Elixir Supplier - ตอนที่ 610
610 แขก
ในเวลาไม่นาน เขาก็ขุดหลุมได้เป็นสิบ เขาพบรูหนู แต่ในนั้นไม่มีแมลงอยู่ แล้วเขาก็พบว่า ดินในรูหนูนั้นมีอุจจาระของแมลงปนอยู่ด้วย
ถ้าหากไม่สังเกตให้ดี ก็อาจจะมองผ่านไปได้ แม้แต่คนที่มีความละเอียดรอบคอบก็อาจจะพลาดได้ หากพวกเขาไม่รู้ว่าตัวเองกำลังมองหาอะไร
ตอนนี้ หวังเย้าแทบจะมั่นใจในข้อสันนิษฐานของศาสตราจารย์หลิน ว่ามันเป็นเรื่องที่ถูกต้อง หนูบางตัวมีความสัมพันธ์พิเศษกับแมลงพวกนั้นอยู่ เขาจึงรู้สึกกระตือรือร้นที่จะขุดค้นรูหนูเหล่านี้ดู
เขาขุดไปสี่จุด และพบรูหนูในทุกจุด มันเหมือนเป็นทางเชื่อม ที่เชื่อมต่อไปยังสถานที่ต่างๆ
ในตอนที่เขากำลังติดพันกับงานอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงตะโกนของใครบางคน “เสี่ยวเย้า เธอกำลังทำอะไรน่ะ? ออกมาเร็วเข้า!”
เขาหันหน้าไปทางเสียงที่ดังมา และเห็นใครยางคนยืนอยู่ด้านนอกสถานที่แห่งความตาย เขาก็คือ หวังเฟิงหมิง “คุณลุงมาทำอะไรที่นี่ครับ?”
“ลุงมาตรวจดูแถวนี้ดูน่ะสิ” หวังเฟิงหมิงพูดด้วยความกังวล “ลุงกลัวว่า จะมีใครมาที่นี่แล้วติดเชื้อขึ้นมา ลุงเห็นว่า หลุมพวกนั้นมันลึกมาก ก็เลยกังวลขึ้นมา ไม่คิดเลยว่า เธอจะอยู่ที่นี่ด้วย ออกมาเถอะ มันอันตรายนะ!”
“ครับ” หวังเย้าออกมาจากหลุม
“รีบปัดเศษดินออกจากตัวเร็ว แล้วเธอก็ควรจะกลับไปอาบน้ำอาบท่าที่บ้านด้วยล่ะ” หวังเฟิงหมิงพูด
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ ผมไม่เป็นไร” หวังเย้าพูด “ผมไม่กลัวเรื่องพวกนี้หรอก แล้วคุณลุงกินยาต้านเชื้อไวรัสไปแล้วใช่ไหมครับ?”
“ใช่” หวังเฟิงหมิงพูด “อย่าอยู่ที่นี่ต่อเลย ไม่ควรมีใครมาที่นี่ เวลาลุงมาที่นี่ ลุงยังรู้สึกกลัวแปลกๆด้วยนะ”
“ได้ครับ ไปกันเถอะ” หวังเย้าเดินลงจากเขาไปพร้อมกับหวังเฟิงหมิง
“เธอกำลังหาอะไรอยู่เหรอ?” หวังเฟิงหมิงถาม
“ผมกำลังหาดูว่า ข้างล่างมันมีอะไรอยู่ แล้วก็คิดหาเหตุผลว่าทำไม แถวนั้นถึงไม่มีหญ้าขึ้นเลยสักต้น” หวังเย้าพูด
“แล้วเธอรู้รึยัง?” หวังเฟิงหมิงถาม
“รู้แล้วครับ” หวังเย้าพูด
“มันคืออะไรเหรอ?” หวังเฟิงหมิงถาม
“หนูครับ แล้วยังมีแมลงแปลกๆอยู่ด้วย แต่ผมก็เผาพวกมันไปจนหมดแล้ว ส่วนหนูยังตายไม่หมด” หวังเย้าพูด
“เรื่องนี้ง่ายมาก เธอก็เอายาเบื่อหนูไปโรยไว้แถวนั้นก็ได้แล้ว” หวังเฟิงหมิงพูด
