Elixir Supplier - ตอนที่ 606
606 แบกรับความเจ็บปวดเอาไว้เอง
“คุณนี่นะ รู้จักแต่จะทำงานอย่างเดียวตลอดเลย!” ศาสตราจารย์หลินยิ้มและส่ายหน้า “นี่เป็นโอกาสที่หายากมากเลยนะ คุณมีความชอบ แล้วผู้นำก็มีความตั้งใจดี การก้าวขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง ก็หมายถึงการได้รับการปฏิบัติที่ดีขึ้นไปด้วย รวมถึงสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดีขึ้นและทุนวิจัยที่เพิ่มขึ้นด้วย ถึงคุณจะไม่ใส่ใจเรื่องชื่อเสียงเงินทอง แต่คุณก็ต้องคิดถึงคนหนุ่มที่ติดตามคุณอยู่ด้วย ผมได้ยินมาว่า พวกเขาไม่ค่อยจะพอใจคุณสักเท่าไหร่นะ!
ศาสตราจารย์หวูเงียบไปพักหนึ่ง เขาพูดว่า “ฉันจะลองคิดดูแล้วกัน”
“นั่นแหละถูกแล้ว คุณดูเปลี่ยนไปนะ” ศาสตราจารย์หลินพูด
“เปลี่ยนอะไรกัน?” ศาสตราจารย์หวูถาม “ฉันคิดว่า ฉันดีมากอยู่แล้วต่างหาก”
…
ในคลินิก หวังเย้ากำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับอาการป่วยของชายที่เป็นโรคอะนอเร็กเซีย ในความคิดของเขา เขารู้ว่า โรคนี้จำเป็นต้องให้การรักษาแบบพิเศษ
เขาไม่สามารถมองหรือดมกลิ่นอาหาร การรักษายังต้องได้รับความร่วมมือจากทั้งตัวคนไข้และคนในครอบครัวของเขาด้วย
หวังเย้ายังได้เตรียมยาที่มีส่วนช่วยกระตุ้นความอยากของเขาเอาไว้ด้วย
ชานเย้า, ชานจา…
สิ่งที่เรียกว่ายาสมุนไพรที่ช่วยเพิ่มความอยากอาหาร ก็คืออาหารนั่นเอง สมุนไพรบางตัวสามารถกระตุ้นต่อมรับรส มันคือความหวังที่จะช่วยให้การทานอาหารดีขึ้นได้
ในตอนที่เขียนรายละเอียดต่างๆอยู่นั้น หวังเย้าก็คิดขึ้นมาว่า เขาจะพึ่งแต่ยาอย่างเดียวไม่ได้ ไม่อย่างนั้น รสชาติของยาก็อาจจะสร้างปัญหาที่ใหญ่กว่าเดิมได้ ถ้าเขาไม่ใช่แค่ไม่ชอบอาหาร แต่ยังไม่ชอบดื่มเครื่องดื่มและซุปด้วยละก็ มันคงจะยุ่งยากมากขึ้นไปอีก
ครั้งก่อนที่เขาได้คุยกับคนไข้ เขาได้บอกกับหวังเย้าว่า เขาสามารถดื่มอาหารแบบเหลวได้ เช่น พวกซุปไก่และโจ๊ก แต่ก็แค่นั้น
จากสิ่งที่หวังเย้าได้รู้ หวังเย้าคิด ขั้นแรก เขาจำเป็นต้องดื่มซุปเพื่อกระตุ้นความอยาก โดยที่จะไม่ให้เห็นว่าเขากำลังกินอะไรเข้าไป
หวังเย้าค่อยๆคิดแผนการรักษาไปทีละขั้น เขาเตรียมสมุนไพรเอาไว้หลายชนิด พวกมันทั้งหมดเป็นสมุนไพรทั่วไป เพราะมันเป็นแค่ตัวเสริมเพื่อช่วยให้อาการของคนไข้ดีขึ้นเท่านั้น
เขาโทรหาคนไข้และขอให้เขาพาคนในครอบครัวมาที่คลินิกในวันพรุ่งนี้เช้า
