Elixir Supplier - ตอนที่ 641
641 ย้ายออก
ซูเสี่ยวซวีทำหน้าบึ้งด้วยความไม่พอใจ แต่ซงรุ่ยปิงก็ยอมในเรื่องนี้เช่นกัน
การทำเรื่องเข้าเรียนของเธอเสร็จเรียบร้อยอย่างรวดเร็ว ในวันแรกที่ไปเรียน การปรากฏตัวของเธอได้สร้างความฮือฮาในมหาวิทยาลัยอย่างมาก
นักศึกษาจำนวนมากได้พูดถึงสาวสวยคนหนึ่ง ที่งดงามราวกับออกมาจากภาพวาด บางคนได้พยายามค้นหาตัวตนของเธอด้วยหลากหลายวิธีการ แล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ
ภูมิหลังของเธอกลายเป็นเหมือนกับคูกำแพงเมืองที่ปิดกั้นคนจำนวนมากเอาไว้ แต่แน่นอนว่า ยังมีบางคนที่ยังคงหวังว่า พวกเขาจะสามารถสานสัมพันธ์กับเธอเพื่อสร้างตำนานความรักขึ้นมา
ซูเสี่ยวซวีได้รับจดหมายรักจำนวนมาก คลื่นของกลุ่มคนที่คลั่งไคล้เธอกำลังเพิ่มมากขึ้น แต่แล้วพวกเขาก็ได้รับข่าวร้าย เธอมีชายในดวงใจอยู่แล้ว
น่าสงสัย เขาเป็นใครกัน? ใครที่สามารถครอบครองหญิงสาวคนนี้ได้?
พวกเขาต่างพากันคาดเดา แต่ก็ไม่มีใครที่ได้คำตอบจากคำถามนี้
“ชูเหลียน เสี่ยวซวีอยู่ที่มหาลัยเป็นยังไงบ้าง?” ซงรุ่ยปิงรู้สึกกังวลเกี่ยวกับลูกสาวของเธอ เพราะถึงยังไง ซูเสี่ยวซวีก็ห่างหายจากการพบปะผู้คนมากว่าสองปี ถึงเธอจะบอกว่า การสร้างความสัมพันธ์กับคนในมหาวิทยาลัยเป็นเรื่องธรรมดา แต่เธอก็อดกังวลไม่ได้อยู่ดี เธอจึงจัดให้คนคอยตามไปเฝ้าดูแลซูเสี่ยวซวีที่มหาวิทยาลัยด้วย
ลูกสาวของเธอเปล่งประกายซะขนาดนั้น แล้วเธอจะไม่กังวลได้ยังไงกัน?
“ตอนที่คุณหนูเข้าไปในมหาลัย ก็ได้สร้างความฮือฮาอย่างมากค่ะ ในวันแรก เธอก็ได้รับจดหมายรักมาฉบับหนึ่งด้วย” ชูเหลียนพูด “แต่คุณหนูก็บอกไปว่า เธอมีคนที่ชอบอยู่แล้วค่ะ”
“เธอพูดให้ทุกคนได้ยินเลยเหรอ?” ซงรุ่ยปิงถาม
“ใช่ค่ะ” ชูเหลียนพูด
“เฮ้อ เด็กคนนี้นี่ แต่ก็ดี ปัญหาหลายๆอย่างก็จะได้ลดลงไปด้วย” ซงรุ่ยปิงพูด
“คุณผู้หญิงคะ ที่คุณหนูพูดไปเป็นเรื่องจริงนะคะ” ชูเหลียนพูด
“ฉันรู้ เขาก็คือหวังเย้าที่อยู่หมู่บ้านกลางเขาคนนั้น” ซงรุ่ยปิงพูด
“เป็นเขาแน่นอนค่ะ” ชูเหลียนพูด
ซงรุ่ยปิงไม่ได้พูดอะไรอีก เธอเพียงแค่มองท้องฟ้าด้านนอกเงียบๆเท่านั้น
