Elixir Supplier - ตอนที่ 674
674 เวลาผ่านไปเร็ว
“มีรายละเอียดเยอะจังเลยนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“ที่ผมรู้เรื่องพวกนี้ ก็เพราะผมเรียนรู้ด้านนี้มา” หวังเย้าพูด “แต่ถ้าเป็นความรู้ในเรื่องอื่น อย่างเรื่องเศรษฐกิจกับการบริหารที่เธอเรียนอยู่ ผมก็ไม่รู้เรื่องเลยสักนิด เพราะเราเรียนมาคนละสายกัน”
“ที่คุณพูดมาก็จริงนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“ก่อนจะทำยาตัวต่อไป เราไปที่ตระกูลหวูกันก่อนดีกว่านะ” หวังเย้าพูด
เมื่อพวกเขาเดินทางไปถึง พวกเขาเห็นได้ทันทีว่า อาการของนายท่านหวูดีขึ้นกว่าเมื่อวาน เพราะสาเหตุเห็นได้จากสีหน้าของเขา
“เป็นยังไงบ้างครับ? ยังรู้สึกเจ็บตรงไหนอยู่รึเปล่าครับ?” หวังเย้าถาม
“ดีขึ้นมากแล้วล่ะ แล้วเมื่อเช้าฉันยังกินโจ๊กเข้าไปได้ด้วยนะ” ชายชราพูด
ไม่ว่าชีวิตของเขาจะเคยรุ่งเรืองมาขนาดไหนหรือเขาจะขึ้นไปอยู่ในระดับที่สูงแค่ไหนก็ตาม ตอนนี้ เขาก็เป็นแค่ชายแก่คนหนึ่งที่เจ็บป่วยเหมือนกับคนทั่วไป สิ่งที่ต่างก็คงจะมีแค่เพียงการที่เขาได้รับการรักษาที่ดีกว่าคนอื่นๆ
“ดีครับ จำไว้ว่าห้ามลืมกินยาเด็ดขาดนะครับ” หวังเย้าพูด “ทีนี้ ผมจะฝังเข็มรักษาให้นะครับ”
นายท่านหวูใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนอนอยู่บนเตียงและแทบจะไม่ได้ขยับร่างกายเลย เขาสามารถมีชีวิตอยู่ถึงทุกวันนี้ได้ก็เพราะยา มันจึงทำให้การไหลเวียนของโลหิตและพลังฉีไม่สอดคล้องกัน การที่เขามีหลายโรคแทรกซ้อนส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะปัญหาจกการไหลเวียนของโลหิตและพลังฉี การไหลเวียนที่ดีและเต็มไปด้วยพลังจะช่วยขับโรคร้ายออกไปได้
หลังจากถอดเสื้อของชายชราอออกแล้ว หวังเย้าก็แทงเข็มลงไปบนตัวของเขาและส่งพลังฉีเข้าไปด้วย การรักษาดำเนินไปช่วงเวลาหนึ่ง และจบลงเมื่อเวลาบ่ายโมงตรง
“ขอบคุณมากครับ หมอหวัง” หนึ่งในคนของตระกูลพูด “อาหารกลางวันพร้อมแล้ว หมอต้องการจะ…”
“เอ่อ ผมบอกกับเฉินหยิงก่อนออกมาแล้วน่ะครับ ว่าผมจะกลับไปกินข้าวที่กระท่อม” หวังเย้าพูด
พวกเขากลับไปทานอาหารกลางวันที่กระท่อม หลังจากนั้น หวังเย้าก็นึกอยากจะไปเยี่ยมน้าของเขาขึ้นมา เขาไปมาแล้วครั้งหนึ่งตอนวันแรกๆที่มาถึง และไปเพียงลำพัง แต่ตอนนี้ เขาคิดจะพาซูเสี่ยวซวีไปด้วยกัน
“มันจะเหมาะเหรอคะ?” ในมุมมองของซูเสี่ยวนั้น มันไม่ต่างจากการไปได้เจอพ่อแม่ของเขาเลย ถึงผู้หญิงคนนั้นจะไม่ใช่แม่ของหวังเย้าก็ตาม
“ทำไมจะไม่เหมาะล่ะ?” หวังเย้าถาม “คิดซะว่าไปเยี่ยมญาติของเธอก็ได้”
