Elixir Supplier - ตอนที่ 607
607 ต้องทำยังไง?
“โอ้ ถ้าอย่างนั้นก็ดี” หวังยี่หลงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
เขาพบว่า ช่วงหลังมานี้ลูกชายดูยุ่งมาก เขาไปทำงานในตอนเช้า แล้วยังออกไปทำงานตอนกลางคืนอีก พอกลับมาถึงบ้าน เขาก็เหนื่อยมาจนแทบจะไม่พูดอะไรเลย พอทานอาหารเสร็จ ทั้งสองก็มักจะคุยกันนิดๆหน่อยๆ แล้วลูกชายของเขาก็จะเข้าไปนอนเร็วมาก เขาดูมีเรื่องหนักใจ ถ้าหากหวังยี่หลงถามไป เขาก็จะตอบกลับมาแค่ว่า “ไม่มีอะไร”
ตอนนี้ ลูกชายของเขาเป็นคนมีเหตุผลมากขึ้น หากเทียบกับแต่ก่อน เขาได้กลายเป็นอีกคนไปเลย ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีมาก หวังยี่หลงมีความสุขกับเรื่องนี้มาก แต่เขาก็ไม่อยากให้ลูกชายของเขาต้องเหนื่อยเกินไป มันผ่านมาได้สักพักแล้ว ดังนั้น เขาจึงกังวลว่า ร่างกายของลูกชายจะทนงานหนักไม่ไหว
“เขาต้องพักอยู่ที่บ้านกี่วันเหรอ?” หวังยี่หลงถาม
“ผมแนะนำให้เขาพักสักเจ็ดวันครับ ถ้าไม่อย่างนั้น มันอาจจะมีอาการบาดเจ็บหลงเหลือ และส่งผลร้ายในอนาคตได้” หวังเย้าพูด
“อาการบาดเจ็บหลงเหลือเหรอ?” หวังยี่หลงรู้สึกกังวลขึ้นมา
“ขอแค่เขาได้พักและมาตรวจที่คลินิกทุกๆสองวัน เพื่อให้ผมได้ตรวจดูอาการของเขา มันก็จะไม่เกิดปัญหาตามมาทีหลังแน่นอนครับ” หวังเย้าพูด “คุณลุงไม่จำเป็นต้องกังวลมากไปหรอกนะครับ”
“อ้อ ถ้าอย่างนั้นก็ดี” หวังยี่หลงพูด
“คุณลุงครับ ช่วงนี้คุณลุงเป็นยังไงบ้างครับ?” หวังเย้าถาม
“ลุงสบายดี” หวังยี่หลงพูด “เดี๋ยวนี้ยังกินเยอะกว่าเมื่อก่อนด้วยล่ะ”
“อืม ดีแล้วครับ” หวังเย้าพูด
มันเป็นเรื่องดีที่สามารถกินอาหารได้เยอะขึ้น เพราะโดยปกติ คนไข้ที่ป่วยหนักมักจะไม่สามารถกินอะไรได้เลย
“ขอโทษที่ต้องมารบกวนเวลากินข้าวของทุกคนนะ” หวังยี่หลงพูด
“ไม่เป็นไรครับ” หวังเย้าพูด “จะอยู่กินกับพวกเราก่อนไหมครับ?”
“ไม่ล่ะ ลุงกินมาเรียบร้อยแล้ว” หวังยี่หลงพูด แล้วเขาก็ลุกขึ้นและเดินออกไป
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับหวังเจ๋อเชิงเหรอจ๊ะ?” จางซิวหยิงถาม
“เขารถแฉลบน่ะครับ” หวังเย้าพูด
“แล้วเจ็บหนักไหม?” จางซิวหยิงถาม
“ก็ถือว่าหนักเท่าไหร่ครับ” หวังเย้าพูด
“อืม พ่อว่า หวังยี่หลงก็ดูแข็งแรงดีนะ” หวังเฟิงฮวาพูด
พวกเขารู้เรื่องอาการป่วยของหวังยี่หลงดี
“สีหน้าของเขาถือว่าดีเลยล่ะครับ” หวังเย้าพูด
เขาไม่ได้สังเกตถี่ถ้วนนัก แต่เมื่อดูจากลมหายใจของหวังยี่หลงแล้ว หวังเย้ายังสามารถได้กลิ่นเหม็นจากลมหายใจของเขาได้ ซึ่งก็หมายความได้ว่า ปัญหาในร่างกายของเขายังคงร้ายแรงอยู่ เพราะถึงยังไง มันก็อยู่ในระยะสุดท้ายแล้ว
“ยี่หลงไม่ได้มีชีวิตที่สบาย การที่ลูกชายของเขากลายเป็นคนกตัญญูแบบนี้ได้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับเขาแล้ว” หวังเฟิงฮวาพูด
“ลูกที่กลับใจมีค่ายิ่งกว่าทองคำ” หวังเย้าพูด
“ใช่ มันมีค่ามากกว่าทองคำ” พ่อของเขาพูด
หลังกลับไปถึงบ้านแล้ว หวังยี่หลงก็โล่งใจ ขอแค่ลูกชายของเขาไม่เป็นอะไรมาก ก็ถือว่าดีแล้ว
ภายในบ้านหลังหนึ่ง เวินหว่านไอออกมาสองสามครั้ง
“การกักตัวถูกยกเลิกแล้วสินะ” ศาสตราจารย์ลู่กำลังสูบบุหรี่อยู่
“ใช่ครับ” ฟ่านโย่วเหรินก็กำลังสูบบุหรี่อยู่เหมือนกัน
การกักตัวได้ถูกยกเลิกมาได้สักพักแล้ว ซึ่งมันทำให้พวกเขาโล่งอก ในช่วงเวลานั้น แต่ละวันผ่านไปอย่างยากลำบาก พวกเขาไม่สามารถออกไปไหนได้ พวกเขาเอาแต่หวาดกลัวเรื่องโรคระบาด ที่มีการแพร่กระจายและโอกาสเสียชีวิตสูงมาก
พวกเขาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับตัวเอง แต่พวกเขาเป็นห่วงเวินหว่านที่กำลังป่วยหนักอยู่ เธอเป็นเหมือนกับเปลวไฟดวงน้อยกลางลมฝน เธอสามารถดับลงได้ทุกขณะ ถ้าหากเธอติดโรคระบาดขึ้นมา แม้แต่พระเจ้าก็คงจะรั้งเธอไว้ไม่ได้
“ไปกันเถอะครับ คุณลุง” ฟ่านโย่วเหรินพูด
“เธอจะไปที่ไหน?” ศาสตราจารย์ลู่เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มด้วยความแปลกใจ “อาการแม่ของเธอเพิ่งจะเริ่มดีขึ้นมา เธอคิดว่า ถ้าเธอพาแม่ของเธอไปรักษาที่อื่น แล้วพวกเขาจะสามารถรักษาแม่ของเธอได้ดีกว่าหมอหวังเหรอ?”
“ไม่ครับ ผมแค่กังวลเท่านั้น” ฟ่านโย่วเหรินพูด
พวกเขาได้ใช้ยาที่หวังเย้าให้มากับแม่ของเขา แล้วพวกเขาก็ต้องประหลาดใจที่ตัวยานั้นได้ผล อาการป่วยของแม่เขาดีขึ้น แล้วสีหน้าของเธอก็ยังดีขึ้นตามไปด้วย ร่างกายของเธอเริ่มมีเรี่ยวแรง เธอถึงกับสามารถทำกิจกรรมบางอย่างได้ การเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนขนาดนี้ มันทำให้เขารู้สึกมีความสุขมาก แต่อยู่ๆโรคระบาดก็เกิดขึ้นและทำให้เขารู้สึกกังวลขึ้นมา
