Elixir Supplier - ตอนที่ 637
637 แผลลึก
“มันเป็นอาการเจ็บแบบไหนเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“มันจะมาเป็นพักๆ แล้วเจ็บเหมือนกับมีอะไรทิ่มอยู่ข้างในครับ” คนไข้พูด
“แล้วคุณมีอาการแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วครับ?” หวังเย้าถาม
หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ตอบกลับไปว่า “เอ่อ มันก็ประมาณหกถึงเจ็ดวันแล้วล่ะ”
หวังเย้าตรวจดูคนไข้อย่างละเอียด สีหน้าของเขาไม่ค่อยดีนัก เขามีถุงใต้ตาที่เห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ “ปกติคุณเข้านอนกี่โมงเหรอครับ?”
“ช่วงนี้ผมมัวแต่ยุ่งอยู่กับงาน ดังนั้น ผมก็จะเข้านอนช่วงหลังห้าทุ่มไป” คนไข้พูด
“แล้วเป็นแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วครับ?” หวังเย้าถาม
“อ็เกือบจะเดือนหนึ่งแล้วล่ะ” คนไข้พูด
เวลาหลังห้าทุ่ม เป็นเวลาที่ร่างกายจะเข้าสู่ช่วงเวลาของการพักผ่อน ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องนอนเพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ การที่นอนดึกเป็นประจำจะเป็นการส่งผลเสียต่อร่างกาย
“อาการปวดหัวของคุณเกิดจากการนอนน้อยครับ” หวังเย้าพูด “ขอแค่คุณพักผ่อนเพียงพอ และทำให้เป็นกิจวัตรประจำวัน ไม่นอนดึก มันก็จะไม่มีปัญหาใหญ่อะไรครับ”
“เฮ้อ หมอหวัง ผมก็อยากจะนอนเยอะๆเหมือนกันหรอก” คนไข้พูด “แต่ทุกครั้งที่ผมนอนลง ผมก็จะปวดหัวจี๊ดขึ้นมาเลย มันเลยทำให้ผมนอนไม่ได้ไปด้วย”
เพราะงานที่เขาทำอยู่ ทำให้เขามักจะต้องนอนดึกอยู่เสมอ และเมื่องานทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว เขาก็ต้องการการพักผ่อน แต่กลับทำไม่ได้
“เรื่องนี้ง่ายมากครับ” หวังเย้าหยิบเข็มเงินออกมาสองเล่ม และแทงเข็มลงไปสองจุดบนศีรษะของคนไข้ เขาหมุนเข็มอยู่สองสามครั้ง ก่อนที่จะดึงออก
“ก่อนจะเข้านอน คุณต้องพยายามทำใจให้สงบและหลีกเลี่ยงทุกอย่างที่จะไปกระตุ้นอารมณ์ของคุณนะครับ” หวังเย้าพูด
“โอ้ ได้ครับ” คนไข้พูด “แค่นี้เหรอครับ?”
“ถ้าคุณมีปัญหาในการนอนอีก ก็ให้กลับมาหาผมนะครับ” หวังเย้าพูด
“ค่ารักษาเท่าไหร่ครับ?” คนไข้ถาม
“ไม่คิดเงินครับ” หวังเย้ายิ้ม
“ขอบคุณครับ ขอบคุณ” คนไข้จากไปอย่างมีความสุข
ในตอนที่หวังเย้ารักษาคนไข้เสร็จหมดแล้วนั้น มันก็เป็นเวลาเที่ยงพอดี
เมื่อชายคนนั้นกลับไปบ้าน เขาก็เล่าเรื่องที่เขาไปคลินิกให้กับคนที่บ้านของเขาฟัง
“อืม หมอคนนี้มาเลวเลย เขาถึงขนาดไม่คิดเงินค่ารักษาคนไข้สักหยวนเลยด้วยนะ” เขาพูด
“มันจะมีหมอดีขนาดนั้นอยู่จริงๆเหรอ?” หนึ่งในสมาชิกครอบครัวถาม
“แน่นอน มันเป็นเรื่องจริงนะ” เขาพูด
“แล้วการรักษามันได้ผลรึเปล่า?” ญาติของเขาถาม
“มันได้ผลสิ ฉันไม่ปวดหัวแล้วด้วย” เขาพูด
ในตอนที่หวังเย้าเพิ่งจะทานอาหารกลางวันเสร็จ ก็มีแขกคนหนึ่งเดินทางมาที่คลินิกของเขา
“เสี่ยวเย้าอยู่ที่นี่ไหม?” เธอเป็นผู้หญิงที่อยู่หมู่บ้านเดียวกันกับเขา เธอมีอายุประมาณ 30 และในอ้อมแขนของเธอก็มีเด็กอยู่คนหนึ่ง
“สวัสดีครับ เข้ามานั่งข้างในก่อนสิครับ” หวังเย้าพูด “เป็นอะไรมาครับ?”
