในโรงพยาบาลขนาดใหญ่กันทั้งนั้น ถ้าศาสตราจารย์ลู่ไม่คะยั้นคะยอ และแม่ของเขาไม่บอกว่าหมอหวังเป็นหมอที่เก่งขนาดไหนละก็ เขาก็คงจะส่งตัวแม่ของเขาไปรักษาในโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียง แทนที่จะมาหมู่บ้านเล็กๆแบบนี้ไปนานแล้ว
เขาดูอายุพอๆกับฉัน แต่กลับเป็นหมอที่เก่งมาก ทำไมเขาถึงอยากมาอยู่ในที่แบบนี้กันนะ? ลูกชายของเวินหว่านไม่เข้าใจ
ลมเริ่มพัดแรงและอากาศด้านนอกเริ่มเย็นลง
“เข้าไปข้างในกันเถอะ เธอยุ่งมาตลอดทั้งวันแล้ว เธอต้องพักผ่อนบ้างนะ” ศาสตราจารย์ลู่พูด
“ครับ” ลูกชายของเวินหว่านพูด
ยามกลางคืนในหมู่บ้านเงียบสงบ ศาสตราจารย์ลู่, เวินหว่านและลูกชายของเธอต่างก็นอนหลับสนิท
เช้าวันต่อมา หวังเจ๋อเชิงมาที่คลินิกของหวังเย้าตอนประมาณ 9 โมงเช้า เพื่อมาซื้อยาเพิ่ม
“กลับมาเอายาให้พ่อของพี่ตอนกลางวันนะครับ” หวังเย้าพูด
“ได้ๆ” หวังเจ๋อเชิงพูด
“พี่ก็ต้องดูแลสุขภาพของตัวเองด้วยนะครับ” หวังเย้าพูด
หวังเย้าคิดว่า สภาพของหวังเจ๋อเชิงดูโทรมลงไปมาก เขามีถุงใต้ตา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าร่างกายเหนื่อยล้าเกินไป
“โอเค” หวังเจ๋อเชิงพูด
เขาเปลี่ยนไปแล้ว ก่อนหน้านี้ เขาเพียงทำเกษตรที่บ้านและหางานทำเล็กๆน้อยๆในเมืองเท่านั้น เขามีเคยมีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่ง แต่ตอนนี้ เพื่อที่จะหาเงินมารักษาพ่อของเขา เขาได้ใช้เงินเก็บตลอดหลายปีไปจนหมด ถ้าเขายังคงใช้เงินแบบนี้ไปเรื่อยๆ เขาก็จะไม่มีเงินเหลือเลย แต่เขาได้สาบานเอาไว้แล้วว่า เขาจะให้พ่อของเขาได้มีชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุขสบายไปตลอดทั้งชีวิตที่เหลืออยู่ ในเมื่อเขาต้องซื้อยาของหวังเย้าต่อไปเรื่อยๆ เขาก็จำเป็นต้องหาเงินเพิ่ม ตอนนี้ เขาทำสองงาน และมันทำให้เขาเหนื่อยล้าอย่างมาก
“สุขภาพเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ถ้าพี่เกิดป่วยขึ้นมา ทุกอย่างที่พี่ทำก็จะกลายเป็นเสียเปล่าไปนะครับ” หวังเย้าพูด
“ฉันรู้ ฉันแค่อยากจะชดเชยสิ่งที่ฉันเคยทำกับพ่อไปก็เท่านั้นเอง” หวังเจ๋อเชิงพูด
มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่คนไม่ดีจะกลับตัวมาเป็นคนดีได้
“เอาแบบนี้นะครับ ผมจะทำยาให้พี่ต่อ แต่พี่จ่ายผมแค่ครึ่งเดียวไปก่อน” หวังเย้าพูด
“นายแน่ใจเหรอ?” หวังเจ๋อเชิงถามด้วยความประหลาดใจ
“ครับ” หวังเย้าพูด
“ถ้าอย่างนั้นก็เยี่ยมเลย! ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะจ่ายเงินนายแน่นอน” หวังเจ๋อเชิงพูด
ถ้าหากเขาต้องจ่ายเงินเพียงแค่ครึ่งเดียว เขาก็จะรู้สึกกดดันน้อยลงไปด้วย
“แล้วตอนกลางวัน ก็อย่าลืมพาพ่อของพี่มาที่นี่ด้วยนะครับ” หวังเย้าพูด