ตะวันใกล้ตกดิน หวังเย้ากำลังจะปิดประตูคลินิกและกลับไปที่บ้าน อยู่ๆหวังเจ๋อเชิงก็โผล่มาที่ทางเข้าคลินิก พร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยบาดแผล
“เกิดอะไรขึ้นกันครับ?” หวังเย้ารีบเปิดประตูและให้เขาเข้ามาด้านใน
“ตอนที่ขี่มอเตอร์ไซด์บนถนน ฉันขี่เร็วไปหน่อยก็เลยร่วงจากรถน่ะ” หวังเจ๋อเชิงพูด
“แต่แผลดูลึกมากเลยนะครับ” หวังเย้าพูด
“อ้อ มันไม่ได้หนักขนาดนั้นหรอก!” หวังเจ๋อเชิงกัดฟันพูด
ความจริงแล้ว ตอนนี้เขาเจ็บมาก หลังเลิกงาน เขาก็รีบขี่รถกลับเพื่อไปกินข้าวที่บ้าน หลังทานอาหารเสร็จ เขาก็ต้องกลับไปเข้างานกะดึกอีกงานหนึ่ง เพื่อที่จะไปให้ทันเวลา เขาจึงต้องขี่เร็วกว่าปกติ เมื่อขี่ไปถึงปากทางเข้าหมู่บ้าน รถของเขาก็แฉลบลงข้างทางเพื่อเลี่ยงแกะตัวหนึ่ง
“ผมขอดูหน่อยนะครับ” หวังเย้าตรวจดูแผลของเขาอย่างระมัดระวัง “โชคยังดีที่ไม่ได้ลึกไปถึงกระดูก แล้วหัวล่ะครับ? รู้สึกเจ็บรึเปล่า? พี่ได้ใส่หมวกกันน๊อคด้วยไหมครับ?”
“ใส่สิ ฉันไม่ได้เจ็บหัว เจ็บแค่ที่หน้าเท่านั้น” หวังเจ๋อเชิงพูด
ถ้าไม่ใช่เพราะหมวกกันน๊อค ตอนที่รถแฉลบลงไป เขาก็อาจจะเจ็บตัวมากกว่านี้
“ผมจะเอายาให้นะครับ” หวับเย้าลุกขึ้นเพื่อไปหยิบยา
มันเป็นยาที่เขาทำขึ้นมาตอนอยู่บนเนินเขา มันให้ผลดีในการรักษาบาดแผล เช่น แผลถลอก เขาเคยลองใช้กับคนไข้รายอื่น และมันก็ได้ผลดี
“มันอาจจะแสบหน่อยนะครับ” หวังเย้าพูด เขาทายาลงไปที่แผลอย่างเบามือและใช้แผลก๊อซปิดแผล
“โอ๊ย อ้าก!” หวังเจ๋อเชิงอุทานออกมา
“มาครับ ผมจะนวดให้” หวังเย้าพูด
“จริงเหรอ?” หวังเจ๋อเชิงถาม
“ครับ มันจะช่วยให้เลือดหยุดไหลเร็วขึ้น” หวังเย้าพูด “มันยังจะช่วยให้กล้ามเนื้อที่ฟกช้ำหายเร็วขึ้นด้วย”
ถึงแม้ว่าเขาไม่ได้เจ็บไปถึงกระดูก แต่การกระแทกแบบนี้ก็ยังถือว่าแรงอยู่ดี กล้ามเนื้อบางส่วนของเขาจึงเกิดการฟกช้ำขึ้น ร่างกายของเขาจะต้องใช้เวลาสองสามสัปดาห์ในการฟื้นตัว
“โอ้ ได้ๆ” หวังเจ๋อเชิงพูด
“มันอาจจะเจ็บสักหน่อยนะครับ” หวังเย้าเริ่มนวดรักษาด้วยเทคนิคพิเศษของเขา
“โอ๊ย มันเจ็บ!” หวังเจ๋อเชิงตะโกนออกมา
“ทนหน่อยนะครับ” หวังเย้าพูด เขากดลงไปไม่หนักมากเท่าไหร่
หวังเย้านวดหลัง, ขา, และแขนที่มีรอยฟกช้ำของหวังเจ๋อเชิง เขารู้สึกเจ็บจนร่างกายสั่นทำไม่ยอมหยุด ถ้าหวังเย้าไม่เอาผ้าก๊อซอุดปากของเขาเอาไว้ เขาก็คงจะบดฟันของตัวเองจนละเอียดไปแล้ว เขาเหงื่อไหลโชก จนเสื้อผ้าของเขาเปียกไปหมด