…
บนเนินเขาหนานชาน มีต้นไม้อยู่สองแถว ทั้งยังมีสิ่งกีดขวางทางเข้าสู่ค่ายกลรวมวิญญาณอีกหลายอย่าง
“เป็นยังไงบ้าง ซานเซียน?” หวังเย้าถาม
โฮ่ง! โฮ่ง! ซานเซียนส่งเสียงเห่าออกมาสองครั้ง แสดงให้รู้ว่า มันทำส่วนของมันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“หน้าที่รดน้ำต้นไม้ขอยกให้นายนะ” หวังเย้าพูด
โฮ่ง! โฮ่ง! ซานเซียนส่งเสียงเห่า แล้วเริ่มคาบถังน้ำเพื่อนำไปรดน้ำต้นไม้
หวังเย้าเดินกลับไปที่แปลงสมุนไพร ด้านหนึ่งของกระท่อม มีต้นชาหลายต้นเติบโตเป็นอย่างดีอยู่
เมื่อเวลาผ่านไป หวังเย้าก็แทบจะลืมพวกมันไปเลย ความจริงแล้ว ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเก็บชาคือใกล้กับวันเทศกาลเช็งเม้ง
“เก็บส่วนนี้ก่อนแล้วกัน” หวังเย้าทำตามวิธีการเก็บใบชาที่ได้เรียนมาจากอาจารย์ซวี รวมไปถึงขั้นตอนการแปรรูป ซึ่งเขาพอจะรู้จุดสำคัญในการทำอยู่บ้างแล้ว
เขาจัดการเก็บใบชาอย่างรวดเร็ว หลังเวลาผ่านไปสักพัก เขาก็เก็บชาได้จนเต็มถุง ใบชาสดหนึ่งถึงสองกิโลสามารถแปรรูปออกมาเป็นใบชาแห้งได้แค่ครึ่งกิโลเท่านั้น หลังจากปลูกเอาไว้จนผ่านไปแล้วปีหนึ่ง ต้นชาก็ดูเหมือนจะมีกิ่งก้านสาขาเพิ่มขึ้นมา ซึ่งแสดงให้เห็นว่า มันมีการเจริญเติบโตที่ดี
หวังเย้าพยายามแปรรูปใบชาด้วยตัวเอง เขาต้องการหม้อเพื่อทำการอบ, ผัด, และทอดใบชา เขาไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ ตามจริงแล้ว เขายังไม่ถือว่าเป็นผู้เริ่มต้นด้วยซ้ำ อย่างมาก เขาก็เป็นได้แค่เด็กใหม่เท่านั้น
เขาแค่รู้ขั้นตอนของการทำ แต่การลงมือทำจริงๆนั้น จำเป็นต้องมรประสบการณ์ในจุดสำคัญของการลงมือและการควบคุมอุณหภูมิ หวังเย้าลองพยายามดูด้วยตัวเอง แต่แล้วเขาก็ค่อยๆยอมแพ้ไปเอง เขาจึงนำผลงานที่ทำครึ่งๆกลางๆไปที่หมู่บ้านริมน้ำ เพื่อไปหาอาจารย์ซวี
“ขอโทษที่ต้องมารบกวนอาจารย์อีกแล้วนะครับ” หวังเย้าพูด
“หืม นี่อะไรน่ะ?” ซวีเม่าเชิงถาม เขาเห็นว่า ใบชานั้นมีคุณภาพดีกว่าปีที่แล้วมาก “บอกตามตรงนะ การที่ในไร่ของฉันสามารถผลิตใบชาในระดับนี้ได้ จะถือว่าเป็นเกียตริอย่างมากเลยล่ะ!”