“ก็ได้ค่ะ แต่ฉันต้องขอเวลาหาของขวัญก่อนนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“เธอไม่จำเป็นต้องทำขนาดนั้นหรอก” หวังเย้าพูด “เธอเป็นของขวัญที่ดีที่สุดแล้ว”
สุดท้าย ซูเสี่ยวซวีก็นำของขวัญติดตัวไปด้วยอยู่ดี น้าของหวังเย้าอยู่ที่บ้านรอเรียบร้อยแล้ว ก่อนหน้านี้เธออยู่ที่ที่ทำงาน แต่พอได้ยินว่าหวังเย้าจะมา เธอก็รีบกลับบ้านทันที
“นี่คือ?” เธอเห็นเขามาพร้อมกับหญิงสาวหน้าตาดีคนหนึ่ง
“อ่อ นี่คือ ซูเสี่ยวซวี ครับ เพื่อนของผมเอง” หวังเย้าพูด
“สวัสดีค่ะ คุณน้า” ซูเสี่ยวซวียิ้ม
“อ้อ สวัสดีจ๊ะ เข้ามานั่งข้างในกันก่อนสิจ๊ะ” น้าของหวังเย้าชงชาและล้างผลไม้เพื่อนำออกมาเสริฟให้ทั้งสอง เธอดูมีความสุขมาก
“น้าไม่ต้องวุ่นวายขนาดนั้นก็ได้ครับ” หวังเย้าพูด “มานั่งคุยกับพวกเราดีกว่า”
“วันก่อน เธอก็มาแปบเดียวเอง” น้าของเขาพูด “แล้ววันนี้จะอยู่กินข้าวเย็นด้วยกันก่อนไหมล่ะจ๊ะ?”
“ไม่ล่ะครับ ตอนเย็นผมยังต้องไปตรวจคนไข้คนหนึ่งต่ออีก แล้วผมก็นัดเขาไว้แล้วด้วย” หวังเย้าตอบ
“ถ้าอย่างนั้น ไปตรวจคนไข้แล้วค่อยกลับมากินข้าวที่บ้านน้าดีไหมจ๊ะ?” น้าของเขาถาม
“ไม่รบกวนดีกว่าครับ! ผมแค่อยากจะมาเจอน้าเท่านั้นเอง” หวังเย้าพูด
ในตอนที่คุยกันอยู่นั้น น้าของหวังเย้าก็ยังถามซูเสี่ยวซวีอยู่หลายคำถาม ยิ่งเธอมองดูเด็กสาวมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งรู้สึกชอบมากเท่านั้น รวมทั้งเด็กสาวยังเป็นคนหน้าตาสะสวยและมีมารยาทด้วย หวังเย้าและซูเสี่ยวซวีอยู่ที่บ้านน้าชั่วโมงกว่า ก่อนที่พวกเขาจะขอตัวกลับ
น้าของหวังเย้าเดินกลับไปกลับมาอยู่ภายในห้องหลายครั้ง ในที่สุด เธอก็หยิบมือถือขึ้นมาและกดโทรหาพี่สาวของเธอที่อยู่ห่างออกไปหลายพันไมล์ “พี่ ฉันเองนะ ใช่ เมื่อกี้เสี่ยวเย้าเพิ่งจะมาหาฉันน่ะสิ”
“เขาไปน่ะถูกแล้ว เขาเป็นเด็กก็ต้องเป็นคนไปเยี่ยมเธอยังไงล่ะ” จางซิวหยิงพูด
“แต่เขาไม่ได้มาคนเดียวนี่สิ เขาพาเด็กสาวหน้าตาดีคนหนึ่งที่ชื่อ ซูเสี่ยวซวี มากับเขาด้วย” ผู้เป็นน้องพูด
“เด็กสาวเหรอ?” เมื่อได้ยินดังนั้น จางซิวหยิงก็รีบวางงานในมือลงทันที “ฉันจำชื่อนี้ได้นะ เธอเคยมาที่นี่แล้วด้วย”
“พวกเขาเป็นเพื่อนกันเหรอ?” น้องสาวถาม
“อืม ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้นนะ” จางซิวหยิงพูด
“อ่อ โอเค” น้องสาวพูด “แต่เด็กคนนั้นสวยมากเลยล่ะ”
“อืม ฉันรู้” จางซิวหยิงพูด
หรือเขาจะไปปักกิ่งเพื่อไปหาเด็กคนนั้นกัน? จางซิวหยิงถามตัวเอง
