Elixir Supplier - ตอนที่ 714
714 สูงหลายชั้น
บริเวณเส้นทางขึ้นเขานั้น มีบ้านเปล่าที่ไร้แสงหรือผู้คนอยู่หลายหลัง
“ที่นี่น่าจะใช้ได้นะ” หวังเย้าพูด
หลังจากจัดการมัดมือมัดเท้าของนักฆ่าเสร็จแล้ว ทั้งสองก็ลงไปจากเขา พวกเขาจะกลับมาสอบสวนนักฆ่าในวันพรุ่งนี้
ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกลัวว่านักฆ่าจะหลบหนีเลย เพราะหวังเย้าได้ใช้วิธีการพิเศษ ทำให้แขนขาของนักฆ่าไม่สามารถใช้การได้ ตอนนี้เขาทำให้เพียงหายใจเท่านั้น และการหลบหนีก็ไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย
เมื่อลงมาจากเขาแล้ว หวังเย้าก็ถามกับจงหลิวชวนที่เดินมาด้วยกันว่า “คุณรู้จักเขาเหรอ?”
“ครับ คนอื่นเรียกเขาว่า อาเสิ่น” จงหลิวชวนพูด “ชื่อจริงๆของเขาไม่มีใครรู้ แต่ที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือเขาถือว่าเป็นนักฆ่าที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่ง”
“นักฆ่าระดับท๊อปเหรอ?” หวังเย้าถาม
“ครับ” จงหลิวชวนพูด
“ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะครับ ว่าทักษะการต่อสู้ของหมอจะสูงขนาดนี้” จงหลิวชวนพูด
เขาก็เป็นนักสู้เช่นกัน แต่ภาพที่เขาได้เห็นก็ทำให้เขาต้องตกตะลึงอยู่ดี มันเป็นภาพที่เขาไม่มีทางลืมไปตลอดชีวิตของเขา ในตอนเริ่มแรก เขาคาดเดาว่า หวังเย้าน่าจะมีพลังเหมือนในตำนาน จากการสังเกตฝีเท้าและการกระทำของเขาแล้ว จงหลิวชวนพบว่า มันยังมีความเป็นไปได้อย่างอื่นอีก
หมอคนหนึ่งที่อายุน้อยกว่าเขากลับกลายเป็นปรมาจารย์ด้านกังฟู ความสำเร็จของเขาสูงมากพอๆกับตึกหลายชั้นและอาจจะสูงจนเกือบจะถึงสวรรค์เลยด้วยซ้ำ ดังนั้น มันจึงทำให้เขาตกตะลึงมากยิ่งขึ้น การที่จะประสบความสำเร็จในระดับเดียวกับหวังเย้าได้นั้น สิ่งที่จำเป็นจะต้องมีก็คือ ความอุตสาหะ แต่ก็ต้องมีพรสวรรค์เข้าคู่ด้วยเช่นกัน มันก็เหมือนกับการทำข้อสองเข้ามหาวิทยาลัย การเรียนหนักไม่ใช่ตัวตัดสินทุกอย่าง สำหรับบางคน ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามหนักแค่ไหนก็ไม่สามารถสอบเข้าได้ แต่แน่นอนว่า หากไม่พยายามเลยผลก็คือสอบตก
“ก็แค่ทั่วไปเท่านั้นแหละครับ” หวังเย้ายิ้ม “แล้วคุณเคยคนอื่นที่เป็นแบบผมบ้างไหมครับ?”
“ผมโชคดีเคยได้เห็นอยู่คนหนึ่งครับ” จงหลิวชวนพูด
“ที่ไหนเหรอ?” หวังเย้าถาม
“ที่ซงชาน เป็นพระรูปหนึ่งครับ” จงหลิวชวนพูด
“อืม ผมคิดว่าพระพวกนั้นจะทำได้แค่ทุบหินด้วยหน้าอกเท่านั้นซะอีก” หวังเย้าพูด “มันกลายเป็นว่า มันคือกังฟูของจริงสินะ!”
“ก็น่าจะเป็นของจริงนะครับ” จงหลิวชวนพูด “พระรูปนั้นสามารถผลักก้อนหินที่สูงพอๆกับคนได้ด้วยการสะบัดแค่ครั้งเดียวเท่านั้น”
นี่เป็นครั้งแรกที่หวังเย้าได้ยินเรื่องของคนอื่นที่เป็นเหมือนกับเขา “พระรูปนั้นยังอยู่ที่นั่นรึเปล่าครับ?”
“เขาน่าจะยังอยู่ที่นั่นนะครับ” จงหลิวชวนพูด “ตอนที่ผมได้เห็นเขา เขาก็เพิ่งจะอายุได้ห้าสิบต้นๆและดูกระฉับกระเฉงมากเลยล่ะ”
“ถ้ามีเวลาว่าง ผมคงจะไปเจอเขาสักหน่อยแล้ว” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม
“หมออาจจะไม่ได้เจอเขาก็นะ” จงหลิวชวนพูด “ผมได้เจอเขาเข้าโดยบังเอิญ และได้ยินมาว่า เขาเป็นพระขั้นสูงมาก แล้วโอกาสที่เขาจะออกมาให้คนนอกเห็นก็เป็นเรื่องยากมากด้วย”
หวังเย้าพยักหน้า “ขอบคุณสำหรั้บเรื่องวันนี้นะครับ”
“ยินดีครับ” จงหลิวชวนพูด
เมื่อเดินพ้นจากเขามาแล้ว เขาก็เดินมาที่ประตูบ้านและออกแรงกระโดดเบาๆ เขาถลาตัวออกไปราวกับนกตัวหนึ่งและลอยข้ามสวนราวกับมีปีกบิน ก่อนที่จะร่อนลงและกระโดดลอยตัวขึ้นอีกครั้ง เพื่อกลับเข้าไปในห้องนอนของตัวเองผ่านทางหน้าต่าง เหตุการณ์ทั้งหมดไม่มีเสียงเล็ดลอดมาให้ได้ยินเลยแม้แต่นิดเดียว
ค่ำคืนนั้นดูปกติสุขเช่นทุกวัน บนเขาดูเหมือนจะมีลมพัดแรงกว่าปกติ
ภายในกระท่อมบนเขา อาเสิ่นได้สติขึ้นมาและเริ่มสังเกตพื้นที่โดยรอบ “อืม ฉันอยู่ที่ไหน?”
มันเป็นบ้านที่ก่อขึ้นด้วยหินและมีหน้าต่างที่ทำด้วยไม้ เขาสามารถมองเห็นต้นไม้ที่อยู่ด้านนอกได้ลางๆ ตอนนี้ เขาอาจจะอยู่บนเขา บ้านหลังนี้ก็อาจจะถูกสร้างขึ้นมาสำหรับคนที่ขึ้นมาบนเขา แต่คงจะไม่ได้ถูกใช้งานเป็นเวลานานมากแล้ว เขาดิ้นรนเพื่อที่จะลุกขึ้นยืน แล้วก็ต้องพบว่า ร่างกายของเขาเจ็บปวดไปทั่วทุกส่วน แม้แต่หายใจก็ยังรู้สึกเจ็บ
อาการบาดเจ็บของเขาหนักมา เขาไม่สามารถหนีไปไหนได้
คิดไม่ถึงว่า ในหมู่บ้านกลางเขาแห่งนี้จะมียอดฝีมืออยู่ถึงสองคน และคนที่มาทีหลังก็เป็นคนที่เขาไม่สามารถสู้ได้เลย เมื่อชายคนที่สองโผล่ เขาก็ไม่สามารถต่อต้านเขาได้เลยแม้แต่น้อย และอีกคนยังคอยซุ่มโจมตีเขาด้วยลูกปืนอีก
“ฉันประมาทเกินไป!” อาเสิ่นเคยมีชีวิตที่ราบรื่นและสบาย จนทำให้เขามั่นใจมากเกินไป ครั้งนี้ทำให้เขาสำนึกได้ โดยเฉพาะตอนที่เขาต้องทนทุกข์ทรมานตลอดทั้งคืน
เช้าตรู่ของวันใหม่ หวังเย้ากำลังฝึกฝนอยู่ภายในลานบ้าน ไก่ที่บ้านขันรับเช้าวันใหม่และเดินไปรอบตัวเขา ตั้งแต่ที่ไก่ตัวนี้กินยาที่เขาทิ้งในถังขยะไป มันก็มีท่าทางผิดปกติตั้งแต่นั้นมา ไก่ที่เดินราวกับคนที่กำลังเดินแบบ มันปกติที่ตรงไหนกัน?
ตาเข่เล็กน้อยได้มองมองหวังเย้าที่กำลังฝึกฝนอยู่เป็นครั้งคราว เขาฝึกฝนไปเรื่อยๆ ในขณะที่ไก่ก็เดินรอบตัวเขาไม่หยุด
หลังจากฝึกฝนและทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว หวังเย้าก็เดินออกมาจากบ้านและพบจงหลิวชวนที่กำลังวิ่งออกกำลังกายอยู่บนถนน
“ตื่นเช้าเหมือนกันเหรอ?” หวังเย้าถาม
“ครับ ผมวิ่งได้รอบหนึ่งแล้ว” จงหลิวชวนพูด
“ไปกันเถอะ” หวังเย้าพูด
ทั้งสองเดินไปยังเขาทางทิศตะวันออก
“เป็นนายนี่เอง!” อาเสิ่นประหลาดใจที่ได้เห็นจงหลิวชวน
เขาไม่มีความคิดนี้อยู่ในหัวเลย ชายคนนี้มาอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้ ดังนั้น มันก็ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาจะพลาดท่าถูกยิง ทั้งสองต่างก็มองอีกฝ่ายออก
“นายรู้จักเขาเหรอ?” หวังเย้าถาม
“ฉันเคยเห็นเขามาก่อน” อาเสิ่นพูด “เขาเป็นคนที่มีชื่อเสียงมาก”
“แล้วใครเป็นคนส่งนายมา? พี่หนานใช่ไหม?” หวังเย้าถาม
“ใช่” อาเสิ่นยอมรับออกมาตรงๆ
“แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?” หวังเย้าถาม
“ฉันไม่รู้” อาเสิ่นพูด
“เราจะจัดการกับเขายังไงดีครับ?” จงหลิวชวนถาม
“โทรหาตำรวจเถอะ” หวังเย้าพูด
เจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางมาถึงอย่างรวดเร็วและพาตัวอาเสิ่นไป
“หมอไม่กลัวว่าเขาจะกลับมาแก้แค้นหมอเหรอ?” จงหลิวชวนถาม
“เขาอยู่ได้อีกไม่นานหรอก” หวังเย้าพูด
“หมอทำอะไรกับเขาเหรอครับ?” จงหลิวชวนถาม
“เปล่าหรอก แต่เขาป่วยอยู่น่ะ” หวังเย้าพูด
เมื่อคืนก่อน หวังเย้าพบว่า ร่างกายของอาเสิ่นอยู่ในสภาพที่ไม่ดีนัก เมื่อสังเกตดูดีดีแล้ว เขาก็พบว่า อาเสิ่นป่วยด้วยโรคที่หาได้ยาก
“เขาคงจะต้องดื่มน้ำเยอะๆทุกวัน” หวังเย้าพูด
“หา?” จงหลิวชวนไม่แน่ใจว่าหวังเย้ากำลังพูดถึงอะไร
“ระบบการเผาผลาญในร่างกายของเขาเร็วกว่าคนปกติหลายเท่า” หวังเย้าพูด
“แล้วมันมีปัญหาตรงไหนเหรอครับ?” จงหลิวชวนถาม
“เขาก็เป็นเหมือนกับเตาไฟที่กำลังลุกไหม้อยู่” หวังเย้าพูด “ถ้าต้องการที่จะทำให้มันเย็นลง ก็ไม่ควรดื่มน้ำเข้าไป เพราะไม่อย่างนั้น เตาก็จะระเบิดออก”
“เขาไปได้โรคนี้มาจากที่ไหนกัน?” จงหลิวชวนถาม “ผมไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อนเลย!”
สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคนี้อยู่ที่เลือดของเขา ถ้าให้เวลาสักหน่อย หวังเย้าก็สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ แต่อาเสิ่นคือคนที่ต้องการฆ่าเขา แล้วเขาก็ไม่ใช่คนที่ใช้ความดีเข้าสยบความชั่วด้วย
อาเสิ่นป่วย แล้วเมื่อคืนเขายังได้รับบาดเจ็บหนัก หวังเย้าคาดการณ์ไว้ว่า เขาคงจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกแค่ประมาณสิบวันเท่านั้น
…
ภายในโรงพยาบาลประจำจังหวัดฉี…
“หมอที่นี่มัวแต่ทำอะไรกันอยู่หา!” ร่างกายของพี่หนานเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ จากความเจ็บปวดที่เขาได้รับ
แขนขาของเขาไร้เรี่ยวแรง มือของเขาไม่สามารถหยิบจับอะไรได้ แม้แต่แก้วน้ำก็ยังถือไม่ไหว เขาปวดท้องโดยไม่มีสาเหตุ เขาไม่สามารถทานอะไรได้เลย หรือถ้าทานเข้าไป เขาก็จะมีอาการท้องเสียหรือไม่ก็อาเจียนออกมา สิ่งสำคัญคือ เขาไม่สามารถนอนหลับได้ เมื่อหลับตาลง เขาก็จะมีอาการปวดศีรษะ มันราวกับว่า มีคนเอาเข็มจิ้มไปที่หัวของเขา
“เรากำลังปรึกษากันอยู่” แพทย์พูด
“ปรึกษา? หมายความว่ายังไง?!” พี่หนานรู้สึกไม่พอใจ
“เราสงสัยว่า คุณจะมีปัญหาที่เส้นประสาทในสมองน่ะครับ” แพทย์พูด
“สมองเหรอ?” พี่หนานถาม
“ใช่ การกระทำทุกอย่างของร่างกายถูกควบคุมโดยสมอง รวมไปถึง การหยิบของ, การเดิน, การกิน, และการนอน” แพทย์พูด “สถานการณ์ของคุณในตอนนี้ก็คือ เมื่อมีการเคลื่อนไหว ร่างกายของคุณก็จะเกิดความผิดปกติขึ้น”
นี่เป็นโรคที่รักษาได้ยากมาก และเขาก็ไม่เคยพบเห็นอาการแบบนี้มาก่อน ความยากก่อให้เกิดความท้าทาย และเขาก็มองว่า คนไข้คนนี้คือความท้าทายสำหรับเขา
“พรุ่งนี้ ผมจะจัดการประชุมขึ้นเพื่อปรึกษาเรื่องอาการของคุณ” แพทย์พูด
“ก็ได้” พี่หนานเลิกบ่น ตอนนี้เขาอยู่ที่ตัวจังหวัด ซึ่งไม่ใช่ถิ่นของเขา สวนเรื่องของร่างกายและชีวิตของเขานั้น เขาก็คงต้องพึ่งแพทย์ของโรงพยาบาลนี้
“มีข่าวจากอาจิ่วบ้างไหม?” พี่หนานถามหนึ่งในคนของเขา
“ไม่เลยครับ พี่หนาน” คนของเขาพูด
“ลองโทรไปถามดูซิ” พี่หนานพูด
ที่เขตเหลียนชาน อาจิ่วกำลังเดินกลับไปกลับมาอยู่ “แน่ใจนะ?”
“ครับ ผมไปถามมาแล้ว” ชายคนหนึ่งพูด “คนที่ถูกจับคือ อาเสิ่น แล้วเขาก็ได้รับบาดเจ็บหนักจนลุกเดินไม่ได้ด้วย”
“ชิบ*แล้ว! ทุกอย่างผิดแผนไปหมด!” ตอนนี้ อาจิ่วจำเป็นต้องคิดคำพูดที่จะใช้อธิบายให้พี่หนานฟัง
“พี่จิ่ว พี่หนานโทรมาครับ”
“เชี่ยแล้ว สุดท้ายฉันก็ต้องเผชิญหน้ากับมันสินะ” อาจิ่วพูด
เขากดรับสาย “พี่หนาน อาจิ่วพูดครับ…ครับ…เราลงมือแล้ว…ใช่ครับ…ครับ…อาเสิ่นไม่อยู่ที่นี่ครับ…เข้าใจครับ…เข้าใจครับ!”
หลังกดวางสายแล้ว เขาก็สูดลมหายใจเข้าลึกและพบว่า ลูกน้องคนอื่นๆกำลังมองมาที่เขา
“พี่หนานโทรมา เขาถามว่างานของเราไปถึงไหนกันแล้ว!”