“โอเคครับ” หวังเย้าพูด
ในตอนที่พวกเขาแยกกันกลับบ้าน หวังเฟิงหมิงก็พูดขึ้นมาว่า “ถ้าเธอรู้สึกไม่สบายตรงไหน ก็ให้รีบไปหาหมอด้วยล่ะ”
“คุณลุงลืมไปแล้วเหรอครับ ว่าผมก็เป็นหมอน่ะ?” หวังเย้าถาม
“ลุงรู้ แต่ก็อย่าประมาทล่ะ” หวังเฟิงหมิงพูด
หวังเย้ากลับไปที่บ้านพร้อมกับเสียมในมือ
“ลูกเอาเสียมไปทำอะไรเหรอจ๊ะ?” จางซิวหยิงถาม
“ผมกำลังขุดหาสมบัติอยู่ครับ” หวังเย้ายิ้ม
“แล้วเจอรึเปล่าล่ะ?” จางซิวหยิงถาม
“เจอครับ” หวังเย้าพูด
หลังจากพูดเล่นกับแม่ของเขาสองสามคำ หวังเย้าก็เข้าไปในห้อง บนตัวเขาไม่ได้มีเศษดินติดอยู่มากเท่าไหร่ ตอนที่เขาอยู่บนเขา ตัวเขามีกำแพงพลังฉีที่มองไม่เห็นปกคลุมเอาไว้ เพื่อเป็นการปกป้องตัวเขาเอง
“พี่สาวกับพี่เขยลูกจะมาที่บ้านคืนนี้นะจ๊ะ” จางซิวหยิงพูด
“จริงเหรอครับ?” หวังเย้ารู้สึกประหลาดใจ
ในระหว่างช่วงกักตัว หวังรุ่ยกังวลเกี่ยวกับทางบ้านเป็นอย่างมาก เธอโทรมาที่บ้านทุกวัน วันละหลายๆครั้ง ด้วยกลัวว่า จะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นที่บ้าน เธออยากจะกลับไปที่บ้าน แต่จางซิวหยิงกับหวังเฟิงฮวาก็ไม่ยอมให้เธอกลับ พอรู้ว่าการกักตัวถูกยกเลิก เธอก็กลับมาที่บ้านในทันที พอผ่านไปได้ไม่กี่วัน เธอก็คิดถึงบ้านขึ้นมาอีกแล้ว
“อยากให้ผมช่วยอะไรไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“ไม่จ๊ะ แม่เตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว” จางซิวหยิงพูด
“โอเคครับ ถ้าอย่างนั้น ผมช่วยแม่เตรียมอาหารนะครับ” หวังเย้าพูด
“ไม่ต้องหรอกจ๊ะ ลูกไปพักเถอะ” จางซิวหยิงพูด
ตู้หมิงหยางและหวังรุ่ยเดินทางมาถึงที่บ้านประมาณ 5 โมงเย็น
“คุณลุง คุณป้า เสี่ยวเย้า” ตู้หมิงหยางทักทายทุกคนอย่างยินดี
“เข้ามาก่อนสิ เร็วเข้า มากี่ทีก็ชอบเอาของมาให้อยู่เรื่อยเลยนะจ๊ะ อีกไม่นาน เราก็จะเป็นคนในครอบครัวเดียวกันแล้ว เธอไม่จำเป็นต้องสุภาพขนาดนี้หรอก” จางซิวหยิงพูดด้วยรอยยิ้ม
“พี่ แม่ สบายดีไหมคะ?” หวังรุ่ยถาม
“ผมอยู่ที่นี่ทั้งคน พ่อกับแม่ก็ต้องสบายดีอยู่แล้ว” หวังเย้าพูด
“เข้าไปนั่งในห้องก่อนเถอะจ๊ะ เสี่ยวรุ่ย มาช่วยแม่ที” จางซิวหยิงพูด
ผู้ชายสามคนเข้าไปนั่งในห้องนั่งเล่นและดื่มชากัน หวังเฟิงฮวาและตู้หมิงหยางต่างก็เป็นนับสูบทั้งคู่ แต่ในครั้งนี้ ตู้หมิงหยางไม่ได้สูบ
