Elixir Supplier - ตอนที่ 570
570 เรื่องใหญ่ เรื่องไม่สำคัญ
“นี่ครับยา” หวังเย้าพูด “กินยาเหมือนเดิมเลยนะครับ หลังจากกินหมดแล้วก็ให้กลับมาตรวจอีกรอบ”
“ได้ ดีๆ” ชายชราพูดอย่างมีความสุข สภาพจิตใจของเขาในเวลานี้ดีมาก
หวังเจ๋อเชิงพาพ่อของเขากลับไปที่บ้าน หลังจากนั้นสักพัก เขาก็หาข้ออ้างเพื่อออกจากบ้านและกลับไปที่คลินิก
“กลับมาทำไมอีกเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ฉันอยากจะรู้ว่า อาการพ่อของฉันเป็นยังไงบ้าง” หวังเจ๋อเชิงพูด เขาไม่กล้าถามเรื่องนี้ต่อหน้าชายชรา เพราะไม่ต้องการทำให้ชายชรารู้สึกสงสัยขึ้นมา
“อาการของคุณลุงดีกว่าหลายวันก่อนมากครับ” หวังเย้าตอบ
“จริงเหรอ?” หวังเจ๋อเชิงก็รู้สึกเช่นกันว่า พ่อของเขาอาการดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก
“เรื่องอารมณ์มีผลกับอาการของคุณลุงมากเลยนะครับ” หวังเย้าพูด
“ขอแค่พ่ออาการดีกว่าเดิมก็ถือว่าดีมากแล้วล่ะ” หวังเจ๋อเชิงพูดอย่างยินดี
“แล้วพี่มีอะไรอีกไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“ไม่มีแล้ว ฉันไปแล้วนะ” หวังเจ๋อเชิงจากไปพร้อมกับรอยยิ้ม
ความเงียบกลับสู่คลินิกอีกครั้ง
หวังเย้าลงมือทำยาสำหรับหวังยี่หลงและเวินหว่าน ตัวยาจำเป็นต้องใช่สมุนไพรที่เหนือกว่าสมุนไพรธรรมดาทั่วไป เขาจำเป็นต้องใช้สมุนไพรราก
สิ่งแรกที่เขาคิดถึงคือ หลิงชานจี เพราะมันมีความสามารถพิเศษในการขับไล่สิ่งไม่ดีออกไป สร้างกล้ามเนื้อ, บรรเทาความเจ็บปวด สิ่งไม่ดีทั้งหลายก็คือ สิ่งที่ส่งผลร้ายต่อร่างกายมนุษย์ กล้ามเนื้อนั้นรวมไปถึงเนื้อเยื่อด้วย คนไข้ทั้งสองรายล้วนมีอาการเจ็บปวดทรมาน ส่วนรากของหลิงชานจีมีฤทธิ์ในการบรรเทาความเจ็บปวด ซึ่งถือว่ามันเป็นสมุนไพรรากที่สุดยอดมาก
หลิงชานจีสามารถใช้รักษาคนไข้ได้ทั้งสองราย แต่พวกเขายังจำเป็นต้องรับสมุนไพรรากตัวอื่นด้วย เวินหว่านจำเป็นต้องฟื้นฟูอวัยวะสำคัญทั้งห้าและฟื้นคืนการทำงานให้กลับมาเป็นปกติ ธาตุหยินหยางของเธอก็จำเป็นต้องได้รับการปรับสมดุล
เดี๋ยวนะ! หวังเย้าคิดถึงขี้ผึ้งต้วนชื่อ ตั้งแต่ที่เขาทำเสร็จก็ไม่เคยได้เอาออกมาใช้งานเลยสักครั้ง
ตัวยาสุดยอดตัวนี้มีสุมนไพรทั้งหมดคือ โชวู, ปาเจียวถง, เฟยหลายเฟิง, และกุยหยวน มันสามารถนำมาเสริมในสิ่งที่ขาดไปได้
เขามองดูขี้ผึ้งสีเขียวเข็มในกระปุกยา ซึ่งมีสรรพคุณรักษาได้ทั้งภายนอกและภายใน มันเป็นสูตรยาที่เขาได้มาจากระบบ ราคาของมันจึงสูงตามไปด้วย หนึ่งโดสมีราคาสูงถึง 3 ล้านหยวน
เขาคิด ถ้าฉันไม่ได้ใช้หมดในทีเดียว ฉันก็คงไม่ต้องคิดราคาเต็มก็ได้ใช่ไหม?
ระบบพูด ‘คิดตามปริมาณที่ใช้’ เรื่องนี้ทำให้หวังเย้ารูสึกประหลาดใจมาก เพราะเป็นครั้งแรกที่เขาได้รับการตอบกลับแบบนี้จากระบบ
ช่วงนี้ สายลมที่พัดผ่านเย็นเล็กน้อย หวังเย้าเงยหน้ามองท้องฟ้าและคิดขึ้นในใจ สองสามวันจากนี้อากาศจะเย็นขึ้นอีก!
เขาไม่มีคนไข้ในตอนกลางวัน แต่กลับมีแขกที่คาดไม่ถึงมาหาแทน
“เว่ยห่าย พี่ไม่ได้มาที่นี่นานแล้วนะ!” หวังเย้ายิ้มและชงชาให้กับเขา
“พอดีมีเรื่องต้องจัดการที่ห่ายชิวหน่อยนะ” เว่ยห่ายพูด “ตอนนี้ บริษัทกำลังขยายตัวเพิ่มขึ้นอยู่”
“พี่ยังไม่ปล่อยมือเหรอ?” หวังเย้าถาม
“ฉันยังจำเป็นต้องดูบางเรื่องอยู่ แต่ฉันก็ยกงานส่วนใหญ่ให้พวกเขาจัดการไปหมดแล้ว” เว่ยห่ายพูด “ฉันจัดการแบ่งหุ้นใหม่ด้วย แล้วก็แบ่งให้นายด้วยนะ”
“หา?” หวังเย้าตกใจ “พี่กำลังล้อเล่นอยู่ใช่ไหม?”
“ก็ล้อเล่นน่ะสิ” หลังจากเห็นสีหน้าของหวังเย้าแล้ว เว่ยห่ายก็พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ถ้างั้นก็ดี” หวังเย้าพูดออกมาอย่างโล่งใจ
เว่ยห่ายมาที่เหลียนชานก็เพื่อไปพบกับเทียนหยวนถู พอเขาจะกลับไปที่บ้านในตอนกลางวัน เขาก็ตัดสินใจโผล่ไปหาหวังเย้าและคุยเล่นกับเขา เพราะพวกเขาทั้งสองไม่ได้เจอหน้ากันมาได้สักพักแล้ว
“ฉันได้ยินมาว่า คุณซุนถึงกับซื้อที่ดินในตัวเมืองเหลียนชานเพราะนาย” เว่ยห่ายพูด “แล้วฉันยังได้ยินมาด้วยว่า เขาลงทุนสร้างโรงงานและเตรียมจะลงทุนในห่ายชิวด้วย”
หวังเย้าเพียงแค่ยิ้มเท่านั้น
“เพียงแต่ว่า…ตอนนี้ ดูเหมือนว่าเขามีปัญหาอยู่น่ะสิ” เว่ยห่ายพูด
“ปัญหา? ปัญหาอะไรเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ช่วงนี้เขาถูกเบอร์ใหญ่ของจังหวัดหมายหัวอยู่น่ะสิ” เว่ยห่ายพูด “เรื่องต้องห้ามที่สุดสำหรับนักธุรกิจก็คือ การสนิทชิดเชื้อกับนักการเมือง เขาคิดว่า ตัวเองมีคนหนุนหลังอยู่ แต่เมื่ออีกฝ่ายร่วง เขาก็ได้รับผลกระทบเหมือนกัน ถึงอาณาจักรธุรกิจของเขาจะยิ่งใหญ่ แต่เขาก็อาจจะมีปัญหาเรื่องการเงินได้”
“ด้วยทรัพย์สินที่เขามีอยู่ คนจากจังหวัดคงจะไม่สามรถตรวจสอบเขาได้หรอก ใช่ไหมครับ?” ถึงหวังเย้าจะอยู่แต่บนเขา ยุ่งอยู่แต่กับเรื่องการรักษาและสมุนไพรทั้งวันทั้งคืน แต่เขาก็ไม่ได้เป็นเหมือนพระอยู่ในป่า ไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าเกิดอะไรขึ้นด้านนอกบ้าง เขายังพอรู้เรื่องราวข่าวสารต่างๆอยู่บ้าง เช่น เรื่องสถานการณ์ของตระกูลซุน การที่พวกเขามีอาณาจักรขนาดใหญ่ มันจึงมีธุรกิจมากมายรวมอยู่ในนั้น
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” เว่ยห่ายพูด “เพราะมันเป็นแค่ข่าวลือเท่านั้น แล้งพรุ่งนี้ นายมีเรื่องอะไรต้องทำรึเปล่า?”
“ทำไมเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“เอ่อ ก็แค่พวกเขาไม่ได้รวมตัวกันมาสักพักแล้วน่ะสิ ฉันเลยอยากจะชวนนายไปที่ห่ายชิวสักหน่อยน่ะ” เว่ยห่ายพูด
“ชวนพวกเขาได้เลยครับ แต่ผมคงไปไม่ได้” หวังเย้าพูด
“งั้นเราเลื่อนเป็นวันอื่นก็ได้นี่” เว่ยห่ายพูด
ทั้งสองพูดคุยกันจนกระทั่งท้องฟ้าเริ่มมืดลง หลังจากที่เว่ยห่ายกลับไปแล้ว หวังเย้าก็ปิดประตูและแขวนป้ายเอาไว้ พรุ่งนี้ เขาต้องเข้าไปในตัวเมืองเหลียนชาน เพื่อเข้าร่วมงานหมั้นของพี่สาว
ในตอนเช้า ดวงอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้า หวังเย้าตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ และขับรถพาพ่อแม่ของเขาเข้าไปในตัวเมืองเหลียนชาน
นี่เป็นการพบกันครั้งแรกกับพ่อแม่ของตู้หมิงหยาง พวกเขาทั้งสองดูใจดีและสุขภาพแข็งแรง ผิวพรรณของพวกเขาดูสดใสเปล่งปลั่ง
ดี! หวังเย้าคิดในใจ หลังจากที่ได้พบพวกเขาแล้ว พูดกันว่า ใบหน้าคือภาพสะท้อนของจิตใจ เมื่อดูจากสีหน้าของพวกเขาแล้ว แสดงได้ว่า พวกเขาเป็นคนที่ใจกว้าง ซึ่งหมายความได้ว่า พี่สาวของเขาจะไม่โดนรังแก หลังจากที่แต่งงานกับตู้หมิงหยางไปแล้ว เพราะความสัมพันธ์ระหว่างแม่สามีและลูกสะใภ้ เป็นปัญหาที่แก้ได้ยาก
ที่มากไปกว่านั้น พวกเขายังมีสุขภาพที่ดี ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความอายุยืน การจะมีอายุได้ มีอยู่หลายสาเหตุ แต่สำหรับหวังเย้าแล้ว การมีพฤติกรรมในการใช้ชีวิตที่ดีและมองโลกในแง่ดี คือลำดับแรกๆของการมีอายุยืน
หลังจบมื้ออาหาร พวกเขาพากันไปดูบ้านที่ตู้หมิงหยางเพิ่งจะซื้อไป พ่อแม่ของเขาได้ซื้อบ้านเอาไว้ให้แล้วหลังหนึ่ง แต่ตู้หมิงหยางเลือกจะมาซื้อที่นี่ เพราะมีทำเลที่ดีและมีพื้นที่ใช้สอยค่อนข้างกว้าง
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หวังเย้าก็ขับรถพาพ่อแม่ของเขากลับไปที่หมู่บ้าน
“ในที่สุด เธอกำลังจะแต่งงานแล้ว” จางซิวหยิงพูด
“แม่ โชคดีนะที่พี่ไม่ได้ยินที่แม่พูดน่ะ ถ้าไม่อย่างนั้น ผมไม่รู้เลยว่าพี่จะคิดยังไง” หวังเย้าพูด
“เธอจะคิดอะไรได้ล่ะ?” จางซิวหยิงถาม “มันเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็วอยู่แล้ว”
หวังเย้าดูออกว่า พ่อแม่ของเขามีความสุจมากแค่ไหน
มันเป็นเวลาเกือบบ่าย 3 โมงแล้ว ในตอนที่พวกเขากลับไปถึงที่บ้าน หลังจอดรถเรียบร้อย หวังเย้าก็เดินตรงไปที่คลินิก
…
ในบ้านหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ในหมู่บ้านกลางเขา ศาสตราจารย์ลู่กำลังนั่งสูบบุหรี่อยู่ที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง เขาสามารถมองเห็นภูเขาได้จากไกลๆ
มันเป็นเวลาสามวันแล้ว ที่เขามาอยู่ที่ที่ เขาเปลี่ยนจากคนที่เหน็ดเหนื่อย, เป็นกังวล, และนอนไม่หลับในวันแรกๆ กลายเป็นคนที่สงบนิ่งในที่สุด ดูเหมือนเขาจะชอบชีวิตในหมู่บ้านกลางเขาแบบนี้
แค่ก! แค่ก! เวินหว่านที่สวมเสื้อผ้าตัวหนาเดินออกมาจากตัวบ้าน
“เธอออกมาทำไมกัน?” ศาสตราจารย์ลู่รีบเข้าไปพยุงตัวเธอ
“นอนอยู่แต่บนเตียงคัง มันอึดอัดน่ะสิ” เธอตอบ “ฉันเลยอยากจะออกมาสูดอากาศสดชื่อข้างนอกบ้าง”
“มานั่งนี่ก่อน” ศาสตราจารย์ลู่หยิบเก้าอี้มาวางติดกับกำแพง
สายลมถูกกำแพงบ้านปิดกั้นทางเอาไว้ ในเวลานี้ แสงแดดส่องสว่างจ้า การได้อยู่ใต้ดวงอาทิตย์ได้ให้ความรู้สึกที่อุ่นสบาย
“คุณกลับไปเถอะค่ะ ให้โย่วเหรินจัดการเรื่องทุกอย่างที่นี่ก็พอแล้ว” เวินหว่านพูด
“ไม่ต้องห่วงนะ ฉันลางานกับทางมหาวิทยาลัยและบอกกับคนที่บ้านไว้แล้วเรียบร้อย” ศาสตราจารย์ลู่ทิ้งบุหรี่ไปที่พื้น “เธอรู้สึกเป็นยังไงบ้าง?”
“ฉันรู้สึกดีกว่าสองวันที่แล้วมาก” เวินหว่านพูด
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว” ศาสตราจารย์ลู่พูด
เวินหว่านมองดูชายที่นั่งอยู่ข้างๆเธอ เธอรู้จักกับเขามานานหลายสิบปี เธอไม่สามารถทำอะไรได้ เมื่อก้าวพลาดไปครั้งหนึ่ง ก้าวต่อๆไปก็กลายเป็นผิดพลาดไปหมด ในเมื่อพวกเขาได้มาพบกันอีกครั้ง พวกเขารู้ใจกันและรักกัน แต่พวกเขาไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้
“ฉันไม่มีค่าพอสำหรับทุกอย่างที่คุณทำให้ฉันหรอกนะ” เวินหว่านพูด
“เราก็อายุมากกันแล้ว อย่ามาพูดอะไรเด็กๆแบบนี้อีกเลย” ศาสตราจารย์ลู่พูด
“แล้วโย่วเหรินอยู่ไหนเหรอ?”
“เขายังเด็ก” ศาสตราจารย์ลู่พูด “ถ้าเขาอยู่ที่นี่นานๆ เขาก็คงจะเบื่อ ฉันก็เลยบอกให้เขาออกที่ยวเล่นบ้างน่ะ”
“มันคงจะเป็นเรื่องยากสำหรับเขามาก” เวินหว่านพูด
“ยากตรงไหนกัน?” ศาสตราจารย์ลู่พูด “มันเป็นเรื่องธรรมชาติและเรื่องธรรมดา ที่เขาจะเป็นลูกที่ดีต่อพ่อแม่ของเขา เธอคิดมากเกินไปแล้วล่ะ!”
…
ต้าหลี่
หานจื้อหยูรู้สึกกังวลใจอย่างมาก “หมอ คุณช่วยตรวจอีกรอบได้ไหมครับ?”
“ก็อย่างที่ผมบอกไป นี่เป็นโรคผิวหนัง เขาจำเป็นต้องได้รับการรักษา” หมอพูด
“มันไม่ใช่โรคผิวหนังนะ” หานจื้อหยูพูด
“คุณหรือผมที่เป็นหมอกันแน่?” หมอถาม