“ลูกของฉันเป็นไข้น่ะ เขาไม่ร้องไห้นะ แต่เขาเอาแต่นอนอย่างเดียวเลย ฉันรู้สึกกังวล ก็เลยพาเขามาหาเธอ” เธอพูด
“ถ้าอย่างนั้น พี่นั่งรออยู่ตรงนี้แปบนึงนะครับ” หวังเย้าพูด
ชาวบ้านส่วนใหญ่มักจะไปโรงพยาบาลเมื่อพวกเขาป่วย หากไม่ใช่สถานการณ์พิเศษจริงๆ พวกเขาก็จะไม่มารักษากับหวังเย้า และนี่ก็ถือเป็นสถานการณ์ที่ค่อนข้างเร่งด่วน
“ขอดูหน่อยนะครับ” หวังเย้าพูด
เด็กชายยังถือว่าเด็กอยู่มาก อย่างมากก็อายุไม่เกิน 2 ขวบ ใบหน้าของเขาแดงก่ำและกำลังนอนหลับอยู่ในอ้อมแขนของผู้เป็นแม่ หวังเย้ายื่นมือออกไปแตะที่หน้าผากของเขา มันร้อน เขามีไข้สูง
“เขาเป็นไข้มาได้กี่วันแล้วครับ?” หวังเย้าถาม
“เอ่อ วันนี้ก็เข้าวันที่สองแล้วล่ะ” เธอพูด
“แล้วเขาได้กินยาอะไรไปบ้างไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“เขากินยาแก้ไขไปแล้ว” เธอพูด “เมื่อเช้าไข้ก็ไม่มีแล้ว แต่พอตอนกลางวัน ไข้ก็กลับมาอีก แล้วเขาก็ไม่อยากอาหารด้วย”
“มีพิษร้อนอยู่ในร่างกายของเขาที่ต้องถูกขับออกครับ ถ้าไม่อย่างนั้น มันอาจจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ได้” หวังเย้าพูด
“แล้วเราจะทำแบบนั้นได้ยังไงกันล่ะ?” เธอถาม
“ช่วยวางเขาลงทีครับ” หวังเย้าพูด
เธอวางลูกชายลงที่โซฟา หวังเย้าแกะกระดุมเสื้อของเด็กชายและทำการนวดด้วยเทคนิคพิเศษ เด็กชายเป็นเด็กที่เชื่อฟังอย่างมาก เขาไม่ร้องไห้หรือทำตัวงอแงเลยสักนิด ทั้งที่ปกติแล้ว เด็กเล็กที่มีไข้สูง มักจะร้องไห้เพราะความไม่สบายตัวอยู่บ่อยครั้ง
ไม่นาน ตัวเด็กก็เริ่มมีเหงื่อออก เด็กที่มีไข้มักจะไม่มีเหงื่อออก การที่มีเหงื่อซึมอกมา ก็แสดงให้เห็นว่า ไข้ของเด็กเริ่มลดลงแล้ว
“เขาอาจจะมีผื่นขึ้นได้นะครับ” หวังเย้าพูด
“เขาเคยเป็นมาก่อนแล้ว” เธอพูด “คนเขาพูดกันว่า หลังจากที่ป่วยโรคใดโรคหนึ่งไปครั้งหนึ่งแล้ว ร่างกายของคนเราก็จะสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมา ใช่ไหม?”
“อาการผื่นขึ้นมันมีอยู่หลายสาเหตุมากเลยครับ” หวังเย้าพูด “อืม ตอนนี้ พิษร้อนถูกขับออกไปเกือบหมดแล้ว ส่วนที่เหลือร่างกายก็จะขับออกมาเอง เอาน้ำให้เขาดื่มเยอะๆ และช่วงที่ยังมีไข้อยู่ไม่ต้องให้เขาใส่เสื้อผ้าเยอะเกินไปนะครับ”
“โอ้ ได้สิ ขอบคุณนะ” เธอพูด “แล้ว…”
“ไม่คิดเงินครับ” หวังเย้าโบกมือ
เธอพาลูกชายออกไปด้วยความพอใจ
ในตอนบ่าย หลี่ชื่อหยูนำต้นไม้มาส่งเพิ่ม หวังเย้าใช้เวลาตลอดทั้งบ่ายไปกับการขนต้นไม้ขึ้นเขา, ขุดหลุม, และนำต้นไม้บางส่วนลงปลูก
ที่ตีนเขา มีรถยนต์สี่คันขับเข้ามาจอด
“เขาอยู่ที่นี่เหรอ?” ชายคนหนึ่งถาม
“ใช่ บ้านที่ออกแบบสไตล์หุย เป็นที่นี่แน่นอน” ชายอีกคนพูด
“อ้าว ทำไมประตูถึงล็อคอยู่ล่ะ?” ชายคนแรกถาม “เขาไม่อยู่นี่!”
หวังเย้าไม่อยู่ที่คลินิก เวลาที่เขาไม่รับคนไข้ เขาก็มักจะแขวนป้ายเอาไว้ที่หน้าประตู เพื่อแจ้งกับคนที่ต้องการมารักษากับเขาได้ทราบ
“แล้วเราจะทำยังไงกันดีล่ะ?” ชายคนแรกถาม
“งั้นเราก็กลับกันก่อนเถอะ ไว้ค่อยมาอีกที พรุ่งนี้เช้าแล้วกัน” ชายอีกคนพูด
หลังจากที่คนทั้งสองกลับไป ก็ยังมีคนมาที่คลินิกอีกและเห็นป้ายที่ติดอยู่ ดังนั้น พวกเขาจึงพากันกลับ แต่บางคนก็ไม่ยอมแพ้และคอยอยู่ด้านนอกคลินิกไปจนกระทั่งตะวันตกดิน ไม่มีใครเลือกจะไปหาเขาที่บ้านเลย ถึงพวกเขาบางคนจะรู้ว่าบ้านของเขาอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้อยู่แล้วก็ตาม เพราะมีกฎได้เขียนติดเอาไว้บนแผ่นป้ายที่แขวนอยู่หน้าประตู บางคนก็ได้รับการบอกกล่าวเรื่องกฎของหวังเย้ามาจากเพื่อนหรือญาติที่เป็นคนแนะนำให้มารักษากับเขามาก่อนแล้ว
เมื่อหวังเย้าลงมาจากเขา ท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว เขาเดินกลับไปที่คลินิก ซึ่งยังมีคนกำลังรอเขาอยู่ที่ด้านนอก หนึ่งในนั้นเป็นชายใส่แว่นกันแดดและสวมหน้ากาก ซึ่งปิดบังใบหน้าทั้งหมดของเขา ส่วนเส้นผมของเขานั้นเป็นสีเทาเกือบทั่วทั้งหัว
“สวัสดีครับ คุณมาหาหมอที่นี่เหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“เอ่อ ใช่ครับ” ชายคนนั้นพูด “คุณคือหมอหวังเหรอ?”
“ใช่ครับ” หวังเย้าตอบ “คุณไม่เห็นป้ายที่แขวนไว้เหรอครับ ว่าผมไม่รับคนไข้ตอนบ่ายน่ะ? แล้วคุณก็รออยู่ที่นี่ตลอดเลยเหรอครับ?”
“โอ้ ยังไงผมก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว” เขาพูด
“เข้ามาข้างในก่อนเถอะครับ” หวังเย้าเปิดประตูและเชิญเขาเข้าไปด้านใน
“คุณป่วยเป็นอะไรครับ?” หวังเย้าถาม “ผมขอตรวจดูหน่อยนะครับ”
“ชายคนนั้นถอดหน้ากากออก เขามีบาดแผลตั้งแต่มุมปากซ้ายไปจนถึงบริเวณติ่งหู รอยแผลเป็นสีม่วงช้ำดูน่ากลัวมาก
ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะใส่หน้ากากเอาไว้แบบนั้น แผลนี่ดูน่ากลัวจริงๆ
“คุณได้แผลนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?” หวังเย้าถาม
“ประมาณเดือนหนึ่งครับ” เขาพูด เมื่อเขาอ้าปากพูด ก็มีเลือดสีแดงเข้มซึมออกมาจากรอยแผลด้วย
“คุณเย็บมันเหรอ?” หวังเย้าถาม
“ใช่ แต่มันไม่หาย แถมยังติดเชื้อด้วย ก็เลยต้องเอาด้ายที่เย็บออก” เขาพูด
“คุณเป็นคนในพื้นที่รึเปล่าครับ?” หวังเย้าถาม
“เปล่า ผมมาจากเมืองเต๋า” เขาพูด
“แล้วคุณมารู้จักผมได้ยังไงเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“พี่หาวบอกเรื่องคุณกับผมมาน่ะ” เขาพูด
“เขาเป็นคนของซุนเจิ้งหรงใช่ไหม?” หวังเย้าถาม
“ใช่ เขานั่นแหละ” เขาพูด
หวังเย้าตรวจดูบาดแผลอย่างละเอียด ก่อนที่จะตรวจส่วนอื่นๆในร่างกายของเขา ร่างกายของเขาตึงแน่นและมีกลิ่นบางอย่างติดอยู่ เขามักจะขมวดคิ้วเป็นบางครั้ง ราวกับกำลังอดทนกับความเจ็บปวดอยู่
“นี่เป็นรอยแผลที่เกิดจากมีดสินะครับ” หวังเย้าพูดอย่างมั่นใจ
“ใช่” เขาตอบ
“คุณเป็นการ์ดเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“เอ่อ ผมคิดว่า คุณเรียกผมว่าพวกทำงานรับจ้างดีกว่า” เขาพูดพร้อมกับเช็ดเลือดที่มุมปากของเขาไปด้วย
“มีดที่ใช้มีพิษอยู่” หวังเย้าพูด “แล้วผมของคุณก็เริ่มขาวขึ้นด้วยใช่ไหม?”
“ใช่” เขาพูด
“ตาทั้งสองข้างของคุณก็มีปัญหาด้วยใช่ไหม?” หวังเย้าถาม
“ใช่!” เขารู้สึกประหลาดใจขึ้นมา จากนั้น เขาก็ถอดแว่นกันแดดออก เผยให้เห็นสีเหลืองในดวงตา
“ผมสามารถรักษามันได้ แต่ราคาก็สูงมากด้วย” หวังเย้าพูด
“ตกลง” เขาพูด
“งั้นรอเดี๋ยวนะ” หลังจากคุณกันเรียบร้อยแล้ว หวังเย้าก็เดินออกไป
ชายคนนั้นถูกทิ้งให้นั่งอยู่ภายในห้องเพียงลำพัง เขานั่งอยู่เงียบๆและมองไปรอบๆห้อง มันเป็นห้องที่ดูธรรมดามาก แถมยังดูหยาบเล็กน้อยอีกด้วย
เวลาผ่านไปไม่นาน หวังเย้าก็กลับเข้ามาในห้องพร้อมกับขวดกระเบื้องหนึ่งใบ เขาเทยาใส่ลงไปในถ้วยใบเล็ก “กินยานี่ซะ” ยาแก้พิษที่ทำขึ้นมาจากสมุนไพรแก้พิษ
หลังจากผ่านไปสิบนาที ชายคนนั้นก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“คุณรู้สึกดีขึ้นบ้างรึยัง?” หวังเย้าถาม
“ดีขึ้นมากเลยล่ะ” เขาพูด
เขาได้รับบาดเจ็บจากดาบที่คมกริบเล่มหนึ่ง ซึ่งมันเกิดขึ้นในขณะที่เขากำลังต่อสู้อยู่ ตัวดาบมีพิษที่ทำให้บาดแผลสมานตัวช้าลงเคลือบอยู่ด้วย ตัวพิษได้เข้าสู่ร่างกายของไปได้สองสามวันแล้ว ในระหว่างนั้น ผมของเขาก็เริ่มขาวและร่างกายของเขาเริ่มมีอาการปวด เขายังอาเจียนเอาทุกอย่างที่กินเข้าไปออกมาและมีสายตาที่พล่ามัวด้วย พลังงานที่ล้นเหลือและกำลังกายเริ่มลดลงไปจนแทบไม่มีเหลือ