Elixir Supplier - ตอนที่ 675
675 หัวใจสองดวงชิดใกล้
“ผมคงต้องกลับแล้ว” หวังเย้าพูด
“ค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
หวังเย้ามีคลินิกและเนินเขาหนานชานที่ต้องดูแล ซูเสี่ยวซวีก็ต้องกลับไปเรียนต่อ
ก่อนที่หวังเย้าจะเดินทางกลับเหลียนชาน เขาได้ไปเยี่ยมพ่อแม่ของซูเสี่ยวซวีอีกครั้ง เขาและซูเสี่ยวซวีได้ถือว่าเริ่มคบหากันอย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งทางพ่อแม่ของซูเสี่ยวซวีก็ดูเหมือนจะรับเรื่องนี้ได้ไม่มีปัญหา
ซูเสี่ยวซวีไม่อยากแยกจากกับหวังเย้าเมื่อพวกเขาอยู่ที่สนามบิน
“ฉันจะไปหาคุณที่เหลียนชานนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“โอเค เราจะติดต่อกันอยู่ตลอดนะ กลับบ้านเถอะ” หวังเย้าพูด
เขาเดินไปไม่กี่ก้าวและอยู่ๆก็หมุนตัวกลับไป แล้วดึงซูเสี่ยวซวีเข้าไปในอ้อมกอด “ดูแลตัวเองดีดีนะ”
“ค่ะ คุณก็เหมือนกันนะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
ทั้งสองใกล้ชิดกันอย่างมาก
เครื่องบินขึ้นฟ้าและหายเข้าไปในกลีบเมฆ ซูเสี่ยวซวียังคงไม่ละสายตาไปจากท้องฟ้าในจุดที่เครื่องบินบินหายไป
“คุณหนูซู เขาไปแล้วนะคะ” ชูเหลียนพูด
“หนูรู้ค่ะ เขาจะต้องกลับมาอีก หรือไม่หนูก็จะไปหาเขา” ซูเสี่ยวซวีพูด
“เรากลับกันเลยไหมคะ?” ชูเหลียนถาม
“ขออีกเดี๋ยวนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
ท้องฟ้ากว้างไกลและเต็มไปด้วยก้อนเมฆ เครื่องบินอีกลำกำลังทะยานขึ้นไปด้านบนและหายลับไป
“ไปกันเถอะค่ะ วันนี้หนูต้องไปเข้าเรียนด้วย” ซูเสี่ยวซวีพูดพร้อมกับเดินไปขึ้นรถ
เครื่องร่อนลงที่สนามบินห่ายชิว ที่อยู่ห่างจากตัวเมืองไม่หลายกิโล
หืม?
หวังเย้าออกไปรอรถแท็กซี่ที่ด้านนอกสนามบิน แต่โชคร้ายที่ทุกคันถูกคนอื่นแย่งไปหมด เขาจึงเขยิบไปข้างหน้าอีกนิด
บรื้น! รถคันหนึ่งพุ่งตัวเข้ามาและตรงมาทางหวังเย้า หวังเย้าเบี่ยงตัวเพื่อเลี่ยงไม่ให้รถชนตัวเองโดยที่ไม่ต้องพยายามอะไรมากนัก
เอี๊ยด! รถหยุดลง ชายสวมแว่นกันแดดที่อยู่ภายในรถเลื่อนกระจกลงและเหลือบมองหวังเย้า แล้วเขาก็เหยียบคันเร่งจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำเดียว
หืม? ไม่คิดจะขอโทษหรืออธิบายอะไรสักคำเลยงั้นเหรอ? เขาทำแบบนี้หมายความว่ายังไงกัน?
หวังเย้าจดจำป้ายทะเบียนรถหมายเลข 9527 เอาไว้ใจใน ครู่ต่อมา เขาก็เจอรถแท็กซี่ที่ไม่มีคน เพื่อพาเขากลับไปที่หมู่บ้าน
“ลูกกลับมาแล้วเหรอ?” จางซิวหยิงเอ่ยออกมา
“ครับ แม่” หวังเย้าพูด
“ไปล้างหน้าล้างตาซะก่อนสิจ๊ะ” จางซิวหยิงพูด
หวังเย้าเก็บกระเป๋าเอาไว้ในห้องของเขา เขาไปล้างหน้าก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น พ่อแม่ของเขาถามคำถามมากมาย และพยายามขุดค้นข้อมูลของซูเสี่ยวซวีให้มากที่สุดเท่าที่พวกเขาจะทำได้
“ผมไปหาเสี่ยวซวีที่ปักกิ่งครับ เพราะผมอยากจะรู้ว่า เราจะเข้ากันได้ดีรึเปล่าน่ะครับ” หวังเย้าพูดออกไปตามตรง
“เยี่ยมไปเลยจ๊ะ” จางซิวหยิงพูดอย่างมีความสุข “แล้วพ่อแม่ของเสี่ยวซวีทำงานอะไรเหรอจ๊ะ?”
“พวกเขาทำงานรับราชการครับ” หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง หวังเย้าก็ตอบกลับไป
“อ่อ” จางซิวหยิงพูด “แล้วเสี่ยวซวีทำงานอะไรเหรอจ๊ะ?”
“เธอยังเรียนอยู่ที่มหาลัยปักกิ่งครับ” หวังเย้าพูด “เธอต้องหยุดเรียนไปพักหนึ่งเพราะป่วยหนัก อีกไม่นานก็จะเรียนจบแล้วล่ะครับ”
“แล้วตอนนี้ เธอไม่เป็นอะไรแล้วเหรอจ๊ะ?” จางซิวหยิงถาม
“ไม่เป็นไรแล้วครับ” หวังเย้าพูด
จางซิวหยิงเป็นผู้ถามคำถามทั้งหมด ในขณะที่หวังเฟิงฮวาก็ทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดี
“แม่ก็แค่สงสัยเรื่องของครอบครัวกับตัวเธอก็เท่านั้น ลูกไปทำธุระของลูกเถอะจ๊ะ” จางซิวหยิงพูด
“ครับ งั้นผมขึ้นไปบนเนินเขาหนานชานก่อนนะครับ” หวังเย้าพูด
ถึงเขาจะประทับใจในประวัติศาสตร์ที่ยาวนานและความคึกคักในปักกิ่ง ซึ่งเขาใช้เวลาอยู่ที่นั่นหนึ่งอาทิตย์ แต่เขาก็ยังคิดว่า เนินเขาหนานชานดีกว่าหรือเป็นสถานที่ที่เหมาะกับเขามากกว่า มันทำให้เขารู้สึกสงบเมื่อได้อยู่ที่นี่
ด้านนอกหมู่บ้านมีนาข้าวแปลงใหญ่ ในช่วงเวลานี้ของทุกปี ต้นข้าวจะพากันกลายเป็นสีเหลืองทอง และพร้อมสำหรับการเก็บเกี่ยวในเร็ววัน เหนือขึ้นไปทางใต้ของนาข้าวก็จะมีเนินเขาโผล่ขึ้นมา ด้านหลังเนินเขาที่ลึกเข้าไปด้านใน มีพื้นดินที่ขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ มีนาข้าวที่ถูกทำเป็นขั้นบันไดปรากฏอยู่ ไกลออกไปทางใต้ของนาขั้นบันไดคือต้นไม้ที่หวังเย้าปลูกเอาไว้ หลังจากผ่านไปเจ็ดวัน ต้นไม้ก็ยังคงเจริญเติบโตได้เป็นอย่างดี พวกมันมีใบไม้สีเขียวที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา
ซานเซียนวิ่งลงมาจากยอดเขาเพื่อมาหาหวังเย้า มันกระโดดไปรอบๆเขาพร้อมกับหางที่เกว่งไกวไม่หยุด
“ซานเซียน ทำไมนายถึงได้น้ำหนักขึ้นอีกแล้วล่ะ?” หวังเย้าลูบหัวซานเซียนพร้อมกับยิ้มออกมา
เขาและซานเซียนเดินไปรอบๆตีนเขาก่อนที่จะพากันขึ้นไปบนเขา เนินเขาหนานชานยังคงเงียบสงบเหมือนเช่นเคย อากาศที่สดชื่นทำให้หวังเย้ารู้สึกสบายตัว เขาเดินไปรอบๆเนินเขา
“ซานเซียน คนขึ้นมาบนเขาน้อยลงสินะ” เขาเดินไปไกล ดังนั้น เขาจึงมองเห็นรอยเท้าเก่าที่ถูกปกคลุมด้วยต้นหญ้า มันแสดงให้เห็นว่า แทบจะไม่มีใครเข้ามาใกล้เนินเขาหนานชานเลย
โฮ่ง! ซานเซียนส่งเสียงเห่าเพื่อแสดงว่าเห็นด้วยกับหวังเย้า
“หญ้าตรงนี้…” หวังเย้าพึมพำ
ดูเหมือนว่าต้นหญ้าจะโตเร็วกว่าต้นไม้มาก ซึ่งมันเป็นผลจากพลังของค่ายกลรวมวิญญาณ จึงทำให้ต้นหญ้าเติบโตอย่างบ้าคลั่ง บางต้นก็สูงถึงเอวของหวังเย้าเข้าไปแล้ว
“ฉันคงต้องทำอะไรสักอย่างกับต้นหญ้าพวกนี้” หวังเย้าพูด
มีสมุนไพรรากมากกว่าสิบชนิดที่เติบโตอยู่ภายในแปลงสมุนไพร
ปี๊บ! ตื๊ด! มือถือของหวังเย้าส่งเสียงดังขึ้น
“ถึงบ้านรึยังคะ?” ซูเสี่ยวซวีที่อยู่ปลายสายถาม
“อ่อ อืม ตอนนี้ผมอยู่บนเนินเขาหนานชานแล้วล่ะ” หวังเย้าพูด
“เพิ่งจะเดินทางไปถึง คุณเหนื่อยรึเปล่าคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“ไม่หรอก” หวังเย้าพูด “แล้วเธอล่ะ? อยู่ที่มหาลัยเหรอ?”
“ค่ะ ฉันเพิ่งจะเรียนเสร็จ” ซูเสี่ยวซวีพูด
พวกเขาคุยกับพักหนึ่ง ก่อนที่จะวางสาบ
“เธอกำลังคุยอยู่กับใครเหรอ?” เพื่อนของซูเสี่ยวซวีถาม “เธอพูดเสียงหวานมากเลยนะ”
“คุยกับแฟนของฉันน่ะสิ” ซูเสี่ยวซวีบอกกับเพื่อนของเธอด้วยท่าทีมีความสุข
“งั้นที่เธอลาไปอาทิตย์หนึ่งก็เพราะ…” เพื่อนของเธอเริ่มตั้งคำถาม
ซูเสี่ยวซวียิ้ม
“เขาหน้าตาเป็นยังไงเหรอ? เธอมีรูปให้ฉันดูรึเปล่า?” เพื่อนของเธอถาม
“มีสิ!” ซูเสี่ยวซวีเอารูปที่เธอถ่ายกับหวังเย้าให้เพื่อนของเธอดู
“ฉันไม่เห็นว่าเขาจะมีอะไรพิเศษตรงไหนเลย” เพื่อนของเธอพูด
“เขาเป็นคนเก่งมากเลยนะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“โห! ดูเธอพูดเข้าสิ!” เพื่อนของเธอล้อ
ท้องฟ้าเริ่มมืดลง บนเนินเขาหนานชานเงียบสงัด
หวังเย้าโพสข้อความลงในเวยป๋อของตัวเอง เพื่อแจ้งให้คนไข้ทราบว่าเขาจะเปิดคลินิกในวันพรุ่งนี้ ไม่นานก็เริ่มมีคนเข้ามาอ่าน
คนไข้คนหนึ่งโพส : [ในที่สุดหมอก็กลับมาสักที! ผมรอมาตั้งหลายวันแล้ว!]
คนไข้อีกคนพิมพ์ว่า : [หมอไปที่ไหนมาเหรอ?]
มีหลายคนเข้ามาพิมพ์ตอบข้อความของหวังเย้า หวังเย้าไล่อ่านทีละข้อความ จากนั้นก็เก็บมือถือของเขาไป
นอกจากการตรวจคนไข้แล้ว เขายังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องจัดการ เขาต้องคอยระวังเรื่องของกั๋วเจิ้งเหอ ชายหนุ่มจากตระกูลใหญ่ ผู้ที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม
หวังเย้าเข้านอนตอนกลางดึกของวัน
ในหมู่บ้าน พ่อแม่ของเขากำลังคุยเรื่องลูกชายของพวกเขาอยู่
พระอาทิตย์โผล่ขึ้นมาในเช้าของวันใหม่ คนไข้บางคนได้มาถึงที่หน้าคลินิกตั้งแต่ตอนแปดโมงเช้า ไม่นาน หวังเย้าก็เดินลงมาจากเขา เขาเดินไปเปิดประตูและเริ่มงาน
มีคนไข้มากกว่าสิบคนในตอนเช้า หวังเย้ายังมีคนไข้อีกส่วนหนึ่งที่มาในช่วงเที่ยง เขาจึงไม่ได้กินข้าวกลางวันและทำงานต่อ ในตอนบ่ายก็มีคนไข้เข้ามาเพิ่มอีก ในหมู่พวกเขามีบางคนที่คิดว่า หากมาตอนเช้าพวกเขาคงจะไม่ได้ตรวจกับหวังเย้า ดังนั้น พวกเขาจึงเลือกที่จะมาช่วงบ่ายแทน จึงกลายเป็นว่า ช่วงบ่ายมีคนไข้เยอะกว่าช่วงเช้า
คนไข้ส่วนใหญ่เดินทางมาจากสถานที่ที่ไกลจากหมู่บ้านมาก ดังนั้น หวังเย้าจึงไม่สามารถไล่พวกเขากลับไปโดยที่ไม่ตรวจพวกเขาได้ เขาจึงต้องทำงานล่วงเวลาไปจนถึงสองทุ่ม โดยที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย
เขาตรวจคนไข้ไปถึง 32 คนภายในวันเดียว ตั้งแต่เปิดคลินิกมา เขาไม่เคยตรวจคนไข้เยอะขนาดนี้มาก่อนเลย
“คนไข้กลับไปกันหมดแล้วเหรอจ๊ะ?” จางซิวหยิงนำอาหารมาส่งให้ที่คลินิก
“ครับ แม่” หวังเย้าพูด
“นี่จ๊ะ แม่เอาของกินมาให้” จางซิวหยิงพูด
“ผมกลับไปกินที่บ้านดีกว่าครับ” หวังเย้าพูด
เขาปิดประตูคลินิกและกลับไปที่บ้าน ในตอนที่เขากำลังทานอาหารอยู่นั้น เจิ้งเหว่ยจวินก็มาหาเขาที่บ้าน
“ผมคิดว่า บริษัทยาที่คุณพูดถึงตอนนั้นเป็นความคิดที่เข้าท่าดีนะครับ” หวังเย้าพูด “แล้วมีกฎเกณฑ์อะไรไหมครับ?”
“คุณตัดสินใจจะเดินหน้าต่อแล้วใช่ไหมครับ?” เจิ้งเหว่ยจวินถาม
“ครับ” หวังเย้าพยักหน้า
“ขั้นแรก ต้องเตรียมเอกสารให้เรียบร้อยก่อน ในเมื่อคุณตกลงใจได้แล้ว ปล่อยเรื่องเอกสารให้ผมเป็นคนจัดการเองนะครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด “เรายังต้องคุยกันถึงเรื่องเค้าโครงของบริษัทด้วย”
เขาต้องการจะสื่อถึงเรื่องที่ใครจะมีส่วนร่วมในการบริหารบริษัท และพวกเขาต้องการพนักงานให้การทำงานกี่คน
“ได้สิครับ เรามาคุยเรื่องนี้กันพรุ่งนี้เย็นดีไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“โอเคครับ ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้ผมจะมาใหม่” เจิ้งเหว่ยจวินพูด
เมื่อเขากลับไปแล้ว หวังเย้าก็เข้าไปนวดให้กับพ่อแม่ของเขา ก่อนที่จะกลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน
…
ในปักกิ่ง หมอเฉินได้เดินทางไปเยี่ยมจางอันหนิง
“นี่มันสุดยอดไปเลย!” เฉินโจวฉวนอุทานออกมา หลังจากที่เขาตรวจดูแผลของจางอันหนิง
เนื้อใหม่เริ่มงอกออกมาแล้ว และส่วนที่เน่าเปื่อยก็เริ่มมีการรักษาตัว บางส่วนเริ่มตกสะเก็ดและหลุดร่วงไปบ้างแล้ว นี่ถือเป็นสัญญาณของบาดแผลที่กำลังฟื้นตัว
“มันเพิ่งจะผ่านไปแค่สามวันเองนะ” เฉินโจวฉวนพูด
หวังเย้าทิ้งยาเอาไว้ให้จางอันหนิง รวมไปถึงยาผงฟื้นฟูกล้ามเนื้อจำนวนหนึ่งด้วย
“มันเป็นยาที่วิเศษจริงๆ” เฉินโจวฉวนมองไปที่ยาทั้งสาม
จางอันหนิงที่นอนอยู่บนเตียงอยู่ในสภาพที่ดีขึ้นกว่าเดิมมาก ใบหน้าและแววตาของเขาดูมีสีสันมากขึ้น พ่อแม่ของเขาต่างก็ตื่นเต้นกับเรื่องนี้เช่นกัน
“ลุงเฉินรู้รึเปล่าว่าหมอหวังอยู่ที่ไหน?” แม่ของจางอันหนิงถาม “เราต้องไปเพื่อขอบคุณเขา”