Elixir Supplier - ตอนที่ 650
650 เชียนเชิง มาสู้กัน
ปัญหาของคนไข้อยู่ที่ตับ ตับของเธอเสียหายอย่างหนัก จนไม่สามารถทำงานได้เป็นปกติ ตับมีหน้าที่สำคัญในร่างกายมนุษย์ และคอยสนับสนุนร่างกายอยู่อย่างเงียบๆ ซึ่งหมายความได้ว่า หากมันเหนื่อยหรือบาดเจ็บ มันก็จะไม่บอกให้ผู้เป็นเจ้าของร่างกายรับรู้ เมื่อรู้ว่าร่างกายเกิดความผิดปกติ อาการของมันก็แย่ไปมากแล้ว
“อายุ 12 ปีเหรอ?” หวังเย้าถาม
“ใช่” เขาพูด
“เธออยู่ที่ไหนเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“เธอรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลในเมืองจี้” เขาพูด
เขาได้เห็นความสามารถที่น่าทึ่งของหวังเย้ามาแล้ว ดังนั้น เขาจึงกลับมาอีกครั้งพร้อมกับประวัติการรักษาของน้องสาว น้องสาวของเขารักษาตัวอยู่ที่เมืองจี้ แต่ผลลัพธ์กลับไม่ได้ดีอย่างที่คิด โรงพยาบาลทำได้เพียงชะลออาการของเธอไม่ให้แย่ลงไปกว่านี้เท่านั้น
“ถ้าสะดวก ช่วยพาเธอมาหาผมที่นี่ทีนะครับ” หวังเย้าพูด
“หมอรักษาเธอได้ไหม?” เขาถาม
“ผมจะลองดู” หวังเย้าพูด “แต่ราคาก็สูงมากนะครับ”
“ไม่มีปัญหา ขอบคุณมาก” เขาพูด เขาได้ขอเบอร์โทรจากหวังเย้าเอาไว้ ก่อนที่จะกลับออกไป
ในตอนนี้ จำนวนคนไข้ที่ป่วยด้วยอาการเส้นเลือดอุดตันได้เดินทางมารักษาเป็นจำนวนที่ค่อนข้างมาก ในทุกๆวันจะมีมาอย่างน้อยหนึ่งคน รวมไปถึงคนที่เคยมาซ้ำด้วย
การฝังเข็ม, การนวด, และกินยา คือการรักษาที่เรียบง่ายแต่ได้ผลดีในคนที่มีอาการไม่หนักมาก ส่วนคนที่อาการหนัก ก็จะดีขึ้นได้ภายในหนึ่งอาทิตย์ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อและคาดไม่ถึงสำหรับตัวคนไข้เอง การป่วยด้วยโรคนี้ หมายถึงสูญเสียความสามารถในการทำงานไป ทำให้การใช้ชีวิตประจำวันลำบากขึ้น คนไข้ทุกคนที่มารับการรักษาที่คลินิกล้วนแล้วแต่หายดี และบางคนยังสามารถกลับไปทำงานได้เหมือนเดิมด้วย
หมอที่มีชื่อเสียงคืออะไร? คือคนที่มีความสามารถที่น่าอัศจรรย์ แล้วหมอแห่งปาฏิหาริย์ล่ะ? ก็คือคนที่สามารถรักษาโรคที่ไม่มีใครสามารถรักษาได้ยังไงล่ะ แล้วหวังเย้าก็เริ่มถูกใครหลายๆคนเรียกว่า “หมอแห่งปาฏิหาริย์”
“ผมไม่กล้ารับหรอกครับ ผมเป็นแค่แพทย์ปรุงยาคนหนึ่งเท่านั้น” หวังเย้าตอบสนองต่อคำเรียกที่ได้ยินต่อหน้าเป็นครั้งแรก
แล้วใครคือคนที่สมควรได้รับคำเรียกแบบนั้นกัน?
เมื่อได้รับยาเป็นประจำ การฟื้นตัวของเจิ้งเหว่ยจวินก็เป็นไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ เขาสามารถลุกขึ้นยืนได้อย่างช้าๆและก้าวเดินได้สองสามก้าวในแต่ละครั้งแล้ว
ช่วงนี้ เขาจึงมักเอ่ยออกมาว่า “การมีชีวิตมันดีจริงๆ”
เขามาที่คลินิกในตอนที่หวังเย้าเพิ่งจะตรวจคนไข้คนสุดท้ายเสร็จพอดี เขาอยากจะมาให้เร็วกว่านี้ แต่ช่วงนี้หวังเย้ายุ่งมาก เขาจึงไม่อยากจะมารบกวนเวลาทำงานของหวังเย้า
“งานเสร็จแล้วเหรอครับ?” เจิ้งเหว่ยจวินถาม
“อืม นี่เป็นคนไข้คนสุดท้ายแล้วล่ะ” หวังเย้าพูด “เข้ามาข้างในเถอะครับ”
เจิ้งเหว่ยจวินและเจิ้งชื่อฉงเดินเข้าไปในคลินิก
“คุณรู้สึกไม่สบายตรงไหนรึเปล่า?” หวังเย้าถาม
“ไม่ครับ ทุกอย่างดีมาก ผมรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองดีขึ้นในทุกๆวันเลยล่ะครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด
“ดีครับ ร่างกายของคุณกำลังฟื้นตัวอยู่” หวังเย้าพูด “พิษในร่างกายของคุณถูกขับออกไปเกือบหมดแล้ว คุณต้องระมัดระวังในเรื่องที่ผมเคยบอกไว้ แล้วก็ดูแลสุขภาพจิตของตัวเองด้วย”
“ครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด
“มีเรื่องอะไรอีกรึเปล่าครับ?” หวังเย้าถาม
“เอ่ออออ…มีอยู่อีกเรื่องหนึ่งครับ…” เจิ้งเหว่ยจวินลังเล “ผมมาเพื่อขอบคุณหมอครับ”
“อ่อ คุณไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นหรอกครับ” หวังเย้าพูด
“หมอหวัง หมอไม่เข้าใจหรอกว่าผมรู้สึกยังไง” เจิ้งเหว่ยจวินพูด “มันเหมือนกับผมได้ชีวิตใหม่เลยนะครับ ชีวิตก่อนหน้านี้ของผมมีแต่ความพล่ามันไร้สีสัน ผมแทบจะสิ้นหวัง ด้วยความคิดที่ว่า ชีวิตนี้ทั้งชีวิตคงจะเป็นแบบนี้ไปตลอด แต่เมื่อได้รักษากับหมอ ผมก็ได้มีโอกาสมองเห็นแสงอาทิตย์และความหวัง ปีนี้ผมอายุแค่ 24 เท่านั้น ผมรู้สึกว่า ผมยังเหลือเวลาในชีวิตนี้อีกหลายสิบปี ตั้งแต่ที่ป่วย นี่เป็นครั้งแรกที่ผมมีความคิดแบบนี้”
“การเปลี่ยนแปลงทางความคิดของคุณสำคัญมากนะครับ การคิดบวกจะส่งผลดีต่อการฟื้นตัวของคุณด้วย” หวังเย้าพูด
“ได้โปรด อนุญาตให้ผมแสดงความขอบคุณในแบบของผมด้วยนะครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด
“ยังไงเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ผมติดหนี้หมออยู่ ขอแค่หมอเอ่ยมา ผมจะทำทุกอย่างในทันทีเลยครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด
มันเป็นคำสัญญาโดยไม่มีอะไรเป็นพิเศษ มันว่างเปล่าและกว้าง แต่มันก็เต็มไปด้วยพลัง
หวังเย้าเพียงยิ้มให้ “โอเค ผมเข้าใจแล้ว”
“ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป หมอหวังคือแขกคนสำคัญของตระกูลเจิ้ง ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่หมอต้องการขอความช่วยเหลือ ได้โปรดบอกกับเราได้ทันทีเลยนะครับ” เจิ้งชื่อฉงที่ยืนอยู่ด้านหลังเจิ้งเหว่ยจวินพูด