“ลองดูสิครับ ผมลองผัดใบชาดูแล้ว แต่ผมยังรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ผมก็เลยหยุดทำน่ะครับ” หวังเย้าพูด ใบมือของเขาถือใบชาที่เพิ่งจะถูกผัดไปได้ไม่นานอยู่ด้วย
“ขอฉันดูหน่อยซิ” ซวีเม่าเชิงหยิบใบชาขึ้นมาดูอย่างละเอียด “ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรหรอก”
“ปีนี้ อาจารย์ยุ่งไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“ไม่ค่อยยุ่งหรอก งานในไร่ก็ยกให้พวกคนหนุ่มๆไปหมดแล้ว ส่วนฉันก็แค่คอยให้คำแนะนำเท่านั้น ตอนนี้ ฉันก็เลยมีเวลาว่างเยอะเลยล่ะ” ซวีเม่าเชิงพูด
ในตอนที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่นั้น ภรรยาของเขาก็นำชาออกมาเสริฟให้
“ลองชิมดูสิ นี่เป็นชาที่เพิ่งเก็บปีนี้เอง” ซวีเม่าเชิงพูด
น้ำชามีสีเขียวอ่อนและส่งกลิ่นหอมออกมา
“อืม มันรสชาติดีมากครับ” หวังเย้าพูด
“อืม เรามาผัดใบชากันเถอะ” ซวีเม่าเชิงพูด
“ผมจะขอตามไปเรียนรู้ด้วยนะครับ” หวังเย้าพูด
พวกเขาจุดไฟเพื่อให้กระทะร้อนพอสำหรับการผัดใบชา ซวีเม่าเชิงอธิบายขั้นตอนต่างๆในตอนที่มือของเขากำลังทำงานไปด้วย
“ผมขอลองหน่อยนะครับ” หวังเย้าพยายามทำดูอยู่หลายครั้ง “ดูต้องสีของมันสินะครับ”
“อืม ดูสี แล้วก็รูปทรงของใบชาด้วย” ซวีเม่าเชิงพูด
เพียงแค่มองดู เขาก็บอกระดับของใบชาได้แล้วเขาจึงยื่นมือออกไปหยิบใบชาขึ้นมาดู
หลังจากการทำงานตลอดทั้งเช้า พวกเขาก็ได้ใบชาแห้งมาทั้งหมดครึ่งกิโล
“เรามาลองกันเถอะ” ซวีเม่าเชิงพูด
การดื่มชาเข้าไปหนึ่งถ้วย ทำให้ภายในปากของพวกเขาเต็มไปด้วยรสชาติที่สดชื่น
“ชาดี!” ซวีเม่าเชิงชม
“นี่สำหรับอาจารย์ครับ” หวังเย้าพูด
ใบชาแห้งถูกแบ่งใส่ในกล่องสี่ใบ หวังเย้าแบ่งให้ซวีเม่าเชิงไปหนึ่งกล่อง
“อืม ฉันชอบมันมากเลย” ซวีเม่าเชิงพูด
“ถ้าเอาไปขาย ก็คงจะได้อย่างน้อยๆก็ 5,000 หยวนต่อครึ่งกิโลนะครับ” หวังเย้าพูด “แต่เก็บเอาไว้ดื่มเองดีกว่า”
“เที่ยงนี้จะอยู่กินข้าวด้วยกันไหม?” ซวีเม่าเชิงถาม
“ไม่ล่ะครับ กลางวันนี้ ผมยังมีเรื่องที่ต้องไปทำต่ออีก” หวังเย้าพูด
หวังเย้ากลับออกมาในเวลาเที่ยงกว่าแล้ว
“เช้านี้ ลูกไปที่ไหนมาเหรอจ๊ะ?” จางซิวหยิงถาม “มีคนมารอรักษากับลูกเยอะเลยล่ะ”
“ผมไปหาคนแปรรูปใบชาให้น่ะครับ พ่อกับแม่ลองเอาไปชอมดูนะครับ” หวังเย้าหยิบชาออกมาหนึ่งกล่อง พ่อของเขาชอบดื่มชา แต่ที่บ้านมีชาอยู่เยอะมาก ดังนั้น เขาจึงไม่สามารถกินชาทั้งหมดได้
ใบชาใหม่ของปีที่แล้วก็กลายมาเป็นชาเก่าในปีนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก
“จ๊ะ พ่อเขาชอบดื่มชาพวกนี้อยู่แล้ว แต่แม่คงดื่มเยอะไม่ได้ ไม่อย่างนั้นก็จะนอนไม่หลับ” จางซิวหยิงพูด
“ดื่มน้อยๆก็ได้ครับ” หวังเย้าพูด น้ำชาควรใส ไม่ข้น
หลังจากหาอะไรกินแล้ว หวังเย้าก็เดินไปที่คลินิก
ตอนกลางวัน มีคนไข้ที่มาในตอนเช้ากลับมาที่คลินิกอีกครั้ง หวังเย้าจึงยุ่งไปตลอดทั้งบ่าย เขาตรวจคนไข้คนสุดท้ายก็เป็นตอนที่ฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว
เมื่อเขากลับไปที่บ้าน เขาก็พบกับเฉินหยิงและเฉินโจว ทั้งสองเพิ่งทานอาหารเย็นเสร็จและพากันออกมาเดินเล่น
“หมอหวัง” เฉินหยิงพูด
“ออกมาเดินเล่นเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ค่ะ เชียนเชิงคะ ฉันมีเรื่องจะบอกด้วยค่ะ” เฉินหยิงพูด
“เรื่องอะไรเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“อาการป่วยของเฉินโจวเป็นยังไงบ้างคะ?” เฉินหยิงถาม
“ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้วนะครับ” หวังเย้าพูด
“โอเคค่ะ เราวางแผนกันว่า เราจะไปจากที่นี่ในอีกสองวันค่ะ” เฉินหยิงพูด “ที่นี่ยังมีบ้านว่างอยู่ไหมคะ?”