หวังเจ๋อเชิงบอกเรื่องที่หวังเย้าพูดกับเขาที่คลินิกให้ภรรยาของเขาได้รู้
“จ่ายแค่ครึ่งเดียวก็ดีสิ” ภรรยาของเขาพูด
“ใช่ ตอนนี้ ฉันรู้สึกกดดันน้อยลงมากเลยล่ะ” หวังเจ๋อเชิงพูด
“จริงด้วย ฉันได้ยินมาว่า อพาร์ทเมนต์ที่สร้างในตัวเมือง กำลังก่อสร้างกันเร็วมาเลยล่ะ เราสามารถเอาบ้านเก่าสองหลังของเราไปแลกกับอพาร์ทเมนต์ได้ด้วย ถ้าเราเงินขาดมือ เราก็ขายอพาร์ทเมนต์ออกไปซะ” ภรรยาของเขาพูด
“เธอพูดถูก เป็นความคิดที่ดีนะ” หวังเจ๋อเชิงพูด
ชาวบ้านส่วนใหญ่ต่างก็อยากจะขายบ้านในหมู่บ้านของพวกเขาออกไป เพื่อที่จะได้เอาเงินไปซื้ออพาร์ทเมนต์ในตัวเมือง อีกด้านหนึ่ง หวังเจ๋อเชิงกับภรรยาอยากจะขายอพาร์ทเมนต์ เพื่อที่จะได้เอาเงินไปรักษาพ่อของพวกเขา
หวังเย้าต้มยาอีกตัวในตอนเช้า เขากำลังรักษาคนไข้โรคมะเร็งสองคนในหมู่บ้าน
ฉันจะดูอาการของเขาในตอนกลางวัน และดูว่าจะทำยังไงต่อไป
หวังเย้ากลับมาที่คลินิกหลังจากที่ทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว หวังเจ๋อเชิงพาพ่อของเขามาที่คลินิกตอนบ่ายโมง
สีหน้าของหวังยี่หลงดูดีขึ้นมาก แก้มของเขาแดงเรื่อ และดวงตาสดใส เขาดูไม่เหมือนคนป่วยเลยสักนิด
หวังว่ามันจะไม่ใช่การฟื้นตัวก่อนตายนะ หวังเย้ารู้สึกประหลาดใจ เมื่อได้เห็นสภาพของหวังยี่หลงในตอนนี้
การที่คนไข้โรคมะเร็งดูแข็งแรงขนาดนี้ได้ มันเป็นเรื่องที่ผิดปกติอย่างมาก มีเพียงคนที่กำลังจะตายเท่านั้น ที่จะแสดงสีหน้าเปล่งปลั่งแบบนี้ได้
“ลุงยี่หลง เชิญนั่งก่อนครับ” หวังเย้าตรวจดูอาการของชายชราอย่างละเอียด
“ดีครับ คุณลุงแข็งแรงดี” หลังจากตรวจดูอาการของชายชราแล้ว หวังเย้าก็พูดออกมา
หลังจากมั่นใจแล้วว่า ชายชายไม่ได้กำลังจะตาย เขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ชายชราแข็งแรงดี เขาอาการดีกว่าที่หวังเย้าคาดไว้ซะอีก มันยังเป็นการยืนยันทฤษฎีการรักษาของเขาด้วยเช่นกัน อารมณ์ที่ดีจะช่วยเร่งให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น แม้แต่กับคนไข้โรคมะเร็งก็เช่นกัน
“ลุงยี่หลงครับ ช่วงนี้ลุงรู้สึกเป็นยังไงบ้าง?” หวังเย้าถาม
“ดี ลุงรู้สึกสบายดีมาก” ชายชราพูด “เมื่อวันก่อน ลุงยังเดินขึ้นไปบนเขาอยู่เลย”
“แล้วเรื่องความอยากอาหารล่ะครับ?” หวังเย้าถาม
“ก็ดีกว่าเมื่อก่อนมากนะ แล้วลุงก็ยังนอนหลับสนิทดีด้วย ยาของเธอได้ผลดีมากเลยล่ะ” ชายชราพูด
หวังเย้ามองเห็นถึงสภาวะอารมณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างมากของชายชรา ชายชรามีสีหน้ายิ้มแย้ม และยิ้มออกมาจากใจจริง ความสุขอยู่ที่ใจ อารมณ์ที่ดีทำให้คนดูดีขึ้นได้
เขายังคงป่วยอยู่ แต่การลุกลามได้ถูกควบคุมเอาไว้ได้แล้ว ยาของหวังเย้าได้ผล แต่อารมณ์ของเขาก็มีส่วนสำคัญกับเรื่องนี้มากเช่นกัน