“ตอนนี้ก็กลับไปพักผ่อนได้แล้วนะครับ ในเจ็ดวันนี้ อย่าทำงานที่ใช้แรงมาก ให้หยุดทำงานไปก่อนนะครับ” หวังเย้าพูด
“หา เจ็ดวันเลยเหรอ?” หวังเจ๋อเชิงตกใจ
“ทำไมเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“แต่ฉันต้องไปทำงานน่ะสิ” หวังเจ๋อเชิงพูด
ครอบครัวของเขาต้องพึ่งพารายได้ของเขาแค่คนเดียว และโดยเฉพาะพ่อของเขาที่ต้องกินยาราคาแพง แล้วเขาจะไม่รู้สึกร้อนใจได้ยังไง? เขายังอยากจะทำงานสามอย่างเพื่อหาเงินด้วยซ้ำไป
“จะเอาเงินมาซื้อยาให้พ่อของพี่เหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ใช่” หวังเจ๋อเชิงพูด
เพื่อที่จะซื้อยามา เขาต้องไปขอยืมเงินมาจากคนอื่น ในชีวิตของเขา ทุกเรื่องสามารถจัดการได้ง่าย ยกเว้นก็แต่เรื่องการยืมเงิน
“พี่เอายาไปก่อนได้เลย” หวังเย้าพูด “ไว้พี่ค่อยทยอยจ่ายก็ได้”
“โอ้ ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณมากนะ” หวังเจ๋อเชิงพูด พร้อมกับกัดริมฝีปากของเขา
เขาลุกขึ้นเพื่อจะกลับออกไป แต่ก็ถูกหยุดเอาไว้
“รอเดี๋ยวครับ” หวังเย้าพูด
“มีอะไรอีกเหรอ?” หวังเจ๋อเชิงถาม
“ผมอยากจะพูดอะไรอีกสักหน่อย แต่อย่าโกรธผมเลยนะครับ” หวังเย้าพูด เขาลุกขึ้นไปชงชา “ดื่มชาก่อนสิครับ”
“โอ้ ขอบคุณนะ” หวังเจ๋อเชิงรับชามา เขายิ่งรู้สึกกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเขาไม่รู้ว่า หวังเย้ากำลังจะบอกอะไรเขา
“เรื่องเงิน มันสำคัญก็จริง แต่ร่างกายสำคัญกว่า” หวังเย้าพูด
หวังเจ๋อเชิงเงียบไปและจ้องมองหวังเย้าด้วยสายตาว่างเปล่า
“ผมหมายถึง สภาพร่างกายของพี่ไม่เหมาะกับการทำงานหนัก” หวังเย้าพูด “ถ้าหากพี่ฝืนเอาร่างกายที่บาดเจ็บแบบที่ไปทำงานได้สักสอสามวัน มันก็อาจจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าพี่ทำงานหนักเกินไป ร่างกายก็จะได้รับบาดเจ็บ การทำงานในตอนที่ร่างกายยังบาดเจ็บอยู่ สามารถทำให้อาการป่วยที่เล็กน้อยกลายเป็นแย่ลงกว่าเดิมได้ แล้วก็ไม่สามารถแก้ด้วยการพักฟื้นแค่เจ็ดวันได้อีก”
“ฉันรู้” หวังเจ๋อเชิงพูด “แต่…”
“พี่ไม่รู้หรือว่าพี่ไม่เข้าใจจริงๆกันแน่” หวังเย้าพูดขัดเขา “ช่างเถอะ ลองคิดดูให้ดีดีนะครับ”
เดิมหวังเย้าอยากจะพูดอะไรอีก แต่เขาก็หยุดเอาไว้ ถ้าหากเขาเป็นหวังเจ๋อเชิง เขาก็อาจจะเลือกทางเดียวกัน
“โอเค ฉันกลับบ้านก่อนนะ” หวังเจ๋อเชิงพูด
“ครับ” หวังเย้าพูด
หวังเจ๋อเชิงเดินกะโพรกกะเพรกออกไป
“ลูกเป็นอะไรไปน่ะ?” หวังยีหลงที่รอลูกชายของเขาอยู่หน้าบ้านถามขึ้นมา
“ไม่มีอะไรหรอกพ่อ พ่อกลับเข้าไปในบ้านเถอะ ข้างนอกลมมันแรง” หวังเจ๋อเชิงพูด
“พี่เป็นยังไงบ้าง?” ภรรยาของเขาได้ยินเสียงพูด เธอจึงเดินออกมาจากบ้าน
“กระดูกไม่ได้หัก แล้วหัวก็ไม่ได้เจ็บอะไรด้วย ฉันได้ยามาแล้ว เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง” หวังเจ๋อเชิงพูด
“พรุ่งนี้อย่าไปทำงานเลยนะ พักอยู่ที่บ้านก่อนดีกว่า” ภรรยาของเขาพูด
“ไว้ค่อยคุยเรื่องนี้กันทีหลังเถอะ” หวังเจ๋อเชิงพูด
หลังจบมื้ออาหาร หวังยี่หลงก็ลุกเดินออกไปข้างนอก
“พี่จะไปที่ไหนเหรอ?” หวังเจ๋อเชิงถาม
“พ่อว่าจะออกไปเดินเล่นแถวนี้หน่อยน่ะ” หวังยี่หลงตอบ
“ถ้าอย่างนั้นก็เดินระวังๆ แล้วก็อย่ากลับช้าล่ะ ข้างนอกลมมันแรง พ่อต้องใส่เสื้อคลุมหนาๆ แล้วก็อย่าไปไหนไกลนะ” หวังเจ๋อเชิงไม่ลืมที่จะเอ่ยเตือนพ่อของเขา
“อืม พ่อรู้แล้ว” หวังยี่หลงโบกมือและเดินออกไปช้าๆ
“พ่อไปแล้ว ตอนนี้บอกความจริงกับฉันมาได้แล้ว” ภรรยาของหวังเจ๋อเชิงพูด “พี่เจ็บมากเลยใช่ไหม?”
“ฉันไม่เป็นไรหรอกน่า” หวังเจ๋อเชิงพูด “เขาบอกแค่ให้ฉันพักอยู่ที่บ้านสองวันก็หายแล้ว”
“อ่อ ถ้าอย่างนั้นพี่ก็ไปพักเถอะ อย่าออกไปไหนเลย” ภรรยาของเขาพูด
“ไว้ค่อยว่ากันพรุ่งนี้อีกทีก็แล้วกัน” หวังเจ๋อเชิงพูด พร้อมกับถอนหายใจออกมา
ในตอนที่มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น มันเป็นตอนที่ครอบครัวของหวังเย้ากำลังทานอาหารเย็นกันอยู่
แกร๊ก!
หวังยี่หลงเดินเข้ามา “ขอทาที กินข้าวกันต่อเถอะ”
เมื่อมีแขกมาหา จางซิวหยิงและสามีต่างก็วางมือ
“อ้าว เข้ามานั่งก่อนสิ” หวังเฟิงฮวาพูด
หวังเย้าลุกขึ้นและเดินไปชงชา “คุณลุงดื่มชาสักหน่อยนะครับ”
“โอ้ ขอบคุณๆ” หวังยี่หลงพูด
“มีเรื่องอะไรเหรอ?” หวังเฟิงฮวาถาม
“ฉันมีเรื่องจะมาคุยกับเสี่ยวเย้าสักหน่อยน่ะ” หวังยี่หลงพูด
“ได้สิครับ คุณลุง” หวังเย้าพูด
“เอ่อ เจ๋อเชิงไปหาเธอเมื่อตอนบ่ายใช่ไหม?” หวังยี่หลงถาม
“ใช่ครับ” หวังเย้าพูด
“แล้วเขาเจ็บหนักมาไหม?” หวังยี่หลงถาม “บอกความจริงกับลุงมาเถอะนะ”
“เขาไม่ได้เจ็บอะไรมากหรอกครับ แค่มีแผลถลอกกับฟกช้ำนิดหน่อย แต่กระดูก, อวัยวะภายใน หรือหัวไม่ได้รับความกระทบกระเทือนอะไรเลย เขาแค่ต้องพักสักสามสี่วันเท่านั้นเองครับ” หวังเย้าพูด