Elixir Supplier - ตอนที่ 587
587 ปะทุ
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่?” หวังเย้ามองไม่เห็นความต่างระหว่างที่ตรงนี้กับจุดอื่นในเนินเขาซีชานเลย เขารู้สึกได้ถึงพลังงานที่เข้มข้นของที่นี่มากกว่าจุดอื่นเท่านั้น และมันทำให้เขารู้สึกไม่ดีอย่างมาก
ไม่มีอะไรเติบโตในบริเวณนี้เลย มันเป็นทะเลทรายที่แห้งแล้ง ทำให้บรรยากาศโดยรอบดูแย่ยิ่งกว่าเดิม
“ไม่ควรให้ใครมาที่นี่อีก” หวังเย้าพูด
เรื่องเลวร้ายได้เกิดขึ้นแล้ว ถ้าหากมีคนติดเชื้อขึ้นมาอีกครั้ง ผลที่ตามมาก็จะยิ่งเลวร้ายกว่าเดิม
เขาลงมาจากเนินเขาซีชานและไปบอกเรื่องที่เขาพบกับหวังเจียนหลี่ เขาจำเป็นต้องให้หวังเจียนหลี่ประกาศเรื่องนี้ออกไป
“เสี่ยวเย้า ลุงไม่ค่อยเข้าใจเรื่องที่เธอบอกลุงเท่าไหร่เลย” หวังเจียนหลี่พูด “บอกความจริงกับลุงมา ว่าถ้ามีคนไปที่นั้นจะเกิดอะไรขึ้น?”
“พวกเขาก็จะกลายเป็นบ้าเหมือนกับแกะและเฉินเจียกุ้ยครับ” หวังเย้าพูด
“เอาล่ะ ลุงเข้าใจแล้ว” หวังเจียนหลี่เข้าใจความหมายของหวังเย้าได้ในที่สุด และรู้ถึงความหนักหนาของปัญหานี้ดี
อยู่ๆหวังเจียนหลี่ก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ “เธอไปที่นั่นมาแล้วใช่รึเปล่า?”
“ผมแค่ไปสำรวจดูจากที่ไกลๆเท่านั้นครับ” หวังเย้าพูด
“อ่อ ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว” หวังเจียนหลี่พูด
เขาลงมืออย่างว่องไว เขาจัดการสั่งคนจากที่ทำการหมู่บ้านไปจัดการเรื่องนี้ในทันที
“อะไรนะ?” คนเหล่านั้นเชื่อเรื่องที่หวังเจียนหลี่บอกไม่ลง “ล้อเล่นกันรึเปล่า? นี่มันเรื่องจริงหรือเรื่องแฟนตาซีกันแน่?”
แต่พวกเขาก็ค่อยๆเชื่อในคำพูดของหวังเจียนหลี่ เพราะไม่มีใครอยากจะเสี่ยงกับเรื่องนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นกับเฉินเจียกุ้ยคือหลักฐานชั้นดี ถ้าโรคแพร่กระจายออกไป พวกเขาคงไม่สามารถรับผลที่ตามมาได้ พวกเขาไม่ใช่คนโง่ที่จะยอมปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้น โดยที่ไม่ทำอะไรเลย
“ผมเข้าใจแล้ว เราจะรายงานเรื่องนี้ให้ทางหัวหน้าได้รับทราบ ถ้าจำเป็น ก็สามารถพาพวกเราไปดูที่นั่นด้วยก็ได้” หนึ่งในทีมแพทย์พูด
“โอเค” หวังเจียนหลี่พูด
ไม่นาน ก็มีเจ้าหน้าที่จากเขตอีกกลุ่มเดินทางมาถึงที่หมู่บ้าน ครั้งนี้ พวกเขาได้นำชิ้นเนื้อของเฉินเจียกุ้ยกลับไปตรวจที่แล็ปในเมืองด้วย
“นี่มันบ้าอะไรกัน?” เมื่อมองดูตัวอย่างเลือดของเฉินเจียกุ้ยผ่านกล้องจุลทรรศน์ เจ้าหน้าที่แล็ปก็ต้องตกใจ
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” หัวหน้าห้องแล็ปถาม
“หัวหน้า ช่วยมาดูตรงนี้หน่อยครับ” เจ้าหน้าที่ห้องแล็ปพูด
“เชี่ยแล้ว!” หัวหน้าห้องแล็ปที่มีอายุประมาณ 40 อดที่จะสบถออกมาไม่ได้
เขารีบโทรหาผู้บังคับบัญชาของเขาทันที
“เราต้องรายงานเรื่องนี้กับทางเมือง” เขาพูด