“เธอไม่สูบเหรอ?” หวังเฟิงฮวารู้สึกสงสัยขึ้นมา
“ผมเลิกสูบแล้วครับ เพราะเสียวรุ่ยไม่ชอบกลิ่นบุหรี่” ตู้หมิงหยางพูด
หวังเย้ายิ้ม เขารู้สึกมีความสุขแทนพี่สาวของเขา เพราะมันแสดงให้เห็นว่า พี่เขยในอนาคตของเขานั้นรักพี่สาวของเขามากแค่ไหน
ผู้หญิงกำลังคุยกันอยู่ภายในห้องครัว ไปพร้อมกับเตรียมอาหาร
“เริ่มชินกับการที่ได้อยู่กับเขารึยังจ๊ะ?” จางซิวหยิงถาม
“ก็ดีค่ะ” หวังรุ่ยพูด
“แล้วเขาปฏิบัติกับลูกดีไหม?” จางซิวหยิงถาม
“ดีค่ะ” หวังรุ่ยพูด
“อ้อ ถ้าอย่างนั้นก็ดี!” จางซิวหยิงยิ้ม พ่อแม่ต่างก็คาดหวังว่า ลูกๆของพวกเขาจะมีชีวิตการแต่งงานที่ดีและมีความสุข เพราะการแต่งงานนั้นเป็นเรื่องของการใช้ชีวิตร่วมกันในระยะยาว “แล้วลูกคิดจะมีหลานให้แม่เมื่อไหร่ดีล่ะ?”
“นั่นก็ขึ้นอยู่กับท่านเทพแล้วล่ะค่ะ” หวังรุ่ยพูด
แล้วอาหารก็เสร็จในเวลาไม่นาน พวกเขานั่งทานอาหารร่วมกันอย่างมีความสุข หวังเย้ายังดื่มไวน์ไปสองสามแก้วด้วย
“นายยังขึ้นไปนอนบนเนินเขาอยู่เหรอ?” หวังรุ่ยถาม
“อืม” หวังเย้าพูด
“พรุ่งนี้ ฉันจะพาพี่เขยของนายขึ้นไปดูข้างบนนะ” หวังรุ่ยพูด
“ได้สิ” หวังเย้าพูด
คืนนั้น หวังเย้ากลับขึ้นไปบนเนินเขาค่อนข้างดึก เมื่อขึ้นไปถึงด้านบนแล้ว เขาก็เข้านอนในทันที
วันต่อมา ตู้หมิงหยางและหวังรุ่ยไม่ได้ขึ้นไปบนเนินเขา เพราะหวังเย้าลงมาแต่เช้า ด้วยมีเพื่อนคนหนึ่งมาหาเขาที่คลินิก
“เหล่าซาง ทำไมถึงได้มาที่นี่ล่ะครับ?” หวังเย้าถาม
ซางกู้จื้อมาพร้อมกับชายน่าตาดีที่ดูมีอายุประมาณ 30 และดูเหมือนจะเป็นลูกศิษย์ของเขา
“ฉันมาทำธุระที่เมืองจี้น่ะสิ ก็เลยแวะมาหาเธอที่นี่ด้วย” ซางกู้จื้อพูด “ฉันได้ยินมาว่า เมื่อไม่นานมานี้ ที่นี่เกิดโรคระบาดขึ้น ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงกักตัวรึเปล่า?”
“อ่อ เขายกเลิกไปแล้วล่ะครับ” หวังเย้าพูด
“นี่เป็นลูกชายของฉันเอง ซางจี้หมิน” ซางกู้จื้อพูด
“สวัสดีครับ!” หวังเย้ารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เขารู้ว่า ซางกู้จื้ออายุ 70 กว่าปีแล้ว ดังนั้น เขาจึงคิดว่าลูกชายของเขาน่าจะอายุมากกว่านี้
“สวัสดีครับ หมอหวัง ผมได้ยินเรื่องของคุณมามาก แล้วคุณก็ยังดังมากด้วย” ซางจี้หมินพูด
“ไม่รู้เลยนะครับ ว่าผมจะมีชื่อเสียงกับเขาด้วย” หวังเย้าพูด “แล้วคุณรีบกลับไหมครับ?”