“เอ่อ ครับ ยังมีอยู่” หวังเย้าพูด
ทันทีที่หวังเย้าถามซุนหยุนเชิงเกี่ยวกับเรื่องบ้านเก่า เขาก็รับปากอย่างรวดเร็ว ถ้าหากหวังเย้าต้องการจะสร้างบ้านขึ้นมาแทนหลังเก่า ซุนหยุนเชิงก็ไม่มีทางปฏิเสธอย่างแน่นอน
“ดีครับ” หวังเย้าพูด
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ทุกคนจะทันได้รู้ตัว มันก็เข้าสู่เดือนพฤษภาคมที่ร้อนระอุแล้ว ชาวบ้านในหมู่บ้านต่างเริ่มพากันขนย้ายข้าวของเพื่อย้ายเข้าไปอยู่ในตัวเมือง
แต่เดิม พวกเขาไม่ได้รู้สึกกังวลอะไร เพราะบ้านที่ได้รับการตกแต่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จะสามารถเข้าอยู่ได้ทันที ในระหว่างนี้ กลิ่นที่เป็นพิษและส่งผลเสียต่อสุขภาพจากการตกแต่งใหม่ก็ได้หายไปหมดแล้ว
มีชาวบ้านบางคนติดเชื้อที่เคยระบาดอีกครั้ง ซึ่งได้สร้างความหวาดกลัวให้กับชาวบ้านอย่างมาก ถึงแม้ว่าพวกเขาจะรอดพ้นจากอันตรายด้วยการรักษาที่ทันเวลาก็ตามที แต่มันก็ยังคงเป็นเรื่องจริง ที่มีคนป่วยอีกครั้ง พวกเขาคิดว่า เรื่องได้จบไปนานแล้ว แต่มันก็ยังกลับมาอีกครั้งในขณะที่ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติแล้ว ไม่มีใครอยากจะมีชีวิตที่ต้องคอยกังวลอยู่ตลอดเวลา
หลังจากที่ครอบครัวแรกย้ายออกไปจากหมู่บ้าน ก็เริ่มมีครอบครัวสอง ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์ มีเกือบ 20 ครอบครัวที่ได้ย้ายออกไปจากหมู่บ้าน ทั้งหมู่บ้านจึงดูเหมือนถูกทิ้งร้าง
“เสี่ยวเย้า ทำไมแมลงพวกนั้นถึงโผล่มาอีกแล้วล่ะ?” จางซิวหยิงถามในระหว่างที่ทานอาหารกันอยู่
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ บางทีมันอาจจะไม่ใช่เพราะแมลงก็ได้ แต่อาจจะเป็นอย่างอื่นแทน” หวังเย้าพูด
“มันทำให้คนอื่นเป็นกังวล แล้วคนก็เริ่มย้ายออกกันแล้ว” จางซิวหยิงพูด
หวังเย้าก้มหน้าทานอาหารไปเงียบๆ ในความคิดของเขา การย้ายออกถือเป็นเรื่องที่เข้าใจได้
มันยังมีแมลงอยู่ หรือแค่อาจจะมี เขาไม่แน่ใจว่าพวกมันยังมีอยู่หรือไม่ และนั่นก็หมายถึงอันตรายที่ยังคงอยู่ ถ้าหากชาวบ้านยังอาศัยอยู่ที่นี่ต่อไป มันก็อาจจะเป็นอันตรายสำหรับพวกเขาได้ ดังนั้น การย้ายออกจึงถือเป็นเรื่องที่ฉลาด
ในตอนเย็น ภายในหมู่บ้านเงียบสงัด หวังเย้ายืนอยู่บนยอดเขาและมองดูท้องฟ้ง เขากำลังมองดูพลังฉีของเนินเขาหนานชานอยู่
ฉันมองไม่เห็นมัน!
เขาไม่ใช่อาจารย์ดูฮวงจุ้ย ดังนั้น เขาจึงมองไม่เห็นสิ่งที่เรียกว่า “พลังฉีแห่งความตาย” เขารู้สึกสงสัยว่าคนเหล่านั้นมองเห็นมันได้ยังไง หรือจะเป็นแค่จินตนาการของพวกเขาเท่านั้น?