มีคน 12 คนที่ต้องจากไป เรื่องแบบนี้ไม่สามารถปกปิดเอาไว้ได้ แล้วเขาก็อาจจะเคยเห็นหน้าหรือพูดคุยกับคนเหล่านั้นมาก่อนด้วย
ฟ่านโย่วเหรินอายุยังน้อย เขากังวลถึงเรื่องสุขภาพทั้งของเขาและแม่ เหมือนอย่างที่คนโบราณว่าไว้ สุภาพบุรุษไม่ควรเผชิญหน้ากับอันตราย เขารู้ว่าอันตรายแต่กลับยังอยู่ ไม่ใช่เรื่องฉลาด
“เราเอายาไปด้วยก็ได้นี่ครับ พอยาหมด ผมจะกลับมาเอาให้อีกก็ได้” ฟ่านโย่วเหรินเสนอ เขาได้คิดถึงปัญหาที่อาจจะตามมาไว้แล้ว
“แล้วถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาล่ะ?” ศาสตราจารย์ลู่ถาม
“นั่น…” ความเป็นจริง เขายังไม่มีทางออกสำหรับปัญหานี้
ฟ่านโย่วเหรินยอมรับว่า ฝีมือการรักษาของหวังเย้านั้นยอดเยี่ยม ก่อนการรักษา แม่ของเขามีสภาพร่างกายที่ย่ำแย่มาก และอาการของเธอก็ยังแย่ลงอย่างต่อเนื่อง แต่หลังจากได้รักษากับหวังเย้าแล้ว อาการแม่ของเขาก็อยู่ในการควบคุมได้อย่างรวดเร็ว
“โย่วเหริน ถ้าเธอมีเรื่องอะไรที่ต้องไปทำ เธอก็ไปเถอะ” ศาสตราจารย์ลู่พูด “ลุงจะอยู่กับแม่ของเธอเอง”
“ผมไม่ได้หมายความแบบนั้นนะครับ”ฟ่านโย่วเหรินพูด
“ส่วนเรื่องโรคระบาดที่เธอกังวล ลุงลองถามหมอหวังดูแล้ว” ศาสตราจารย์ลู่พูด “ไม่ใช่ว่าเธอก็กินยาต้านไปแล้วหรอกเหรอ?”
“ผมจะรอดูอีกสองวันก็แล้วกัน” ฟ่านโย่วเหรินพูด
ช่วงนี้ เขามีอาการหงุดหงิดง่าย แต่ก็เริ่มดีขึ้นเมื่อการกักตัวถูกยกเลิก
ค่ำคืนที่เงียบสงัด หวังเย้าเดินขึ้นไปบนเนินเขาหนานชานเพียงลำพัง มันมีเพียงแสงริบหรี่เท่านั้น
หวังเย้ามองดูหน้าจอระบบที่อยู่ตรงหน้าเขา “ใกล้จะเต็มแล้ว!”
แถบค่าประสบการณ์ของเขาเพิ่มขึ้นจนเกือบเต็มแล้ว เมื่อเขาค้นพบเรื่องนี้ เขาก็ต้องแปลกใจ เพราะช่วงนี้เขาแทบจะไม่ได้ทำภารกิจให้สำเร็จเลยสักอย่าง เขาไม่ได้ตรวจคนไข้มากนัก แต่ค่าประสบการณ์ของเขากลับเพิ่มขึ้น หลังจากที่เขาคิดดูแล้ว เขาก็รู้ว่า มันเป็นเพราะความสำเร็จจากการที่เขาพัฒนาตัวยารักษาโรคระบาดขึ้นมาได้ นี่ถือเป็นรางวัลพิเศษสำหรับเขา ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
เขาคิด ไม่รู้ว่า หลังจากที่มีการอัพเดทแล้วฉันได้จะได้อะไรเป็นรางวัล?
เช้าวันใหม่ ชายที่มีอาการป่วยด้วยโรคอะนอเร็กเซีย เดินทางมาที่คลินิกตอนเกือบ 8.30 น. ดังนั้น หวังเย้าจึงยังไม่ลงมาจากเนินเขาหนานชาน ชายคนนั้นจึงรอหวังเย้าอยู่กับภรรยาของเขา
“เขาไม่อยู่เหรอ?” ภรรยาของเขาถาม
“เดี๋ยวเขาก็มาแล้วล่ะ” เขาพูด “เมื่อวาน เขาเป็นคนบอกเองว่าให้ฉันมาหาเขา”
พวกเขารออยู่ประมาณ 20 นาที แล้วในที่สุด หวังเย้าก็ลงมาจากเขา “คุณมาเช้ามากเลยนะครับ”
“ไม่เช้าแล้วล่ะ” ชายคนนั้นพูด
“ต้องขอโทษด้วยนะครับ” หวังเย้าเดินไปเปิดประตูคลินิกและเชิญสองสามีภรรยาเข้าไปด้านใน “คุณยังกินอะไรไม่ได้อยู่ใช่ไหมครับ?”
“ผมยังกินอะไรไม่ได้เหมือนเดิมนั่นแหละ” ชายคนนั้นพูด “ผมกินได้แค่อาหารเหลวกับพวกซุปเท่านั้น”
หวังเย้าเริ่มต้นอธิบายแผนการรักษาที่เขาเตรียมเอาไว้ ให้สองสามีภรรยาฟัง
“คุณมีคำถามอะไรไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“อืม ผมจะลองดูก็ได้” เขาพูด
เขาไม่อยากกิน นั้นคือเรื่องจริง แต่เขาก็ไม่ชอบที่จะต้องกินอาหารเหลวหรือซุปเหมือนกัน
“จำเอาไว้ด้วยนะครับ ว่าในอาหารเหลวจะต้องไม่มีเส้นใยใดๆเลย นี่เป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังให้มากนะครับ” หวังเย้าพูดกับภรรยาของคนไข้
สาเหตุของโรคเริ่มจากเส้นผม คนไข้ค่อนข้างอ่อนไหวกับอาหารที่มีเส้นใย ดังนั้น จึงต้องระมัดระวังในเรื่องนี้เป็นพิเศษ
“อ้อ ฉันจะจำเอาไว้ค่ะ” ภรรยาของคนไข้พูด
เธอกังวลเกี่ยวกับอาการป่วยที่แปลกประหลาดของสามีมาก เพราะอยู่ๆเขาก็เกิดไม่อยากกินอาหารขึ้นมาหน้าตาเฉย ถึงแม้ว่าเขาจะหิว แต่เขาก็ไม่ยอมกิน เขาเคยอยู่โดยไม่กินอะไรเลยสามวัน ดังนั้น เธอจึงกังวลว่า อาการป่วยอาจจะทำให้เกิดปัญหาอื่นตามมาอีก
“นี่เป็นยาที่ผมเตรียมไว้ให้ครับ ทั้งหมดเป็นอาหาร” หวังเย้าพูด “ไม่ต้องคิดมากเรื่องอาการป่วยนะครับ ค่อยๆรักษาไปช้าๆ”
“ได้ครับ ขอบคุณมากครับหมอหวัง” คนไข้พูด
“ยินดีครับ ผ่อนคลายเข้าไว้ แล้วก็อย่าคิดถึงของพวกนั้นตอนที่กำลังกินอยู่ด้วยนะครับ” หวังเย้าพูด
“ได้ ผมจะพยายาม” คนไข้ยิ้ม
ตอนนี้ ร่างกายของเขาผ่ายผอมมาก มันดูราวกับว่า เขาสามารถถูกลมพัดปลิวได้เลย
เมื่อสองสามีภรรยากลับไปแล้ว ศาสตราจารย์ลู่ก็เข้ามา “สวัสดี หมอหวัง”
“สวัสดีครับ เมื่อคืนไม่ค่อยได้นอนเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ใช่ ผมนอนไม่ค่อยหลับน่ะ” ศาสตราจารย์ลู่พูด
เขาอยู่ที่หมู่บ้านกลางเขาแห่งนี้มาเดือนกว่าแล้ว เขาอยากจะออกไปข้างนอก แต่ก็ทำไม่ได้เพราะกฎการกักตัว หลังออกมานานกว่าหนึ่งเดือน เขาก็เริ่มกังวลว่าครอบครัวของเขาจะคิดยังไง แม้แต่คู่สามีภรรยาที่รักใคร่กันดี ก็อาจจะเกิดความระแวงได้
“อาการของเวินหว่านเป็นยังไงบ้าง?” ศาสตราจารย์ลู่ถาม
“อาการของเธอดีขึ้นมากครับ” หวังเย้าพูด
เขาใช้ขี้ผึ้งต้วนชื่อที่เจือจางแล้วในการยื้อชีวิตของเธอเอาไว้ และการรักษาก็ยังได้ผลดีด้วย