ไม่มีใครกล้าล่าช้ากับเรื่องร้ายแรงแบบนี้
หน่วยงานของเมืองห่ายชิวรีบส่งทีมผู้เชี่ยวชาญมาที่ตัวเมืองเหลียนชาน เพื่อศึกษารายงานผลตรวจจากแล็ปอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้น หรืออาจจะเป็นเพราะพวกเขาไม่เชื่อมั่นผลตรวจจากห้องแล็ปของเหลียนชาน พวกเขาจึงได้นำตัวอย่างเลือกส่งไปตรวจที่ห่ายชิวอีกรอบ
“นี่มันเป็นไวรัสที่น่ากลัวมาก” หัวหน้าห้องแล็ปที่ห่ายชิวพูด
ที่ยิ่งน่ากังวลไปกว่านั้นก็คือ พวกเขาไม่สามารถหาตัวอย่างไวรัสที่มีความคล้ายกับเจอ นี่เป็นการบอกให้รู้ว่า มันคือไวรัสตัวใหม่และมีการแพร่กระจายในระดับสูง
“ผมคิดว่า เราควรรายงานเรื่องนี้กับทางเบื้องบนนะครับ” เจ้าหน้าที่ห้องแล็ปพูด
“โอเค” หัวหน้าห้องแล็ปพูด
เจ้าหน้าที่รัฐในห่ายชิวสั่งการลงไปในทันที ทีมผู้เชี่ยวชาญได้เดินทางไปถึงหมู่บ้านในช่วงบ่ายแก่ๆ เพื่อพบกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจากเขต และพวกเขาได้เดินทางไปที่บ้านของเฉินเจียกุ้ย
“พี่ มีหมอมาอีกกลุ่มแล้ว” เฉินโจวพูดกับพี่สาวของเขา เขาบังเอิญเจอกับคนกลุ่มนั้นในระหว่างที่ออกไปข้างนอก
“ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะหนักเอาการ” เฉินหยิงพูด
“พี่ พี่คิดว่า หมู่บ้านนี่จะถูกปิดทางเข้าออกไหม?” เฉินโจวถาม
“ก็เป็นไปได้” เฉินหยิงพูด
ถ้าหากไวรัสสามารถแพร่กระจายได้มาก หมู่บ้านแห่งนี้ก็อาจจะถูกปิดกั้นการเดินทางเข้าออก
“เราควรจะบอกเรื่องนี้กับหมอหวังดีไหม?” เฉินโจวถาม
“พี่คิดว่า หมอหวังน่าจะรู้เรื่องนี้แล้วล่ะ” เฉินหยิงพูด
“ถูกปิดกั้นการเข้าออกเหรอ?” หวังเย้าที่ได้รับสายจากพันจวิน รู้สึกแปลกใจกับเรื่องที่ได้ยิน
“ใช่ ฉันได้ยินมาจากเพื่อนอีกที” พันจวินพูด “พวกเขายังไม่ได้ตัดสินใจลงมา แล้วมันร้ายแรงมากไหม?”
“มากครับ” หวังเย้าพูด
“ถ้าต้องการความช่วยเหลืออะไรก็บอกฉันได้นะ” พันจวินพูด
“โอเคครับ” หวังเย้าพูด
กักบริเวณ หวังเย้าเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เริ่มมืดลง
พ่อแม่ของเขาถามเกี่ยวกับเรื่องไวรัสในระหว่างมื้ออาหารเย็น เพราะมีทีมแพทย์เข้ามาในหมู่บ้านถึงสองทีมและทำเป็นเรื่องราวใหญ่โต นี่เป็นครั้งแรกที่หมู่บ้านของพวกเขาได้ต้อนรับทีมแพทย์จำนวนมากขนาดนี้ พวกเขาจึงรู้ว่า ต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นที่หมู่บ้านของพวกเขา
“พวกเขามาเพราะเรื่องของเฉินเจียกุ้ยครับ อาการของเขาเลวร้ายมาก” หวังเย้าพูด “มันเป็นการระบาดขั้นสูง กลุ่มคนที่มากลุ่มแรกมาจากเขต ส่วนอีกกลุ่มถูกส่งมาจากห่ายชิว ถ้าไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้และพบคนติดเชื้อเพิ่ม หมู่บ้านของเราก็อาจจะถูกกักบริเวณ”
“กักบริเวณเหรอ?” จางซิวหยิงพูดด้วยความกังวล “ก็หมายความว่า เราจะออกไปนอกหมู่บ้านไม่ได้ใช่ไหม?”
“ถูกต้องครับ” หวังเย้าพูด
“มันจะรุนแรงขนาดนั้นเลยรึเปล่า?” หวังเฟิงฮวาวางตะเกียบลง
“ก็อาจจะเป็นไปได้ครับ” หวังเยาพูด
ในขณะเดียวกัน ที่บ้านของเฉินเจียกุ้ยก็ถูกปิดกั้นทางเข้าออกเอาไว้ทั้งหมด
“ไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาในบ้านนี้เด็ดขาด” เจ้าหน้าที่จากห่ายชิวพูดเอาไว้ ก่อนที่จะกลับไป
ทีมแพทย์จากห่ายชิว ได้เห็นสภาพของเฉินเจียกุ้ยที่นอนอยู่บนเตียงแล้ว มันทำให้พวกเขารู้สึกกลัว เพราะพวกเขาต่างก็ไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน ไวรัสมันเลวร้ายมาก ภายในเวลาไม่ถึงสามวัน มีแกะหนึ่งตัวและคนอีกหนึ่งที่ต้องตายเพราะมัน มันมากเกินกว่าที่พวกเขาจะรับมือได้ ไม่มีใครในหมู่พวกเขาที่อยากจะอยู่ในบ้านหลังนั้นนานๆ ดังนั้น พวกเขาจึงไม่คิดจะเสียเวลาสำรวจภายในบ้านและทิ้งคำแนะนำสั้นเอาไว้ก่อนจากไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่ได้ปรึกษากันแล้ว ทีมแพทย์ของห่ายชิวก็ตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากทางจังหวัด
“อะไรนะ? พวกเขากลับไปแล้วอย่างนั้นเหรอ? แล้วพวกเขาก็ปล่อยให้พวกเราเฝ้าบ้านเอาไว้อย่างนี้เนี้ยนะ?” แพทย์ของทางเหลียนชานพูด
“เอาน่า ก็พวกเขามาจากห่ายชิวนี่นา” แพทย์อีกคนพูด “ใครจะมาสนใจพวกเรากันล่ะ?”
เวลาเริ่มเย็นลงแล้ว หวังเย้าออกมาจากบ้านตอนประมาณสามทุ่ม พร้อมกับถือถงหลายใบเอาไว้ในมือ
“ลูกจะเอาถุงพวกนั้นไปทำอะไรเหรอจ๊ะ?” จางซิวหยิงถามด้วยความสงสัย
“ผมจะเอาไปใส่ดินครับ” หวังเย้าพูด
เมื่อออกมาจากบ้านแล้ว เขาก็มุ่งหน้าสู่ทิศใต้ทันที เขาเดินไปจนกระทั่งถึงสุดทางหมู่บ้าน จากนั้นจึงเปลี่ยนเส้นทางมุ่งไปยังทิศตะวันตกแทน ในเวลานี้ของวัน ไม่มีใครเดินอยู่ตามท้องถนนเลย แต่บ้านเกือบทุกหลังมีแสงไฟส่องลอดออกมา
โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง! มีเสียงเห่าของสุนัขดังขึ้นเป็นครั้งคราว
หวังเย้าเดินขึ้นไปบนเนินเขาซีชานเพียงลำพัง เขาเดินตรงไปที่หลุม เพียงครู่เดียว เขาก็ไปโผล่อยู่ด้านในหลุมแล้ว
เขามีเสียมอยู่ในมือ เขาจัดการตักดินใส่ลงไปในถุงและเก็บเอาไว้ในช่องเก็บของของระบบ เขาเคยนำตัวอย่างดินไปตรวจสอบในห้องแล็ปมาก่อนหน้านั้นแล้ว และผลก็ออกมาว่า ดินมีความเป็นพาสูงและไม่สามารถปลูกอะไรได้ แต่ในผลตรวจไม่ได้บอกว่าพิษในดินคือโรคระบาดและสามารถฆ่าสิ่งมีชีวิตได้
เขานำตัวอย่างดินกลับไปที่เนินเขาหนานชานและเดินเข้าไปในค่ายกลรวมวิญญาณ
“ซานเซียน!” เขาเรียกหาสุนัขของเขา “มาดูนี่สิ!”
โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง!
หลังจากดมกลิ่นดินที่อยู่ในถุงแล้ว ซานเซียนก็มีท่าทีอยู่ไม่สุข ท่าทางของเขาคล้ายกับว่า มีระเบิดฝังอยู่ในถุงใบนี้
“ไม่ดีเหรอ?” หวังเย้าถาม
โฮ่ง! โฮ่ง! ซานเซียนเห่าออกมาอย่างต่อเนื่อง
“ฉันเข้าใจแล้ว” หวังเย้าลูศีรษะของมันและเก็บถุงที่ใส่ดินเอาไว้
เขาจะทดสอบมันยังไงดี? หวังเย้าเอาแต่คิดถึงเรื่องนี้ กว่าจะหลับลงได้ก็ดึกมากแล้ว
ในขณะเดียวกัน ก็มีคนจำนวนหนึ่งที่นอนไม่หลับ
มันเป็นเช้าที่ฟ้าครึ้มเล็กน้อย
“ฝนกำลังจะตก” หวังเย้าเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
ฝนเริ่มตกลงมาตอนประมาณ 9 โมงกว่า หวังเย้ามองเห็นรถคันหนึ่ง ขับเข้ามาในหมู่บ้านจากทางทิศใต้
มีคนมากันอีกกลุ่มแล้วสินะ
“กระต่ายเหรอ? ลูกจะเอากระต่ายไปทำอะไรกัน?” จางซิวหยิงถาม “ตัวที่ลูกเอากลับมาจากเนินเขาก็ยังอยู่นะ”
“ผมต้องใช้มันครับ” หวังเย้าพูด “แม่ช่วยหากระต่ายมาให้ผมสักหลายคนหน่อยได้ไหมครับ?”
“ลูกจะเอาพวกมันไปทำอะไรเหรอ? หรือลูกอยากจะกินเนื้อกระต่าย?” จางซิวหยิงถาม
“เปล่าครับ ผมอยากได้กระต่ายแบบที่ยังมีชีวิตอยู่ เพราะผมจะเอาพวกมันไปทดลองบางอย่างน่ะครับ” หวังเย้าพูด
“อ่อ” จางซิวหยิงพูด
“แกน่ารักเกินไปแล้ว!” หวังเย้ามองดูกระต่างที่อยู่ภายในกรง “มันอาจจะเจ็บสักหน่อยนะ”
เขาพากระต่ายกลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน
“โอ้ พระเจ้า! เกิดอะไรขึ้นกับเขากัน?” ผู้เชี่ยวชาญของทางจังหวัดถาม ทีมแพทย์ของทางจังหวัดได้เดินทางตลอดทั้งคืน เพื่อมาที่หมู่บ้านแห่งนี้ พวกเขาได้เข้าไปตรวจดูร่างกายของเฉินเจียกุ้ย
“คุณแน่ใจนะ ว่าเขาเพิ่งจะตายไปได้สี่วันน่ะ?” หนึ่งในทีมผู้เชี่ยวชาญถาม
“เอ่อ ผมคิดว่าเป็นแบบนั้นนะครับ” แพทย์จากเหลียนชานตอบ
“คุณแน่ใจนะ?” ผู้เชี่ยวชาญถาม
“เอ่อ ก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ครับ ดูจากร่างกายของเขาคุณก็น่าจะรู้แล้ว เราไม่สามารถยืนยันอะไรได้เลย” แพทย์จากเหลียนชานพูด
ทางกลุ่มผู้เชี่ยวชาญได้ทำการปรึกษาหารือกัน เกิดบรรยากาศอึดอัดโดยรอบบ้านของเฉินเจียกุ้ย
“เราจำเป็นต้องนำร่างของเขาไป แต่ศพต้องได้รับการจัดการที่ถูกต้องก่อน” หนึ่งในเจ้าหน้าที่พูด
“คุณแน่ใจนะ?” เจ้าหน้าที่อีกคนถาม “นี่มันอาจจะเสี่ยงมากเลยนะ”
“ใช่ มันอาจจะเสี่ยง แต่ศพก็จะช่วยให้เราสามารถศึกษาไวรัสตัวนี้ได้ดีขึ้น” หัวหน้าทีมผู้เชี่ยวชาญพูด