หวังเย้ายิ้ม
หลังจากพูดไปหลายประโยค สองลุงหลานก็จากไป
น่าสนใจ หวังเย้าทำความสะอาดและกลับบ้าน
…
เขตเมี่ยวที่ไกลออกไปหลายพันไมล์…
ในหมู่บ้านกลางเขาที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าเขียวขจี มีเสียงของนกร้อง กลิ่นหอมของดอกไม้ และหมู่อาคารที่ตั้งอยู่ภายใต้ร่มเงาของแมกไม้ มันดูราวกับดินแดนสงบสุขในฝันที่ไม่มีอยู่จริง
ภายในอาคารไม้หลังหนึ่ง เตาหลอมทองแดงรุ่นเก่าส่งกลิ่นไหม้ออกมา
“ลุง” เมี่ยงชิงเฟิงและจ้าวหยิงหาวคุกเข่าอยู่ที่พื้นอย่างสงบเสงี่ยม
“ที่กลับมาเพราะไปสร้างเรื่องอีกแล้วใช่ไหม?” เมี่ยวซีเหอถาม
“ครับ ผมไปฆ่าคนมา” เมี่ยวชิงเฟิงพูด
“พี่เมี่ยวแหกกฎก็เพราะผม ได้โปรดลงโทษผมคนเดียวเถอะครับ ลุง” จ้าวหยิงหาวรีบพูดขึ้นมา
“เพราะเรื่องอาจารย์ของเธออีกแล้วเหรอ?” เมี่ยวซีเหอถาม
“ครับ” จ้าวหยิงหาวพูด
“เธอใจร้อนเกินไป” เมี่ยวซีเหอที่นั่งอยู่บนหินสี่เหลี่ยมก้อนหนึ่งมีสีหน้าอึกครึม เขาพูดออกมาด้วยท่าทีนิ่งสงบว่า “ขังตัวเองเป็นเวลาหนึ่งปี ทุกคำขอจะถูกปฏิเสธทั้งหมด”
“ครับ อาจารย์” จ้าวหยิงหาวพูด
“ครับ ลุง” เมี่ยวชิงเหิงพูด
พวกเขาพากันเดินออกไปจาอาคารไม้ไผ่
“ขอบคุณมากนะ พี่!” จ้าวหยิงหาวขอบคุณเมี่ยวชิงเฟิงด้วยใจจริง
“เราเป็นครอบครัวเดียวกัน นายไม่ต้องเกรงใจกันหรอก” เมี่ยวชิงเฟิงโบกมือ “แต่ยังไง เราก็ยังต้องขังตัวเองไปปีหนึ่ง”
การขังตัวเองเป็นเพียงคำพูดฟังดูดี แต่จริงๆก็คือการถูกกักบริเวณนั่นเอง
“คำตัดสินของลุงถือว่าช่วยเรามากแล้ว” เมี่ยวชิงเฟิงพูด
เปลวเพลิงของความแค้นยังคงลุกไหม้อยู่ภายในอกของเขา แต่มันก็ไม่ได้รุนแรงเท่ากับตอนที่อยู่ในเมืองเต๋า มันกำลังหลบซ่อนตัวคล้ายกับลาวา เมื่อมันตื่นขึ้นมา มันก็จะยิ่งรุนแรงและดุร้ายกว่าเดิมหลายเท่า
“ภายในหนึ่งปี นายก็ต้องพยายามฝึกฝนให้มากที่สุด เหนือผิวทองแดงและกระดูกเหล็กไหลก็ยังมีการสร้างอวัยวะที่แข็งแกร่งต่ออีก” เมี่ยวชิงเฟิงพูด “ในเมื่อเขาอยู่ในตระกูลสูง เขาก็จะสามารถสานสัมพันธ์กับคนมากหน้าหลายตา เหมือนกับผู้ชายที่ราวกับเทพบนดินที่นายเคยเล่าให้ฟังยังไงล่ะ”
“อืม ผมจะจำคำของพี่เอาไว้” เมื่อพูดถึงชายคนนั้นขึ้นมา อยู่ๆจ้าวหยิงหาวก็รู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล
เหตุการณ์ในหมู่บ้านครั้งนั้น พวกเขาทั้งสาม หนึ่งอาจารย์ สองศิษย์ ล้วนพ่ายแพ้ให้กับชายคนนั้นในทันทีโดยไม่อาจจะต้านทานอะไรได้เลย พวกเขาสามคนรวมกันยังสู้กับเขาคนเดียวไม่ได้ เขาคือคู่ต่อสู้ที่พวกเขาไม่เคยพบพานมาก่อน และไม่อยากจะเจอด้วย
“ฟังจากคำพูดของนาย เขาอาจจะเก่งกว่าอาจารย์ก็ได้นะ” เมี่ยวชิงเฟิงพูด
“เขาเทียบกับอาจารย์ไม่ได้หรอกครับ” จ้าวหยิงหาวพูด ทั้งที่ในใจของเขากลับตอบอีกอย่าง ทักษะของชายหนุ่มคนนั้นดูเหมือนจะสูงกว่าเที่ยวซีเหอด้วยซ้ำ “เขามีความสามารถขนาดนั้นทั้งๆที่อายุแค่นั้นได้ยังไงกันนะ?”
สำหรับเรื่องนี้ ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้น แต่ยังรวมหลายๆคนที่รู้พื้นหลังของหวังเย้าด้วย ที่ต่างก็ไม่เข้าใจ
…
ในขณะที่หวังเย้ากำลังรักษาคนไข้อยู่นั้น ก็มีแขกที่คาดไม่ถึงเดินทางมากาในตอนกลางวัน
“เชียนเชิง คุณยุ่งไหมครับ?” กั๋วเจิ้งเหอถาม
“อืม ฉันยังมีคนไข้อีกหลายคนเลย” หวังเย้าพูด “เธอมีเรื่องด่วนอะไรรึเปล่า?”
“เปล่าหรอกครับ ผมรอได้” กั๋วเจิ้งเหอนั่งรอเพื่อให้หวังเย้าตรวจคนไข้ต่อ
เขาตรวจคนไข้คนสุดท้ายเสร็จในเวลาเกือบห้าโมงเย็น
“โอเค เธอมีอะไรจะคุยกับฉันเหรอ?” หวังเย้าถาม
“ไม่ต้องรีบก็ได้ครับ เชียนเชิงพักก่อนสักหน่อยเถอะ” กั๋วเจิ้งเหอพูด รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาทำให้คนมองรู้สึกสบายใจ
“พูดมาเถอะ ฉันไม่เหนื่อยหรอก” หวังเย้าพูด
“เชียนเชิงรู้สึกยังไงกับเสี่ยวซวีเหรอครับ?” กั๋วเจิ้งเหอถาม
“เสี่ยวซวี? ซูเสี่ยวซวีน่ะเหรอ?” หวังเย้าถาม
“ครับ” กั๋วเจิ้งเหอพูดด้วยรอยยิ้มที่ยังคงบนหน้า
“เธอเป็นคนดีและน่ารัก” หวังเย้าพูด
“ใช่ครับ แต่เชียนเชิงชอบเธอ หรือมีความรู้สึกพิเศษกับเธอรึเปล่า?” กั๋วเจิ้งเหอถาม
หลังจากได้ยินคำถามนี้ หวังเย้าก็ลังเลอยู่เล็กน้อย เขาไม่เคยคิดว่า กั๋วเจิ้งเหอจะมาถามคำถามแบบนี้กับเขา
“อืม” หวังเย้าตอบอย่างตรงไปตรงมา
“เชียนเชิงชอบเธอเหรอครับ?” กั๋วเจิ้งเหอถาม
“ใช่ ฉันชอบเธอ” หวังเย้าพูด
“เพราะเบื้องหลังของเธอเหรอครับ?” กั๋วเจิ้งเหอขยับตัวเล็กน้อย ราวกับเขาคือผู้ที่อยู่ในสถานะพิเศษ
“ไม่ใช่ แต่เป็นเพราะตัวเธอเอง” หวังเย้าพูด เขาไม่เคยสนใจเรื่องเบื้องหลังของเธอเลย
“เชียนเชิง ผมก็ชอบเสี่ยวซวีเหมือนกัน แล้วผมก็อยากจะแต่งงานกับเธอด้วย” กั๋วเจิ้งเหอพูด “เชียนเชิงคิดอยากจะแต่งงานกับเธอไหม?”
“ฉันมีความคิดที่จะคบกับเธอ” หวังเย้าพูดอย่างสงบ
ส่วนเรื่องแต่งงานนั้น จนกระทั่งถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่ได้คิดถึงมันเลยสักนิด