หลังออกมาจากบ้านน้าของเขาแล้ว หวังเย้าและซูเสี่ยวซวีก็ไปที่บ้านของจางอันหนิง และแวะรับเฉินโจวฉวนระหว่างทางด้วย
ในครั้งนี้ ผู้เป็นพ่ออยู่ที่บ้านด้วย เขาเป็นชายวัยกลางคน ผมเกือบครึ่งของเขากลายเป็นสีขาว หลังของเขาค่อมเล็กน้อยและดูเหนื่อยล้าอย่างมาก
“ลุงเฉิน” จางเม้าฉีพูด
“เกิดอะไรขึ้นกับเธอน่ะ?” เฉินโจวฉวนถาม
“ไม่มีอะไรหรอกครับ” จางเม้าฉีขมวดคิ้วในตอนที่เขาลุกขึ้นดิน
“ตอนที่เขาทำงานอยู่ในโรงงาน เขาได้รับบาดเจ็บที่เอวเข้าน่ะค่ะ” ภรรยาที่อยู่ข้างๆเขาพูดขึ้นมา
“มานี่สิ ฉันขอดูหน่อย” เฉินโจวฉวนตรวจดูเขาอย่างละเอียด “อืม ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร เป็นแค่กล้ามเนื้ออักเสบ เธอแค่ต้องพักสักสองสามวันก็หายแล้ว”
“ได้ครับ” จางเม้าฉีตอบ
“นี่คือหมอหวัง เขามาเพื่อรักษาอันหนิง” เฉินโจวฉวนพูด
“ครับ ขอบคุณนะครับ” จางเม้าฉีพูด
“เราเริ่มกันเลยไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“ได้ครับ” จางเม้าฉีพูด
เริ่มแรก หวังเย้านำซุปเป่ยหยวนให้คนไข้กินเข้าไปก่อน
“ฉันดูเหมือนจะเคยได้กลิ่นยาตัวนี้มาก่อนนะ” เฉินโจวฉวนที่ยืนอยู่ใกล้ๆพูด เขามั่นใจว่า หวังเย้าเคยใช้ยาตัวนี้รักษาคนไข้ที่ปักกิ่งมามากกว่าหนึ่งครั้ง
“มันจะช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับร่างกายน่ะครับ” หวังเย้าพูด
หลังจากให้ยาคนไข้ไปแล้ว พวกเขาก็กลับไปที่ห้องนั่งเล่น หลังจากผ่านไปได้ 30 นาที หวังเย้าก็กลับเข้าไปจับดูชีพจรของเขา “ไม่มีปัญหาอะไร ได้เวลากินยาตัวที่สองแล้วครับ”
หน้าที่ของยาตัวที่สองคือการขับความร้อนและเสมหะ มันยังมีสมุนไพรที่ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดผสมอยู่ด้วย
หลังจากผ่านไปอีก 30 นาที หวังเย้าก็หยิบยาตัวที่สามออกมา มันคือยาผงฟื้นฟูกล้ามเนื้อ
ซูเสี่ยวซวีถอนหายใจออกมา เพราะเธอรู้จักยาตัวนี้ และเคยใช้มันเมื่อครั้งที่เธอยังป่วยหนักอยู่
หวังเย้าตักออกมาหนึ่งช้อนชาและนำไปละลายกับน้ำอุ่น เขาเทตัวยาลงไปในขวดสเปรย์และฉีดพ่นไปตามแผลที่เน่าเปื่อยของคนไข้จนทั่ว
หลังจากนั้น พ่อแม่ของคนไข้ก็ช่วยกันพันแผลของเขาอย่างระมัดระวัง
“ให้กินยาตัวนี้ตามเวลานะครับ” หวังเย้าทิ้งยาสองตัวแรกไว้กับพวกเขา และบอกวิธีการใช้ก่อนที่จะขอตัวกลับ
หลังจากที่พวกเขากลับไปแล้ว สองสามีภรรยาก็ขึ้นไปที่ห้องของลูกชายที่อยู่ชั้นบน
“อันหนิง ลูกรู้สึกเป็นยังไงบ้างจ๊ะ?” แม่ของเขาถาม
“มันไม่ค่อยเจ็บแล้วครับ” เขาตอบ “ที่ท้องกับหลังของผมก็รู้สึกสบายกว่าเดิมมากด้วย”
“ดี ดี” เมื่อทั้งสองได้ยินว่าลูกชายของพวกเขารู้สึกสบาย พวกเขาก็โล่งอก