“ไม่หรอก” ซางกู้จื้อพูด
“อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนดีไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“เอาสิ” ซางกู้จื้อพูด
ทั้งสามอยู่คุยกันภายในคลินิก มันเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ที่จะพูดเรื่องการรักษา เพราะทั้งสามล้วนแล้วแต่เป็นหมอเหมือนกันหมด พวกเขาให้ความสนใจในเรื่องเหล่านี้เป็นปกติ โดยเฉพาะ ซางจี้หมิน
“เชื้อไวรัสตัวนี้ไม่เคยมีการค้นพบมาก่อนเหรอครับ?” เขาถาม
“ใช่ครับ มันเป็นโรคระบาดที่ไม่เคยมีการบันทึกมาก่อน” หวังเย้าพูด
“แมลงที่คล้ายกับแมงกับแมงแระชอนอย่างนั้นเหรอ หืม?” ซางจี้หมินรู้สึกอึ้งกับเรื่องนี้
“ครับ ผมยังได้ขอให้คนทางปักกิ่งช่วยหาผู้เชี่ยวชาญเรื่องแมลงช่วยดูเรื่องนี้ให้ด้วย แล้วนั่นก็เป็นข้อมูลทั้งหมดที่เขาพบครับ” หวังเย้าพูด
ซางจี้หมินมีคำถามมากมาย “แล้วตัวเชื้อแสดงอาการเร็วไหมครับ?”
“เร็วมากเลยครับ พิษจะเข้าไปอยู่ตามอวัยวะภายใน จากนั้น ผู้ติดเชื้อก็จะมีอาการสูญเสียสติสัมปชัญญะและคลั่งครับ” หวังเย้าพูด
“แล้วใช้ยาอะไรรักษาเหรอครับ?” ซางจี้หมินถาม
หวังเย้าบอกรายละเอียดของตัวยาที่ใช้รักษา มันไม่มีความจำเป็นที่ต้องปิดบังเรื่องนี้อยู่แล้ว
“ไม่คิดเลย ว่าหญ้าหางกระรอกจะทำแบบนี้ได้ด้วย” ซางจี้หมินพูด
ในตอนที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่นั้น ก็มีเสียงเคาะประตูดังมาจากด้านนอก
“เชิญเข้ามาได้เลยครับ” หวังเย้าพูด
เขาก็คือ หวูถงชิ่ง ที่เดินทางมาจากปักกิ่ง “สวัสดีครับ หมอหวัง หมอซาง”
“สวัสดี เลขาหวู” ซางกู้จื้อพูด
“ไม่ต้องทำตัวสุภาพขนาดนั้นก็ได้ครับ เรียกผม ถงชิ่งหรือเสี่ยวหวูก็พอ” หวูถงชิ่งพูด
“เชิญนั่งก่อนสิครับ ดื่มชาสักหน่อยนะครับ” หวังเย้าเทชาให้กับเขา “คุณมีเรื่องอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ?”
“โอ้ เรื่องอาการป่วยของพ่อผมน่ะสิ” หวูถงชิ่งพูด
“มันมีปัญหาเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“อาการของพ่อยังดีอยู่ครับ แต่เห็นเขาบอกว่า เขาเจ็บหน้าอกมาก จนนอนหลับไม่ได้เลย” หวูถงชิ่งพูด
“เรื่องปกติครับ มันเป็นเพราะโรคที่เขาเป็นอยู่” หวังเย้าพูด “อีกสองวันให้กลับมาอีกทีนะครับ ผมจะทำยาที่ช่วยลดอาการเจ็บหน้าอกให้”
“โอเคครับ ขอโทษที่มารบกวนนะครับ” หวูถงชิ่งพูด
หวังถงชิ่งอยู่ที่คลินิกประมาณ 20 นาทีและจากไป
“คิดไม่ถึงเลยนะ ว่าเขาจะมาถึงที่นี่ได้” ซางกู้จื้อพูด
“พ่อ เขาเป็นใครเหรอครับ?” ซางจี้หมินถาม
“เขาเป็นคนของตระกูลหวูในปักกิ่งน่ะ ตอนนี้เขามีตำแหน่งใหญ่โตอยู่ในสภาความมั่นคงของชาติ” ซางกู้จื้อพูด