“หมอคนนั้นมาจากโรงพยาบาลไหนเหรอ?” จางเม้าฉีถาม “เขารักษาเก่งมากเลย”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่คุณก็รู้จักลุงเฉินดีนี่” ภรรยาของเขาพูด “คนที่เขาแนะนำมาจะต้องเป็นระดับผู้เชี่ยวชาญแน่ ฉันได้ยินมาว่า มีหลายคนอยากจะให้เขาไปรักษา แต่ก็ถูกปฏิเสธไป เขายังเคยรักษาคนระดับสูงมาแล้วหลายคนด้วยนะ”
“แล้วเรื่องค่ารักษาล่ะ?” จางเม้าฉีถาม
“เขาบอกว่า เขาไม่คิดเงินค่ารักษาอันหนิงสักหยวนเดียว” ภรรยาของเขาตอบ
“ทำไมล่ะ?” จางเม้าฉีถาม
“ก็เพราะคุณยังไงล่ะ เขาพูดว่า คนดีดีก็ควรจะได้รับสิ่งดีดี” ภรรยาของเขาพูด
“ฮาฮา” จางเม้าฉีเพียงยิ้มออกมาเท่านั้น
ภายในรถ หวังเย้าและเฉินโจวฉวนคุยกันเกี่ยวกับเรื่องอาการป่วยของคนไข้
“เธอจะอยู่ปักกิ่งอีกกี่วันเหรอ?” เฉินโจวฉวนถาม
“แผนที่วางไว้คือจะอยู่อีกประมาณสามวันครับ” หวังเย้าพูด เขาวางแผนจะอยู่ที่ปักกิ่งแค่อาทิตย์เดียวเท่านั้น
“แล้วเรื่องการรักษาของอันหนิงล่ะ?” เฉินโจวฉวนถาม
“ภายในสามวัน อาการของเขาจะดีขึ้นครับ” หวังเย้าพูด “หลังจากนั้น เขาก็สามารถเดินทางมารักษากับผมที่คลินิกของผมได้”
“อ่อ โอเค” เฉินโจวฉวนไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ การที่หวังเย้ายอมไปรักษาคนไข้เพื่อไว้หน้าเขา และยังไม่คิดค่ารักษาอีก แค่นี้ก็มากพอแล้ว เขาคงไม่กล้าขออะไรไปมากกว่านี้อีก “คืนนี้ เราไปดูงิ้วปักกิ่งกันเถอะ”
“งิ้วปักกิ่งเหรอครับ?” หวังเย้าถามอย่างไม่แน่ใจ
“เธอไม่ชอบดูเหรอ?” เฉินโจวฉวนถาม
“เอ่อ บอกตามตรงนะครับ ผมไม่เคยไปดูงิ้วแบบสดๆมาก่อนเลย” หวังเย้าพูด
“แล้วเธอสนใจจะไปด้วยกันไหม?” เฉินโจวฉวนถาม
“เอาสิครับ” หวังเย้าพูด
หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ ทั้งสามก็พากันไปดูงิ้ว หวังเย้าสงสัยว่า รสนิยมของเขาอาจจะไมสูงพอจึงทำให้เขาเข้าไม่ถึงเนื้อเรื่องของมัน เขาไม่รู้สึกชอบมันเลย การได้ฟังงิ้วมันทำให้เขารู้สึกไม่สงบ
“หมอไม่ชอบเหรอคะ?” หลังเดินออกมาจากโรงงิ้วแล้ว ซูเสี่ยวซวีก็ถามเขา
“ไม่ชอบ แต่ก็พอดูได้” หวังเย้าพูด “มันก็ช่วยฆ่าเวลาไปได้อีกแบบ”
ในระหว่างสามวันที่เหลือ หวังเย้าไปกลับบ้านคนไข้สองหลัง แน่นอนว่า เขามีซูเสี่ยวซวีติดไปด้วยทุกที่ ด้วยการรักษาจากเขา อาการของคนไข้ทั้งสองก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเห็นแบบนี้ มันก็ทำให้คนในครอบครัวของคนไข้ต่างก็พอใจเป็นอย่างมาก
แล้วเจ็ดวันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว