Elixir Supplier - ตอนที่ 715
715 วิญญาณร้าย
“อย่ามองฉันแบบนี้สิ” อาจิ่วพูด “ก็ลองคิดดูสิ ถ้างานพลาด ไม่มีใครในหมู่พวกเรารอดแน่”
เดิมที เขาคิดว่าอาเสิ่นคือมือดีที่สุดที่จะใช้ในการแก้แค้นหวังเย้า แต่อาเสิ่นกลับต้องไปจบที่สถานีตรวจ แม้แต่จะเดินเข้าไปในสถานีดีดีก็ยังทำไม่ได้ รถพยาบาลต้องมารับเขาที่สถานีตำรวจ เพราะเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส
“บางที เราน่าจะลองดูอีกสักรอบดีไหม?” ชายหนุ่มคนหนึ่งถามขึ้นมาด้วยท่าทีลังเล
“ลองอีกรอบ? แล้วใครจะเป็นคนไปล่ะ?” อาจิ่วถาม
ไม่มีใครตอบคำถามนี้ อาเสิ่นคือมือดีที่สุดที่พวกเขามี ถ้าอาเสิ่นทำงานนี้ไม่สำเร็จ ก็คงจะไม่มีใครในหมู่พวกเขาทำสำเร็จได้เช่นกัน พวกเขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่า ตัวเองจะหนีออกมาจากหมู่บ้านนั้นโดยที่ยังมีชีวิตอยู่ได้หรือไม่ ศัตรูของพวกเขาเป็นปรมาจารย์กังฟู และยังเป็นปรมาจารย์กังฟูที่เตรียมตัวมาอย่างดีอีกด้วย ทุกคนก้มหน้าหลบสายตาดูคล้ายกับนกอีมูที่กำลังหวาดกลัว
อาจิ่วถอนหายใจ ในสถานการณ์วิกฤตแบบนี้ คนของเขาก็กลายเป็นพวกไร้ประโยชน์ รวมถึงตัวเขาเองด้วย
“พี่จิ่ว ฉันว่าเราบอกความจริงกับพี่หนานไปเถอะ” หนึ่งในคนของเขาพูด “เราจะอยู่ที่รอรับโทษจากพี่หนานไปก็คงไม่ได้ แล้วเราก็คงจะจัดการกับผู้ชายคนนั้นไม่ได้ด้วย อาเสิ่นก็ยังอยู่ที่สถานีตำรวจ เราควรจะพาตัวเขาออกมาก่อนดีไหม?”
“ฉันเห็นด้วย” ชายอีกคนพูด
“อืม พวกนายเห็นด้วยไหม?” อาจิ่วถาม
“อืม” คนของเขาพูด
“ก็ได้ ฉันจะโทรหาพี่หนานเดี๋ยวนี้แหละ” อาจิ่วพูด
เขาสูดลมหายเข้าลึกและเดินกลับไปกลับมาอยู่ภายในห้อง ก่อนที่จะตัดสินใจกดโทรไปหาพี่หนาน
“พี่หนาน ผมมีข่าวร้ายจะบอกพี่ อาเสิ่นถูกตำรวจจับตัวไปแล้ว” อาจิ่วดูกังวล เขารู้สึกราวกับว่ากำลังยืนอยู่ติดกับพี่หนาน
“เกิดอะไรขึ้น?” อย่างที่คาดไว้ พี่หนานที่อยู่ปลายสายพูดขึ้นเสียง
ค่าจ้างอาเสิ่นในฐานะนักฆ่ามีชื่อนั้นสูงลิ่ว แล้วหลายปีมานี้ อาเสิ่นก็ได้ทำงานให้เขาและคนของเขาไปมากมาย เขาไม่สนใจว่าอาเสิ่นจะได้รับโทษอะไร หรือเขาจะได้รับโทษตายหรือไม่ สิ่งสำคัญก็คือ อาเสิ่นรู้มากเกินไป เขาไม่ต้องการให้อาเสิ่นเอ่ยถึงเขาและคนในแก็งค์ให้ตำรวจรู้ เพราะมันจะกลายเป็นหายนะสำหรับเขาอย่างแน่นอน
“ผมเพิ่งได้รับข่าวว่า อาเสิ่นทำงานล้มเหลวครับ” อาจิ่วพูด
“แม่งเอ้ย!” พี่หนานสบถ “ไปสืบมาว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วก็เอาตัวอาเสิ่นออกมาจากสถานีตำรวจให้ได้”
“พี่ว่า เราจะพาตัวเขาออกมาได้เหรอ?” อาจิ่วถาม “พี่หนาน มันเป็นคดีพยายามฆ่านะครับ”
“รู้แล้วโว้ย!” พี่หนานพูด
“พวกแกได้ยินที่พี่หนานพูดรึเปล่า?” อาจิ่วถาม
พวกเขาต่างพากันส่ายหน้า
“พี่หนานต้องการให้เราพาตัวอาเสิ่นออกมาจากสถานีตำรวจให้ได้” อาจิ่วพูด
“ล้อเล่นรึเปล่า?” ชายหนุ่มคนหนึ่งถาม “เขาโดนตำรวจจับในข้อหาพยายามฆ่านะ ตอนที่ถูกจับ ปืนยังคาอยู่ในมือของเขาด้วย เขาต้องได้รับโทษหนักแน่ พี่คิดจะให้เราพาเขาแหกคุกออกมาเหรอ? นั่นมันฆ่าตัวตายชัดๆ!”
“ฉันขอคิดดูก่อน” อาจิ่วพูด
เขารู้ว่า พี่หนานไม่ได้ต้องการให้พวกเขาแหกคุกเพื่อพาอาเสิ่นหลบหนีออกมา เขาเพียงแค่กำลังไม่พอใจ อีกไม่นานเขาก็คงจะส่งคนมาช่วย แล้วพี่หนานก็ยังมีทีมกฎหมายของตัวเองอยู่อีก เรื่องแบบนี้ ควรให้ผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้เป็นคนรับมือ
หวังเย้ากำลังเตรียมสมุนไพรสำหรับทำยาบำรุงอยู่
โสม, โก๋วฉี, หวงจิง, เชี่ยนฉือ, หลินจือ, กานเฉา…
นอกจากสมุนไพรที่เก็บจากในแปลงสมุนไพรของหวังเย้าเองแล้ว ก็ยังมีส่วนหนึ่งที่ได้มาจากหลี่เม่าชวง ซึ่งมักจะรับหน้าที่จัดหาสมุนไพรที่ดีที่สุดให้กับหวังเย้าอยู่เสมอ
หวังเย้าเอาสมุนไพรมาหนึ่งกำมือและแบ่งทั้งหมดออกเป็นกองเล็กๆหลายกอง เขาไม่ได้จะนำพวกมันไปต้มเป็นยาน้ำ แต่เขาจะนำสมุนไพรเหล่านี้ไปบดและผสมรวมกันจนกลายเป็นยาผงสมุนไพร
ยาเม็ดที่ได้จากโรงพยาบาลหรือเภสัชกรนั้นล้วนเป็นยาที่ผ่านกระบวนการการผลิตมาแล้วทั้งนั้น แต่สมุนไพรที่ไม่ได้ผ่านการผลิตมาจะละลายน้ำได้ช้ากว่า
หวังเย้าพอจะมีความรู้เรื่องเทคโนโลยีการผลิตยาเม็ดสมัยใหม่อยู่บ้าง ส่วนผสมหลักในการผลิตคือสารเคมีและใช้เทคนิคทางชีววิทยาเข้าช่วย บริษัทยาได้ใช้เทคโนโลยีในการผลิตสินค้าทั้งหมด ถึงแม้เทคโนโลยีสมัยใหม่จะมีประโยชน์สำหรับการผลิตในปริมาณมาก แต่มันก็ทำให้สมุนไพรบางตัวสูญเสียสรรพคุณทางยาไป ดังนั้น ยาสมุนไพรที่ผลิตโดยใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยจึงมีประสิทธิภาพด้อยกว่า ยาสมุนไพรที่ผ่านการผลิตด้วยมือ
ยกตัวอย่างเช่น ยาบำรุงที่หวังเย้าเป็นคนทำขึ้นมา ซึ่งมันมีประสิทธิภาพมากกว่ายาที่ทำโดยเครื่องมาก
หวังเย้าพยายามที่จะใช้วิธีการแบบโบราณในการผลิตยา และเขาก็ได้ปรึกษาเรื่องนี้กับเจิ้งเหว่ยจวินแล้วด้วย
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! เขาได้ยินเสียงคนเคาะประตูอย่างเร่งร้อน
“เข้ามาได้เลยครับ!” หวังเย้าพูดออกไป แล้วเสียงของเขาก็เดินทางออกจากห้องที่เขาอยู่ไปถึงหูของแขกผู้มาเยือน
ประตูถูกผลักให้เปิดออก คนสองคนเดินเข้ามาด้านใน พวกเขาต่างพยุงกันและกัน เพราะต่างก็ไม่สามารถเดินได้อย่างมั่นคง
หืม? จากการดมกลิ่น ก็ทำให้หวังเย้ารู้ได้ตั้งแต่ก่อนที่คนทั้งสองจะเดินเข้ามาแล้วว่า พวกเขาไม่ค่อยปกตินัก กลิ่นที่เขาได้มันไม่นาพิสมัยเลยสักนิด
แค่ก! แค่ก! แค่ก!
“สวัสดีครับ หมอหวัง ขอโทษที่ต้องมารบกวนคุณอีกครั้ง” หนึ่งในสองคนนั้นพูดขึ้นมา
“คุณนั่นเอง” หวังเย้าพูด
หวังเย้าแปลกใจที่เห็นเขามาที่นี่ และพวกเขาก็เคยพบกันมาก่อนแล้ว คนคนนี้ก็คือ เมี่ยวซานติง ผู้เป็นอาจารย์ดูฮวงจุ้ย ข้างๆเขาเป็นชายวัยประมาณสามสิบคนหนึ่ง
ทั้งสองอยู่ในสภาพย่ำแย่มาก บนใบหน้าของพวกเขากลายเป็นสีเขียวคล้ำ แม้แต่ตาขาวของพวกเขาก็ยังกลายเป็นสีเขียว เส้นผมของพวกแห้งกรอบ และพวกเขามีอาการหายใจหอบ
ทั้งสองสวมเสื้อแขนยาวและเสื้อผ้าตัวหนา ทั้งๆที่อยู่ในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดของปี พวกเขายังใส่ลองจอน(เสื้อผ้าฮีทเทค, ช่วยรักษาความร้อนของร่างกายเอาไว้)เอาไว้ข้างในอีกด้วย มันราวกับว่า พวกเขาเพิ่งจะกลับมาจากขั้วโลกใต้มา
หวังเย้ารับรู้ได้ถึงพลังแปลกประหลาดจากตัวคนทั้งสอง มันเป็นพลังหยินที่เข้มข้นจนผิดปกติ การไหลเวียนพลังในร่างกายของเขาราบรื่น ทำให้เขาสามารถปลดปล่อยพลังฉีออกมาเพื่อสื่อสารกับฟ้าดินได้อย่างอิสระ ดังนั้น เขาจึงอ่อนไหวกับพลังฉีที่ต่างออกไปได้ง่าย
“เกิดอะไรขึ้นกับพวกคุณเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ผมกับน้องชาย เราไปดูฮวงจุ้ยหลุมฝังศพให้กับครอบครัวหนึ่ง แล้วเราก็ไปเจอกับสุสานโบราณเข้า เราเลยเข้าไปดูข้างในเพราะความอยากรู้อยากเห็น แต่กลับกลายเป็นว่าต้องเจอเข้ากับปัญหาใหญ่แทน” เมี่ยวซานติงพูด
“สุสานโบราณเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ใช่ เป็นสุสานโบราณที่มีบางอย่างอยู่ข้างในนั้นด้วย” เมี่ยวซานติงพูด
“วิญญาณน่ะเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“หมอจะพูดแบบนั้นก็ได้” เมี่ยวซานติงพูด “หลังจากเดินเข้าไปในนั้น ผมก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ผมเกือบจะตายไปตั้งสองครั้ง แล้วผมก็ไปที่เขาอู่ไถเพื่อรักษาอาการ แต่ท่านพระเกจิอาจารย์ไม่อยู่ ผมก็เลยมาหาหมอที่นี่ยังไงล่ะครับ”
เขาคิดหาทางอื่นไม่ออกแล้ว เขาและน้องชายไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับพวกเขาเลย บางที มันอาจจะเป็นโชคชะตาที่ทำให้พวกเขาต้องเจอกับมัน ไม่มีใครคิดว่า ภายในสุสานจะมีภูตผีอยู่ในนั้นด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะใกล้ๆกันนั้นมีวัดที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมาก และมีพระสงฆ์หลายสิบรูปที่กินแต่ผักกับท่องบทสวดมนต์ละก็ เขากับน้องชายก็อาจจะตายไปตั้งแต่สามวันหลังจากออกมาจากสุสานแล้ว
เขาเคยพบเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน และรู้ว่าต้องแก้ไขยังไง ดังนั้น เขาและน้องชายจึงพากันไปที่เขาอู่ไถเพื่อเข้าพบกับพระเกจิอาจารย์รูปหนึ่งที่นั่น เขาเคยมาพบกับพระเกจิอาจารย์รูปนี้ด้วยเรื่องแบบเดียวกันมาก่อน แต่พระรูปนี้กลับไม่ได้อยู่ที่วัด เมี่ยวซานติงไม่รู้ว่าท่าไปไหนและจะกลับมาเมื่อไหร่ มันจึงทำให้เขารู้สึกหมดหนทาง
เขาไม่สามารถรออยู่ที่เขาอู่ไถไปตลอดได้ แล้วอยู่ๆเขาก็นึกถึงหวังเย้า ผู้ที่สามารถรักษาคนที่เขาไม่สามารถช่วยได้ขึ้นมา เขายังคิดเอาไว้ว่า ถ้าหากหวังเย้าไม่สามารถรักษาเขาและน้องชายได้ เขาก็อาจจะต้องบอกกับทางญาติของตัวเองให้เตรียมงานศพของตัวเขาเอาไว้รอ
“มันเป็นวิญญาณร้ายเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
เขาเคยเจอคนที่มีอาการคล้ายกันมาก่อน และรับรู้ได้ถึงพลังพิเศษจากตัวของเมี่ยวซานติงและน้องชายของเขา พลังที่อยู่รอบตัวคนทั้งสองต่างไปจากคนไข้อีกคน
“ผมคงต้องขอลองดูก่อนนะครับ” หวังเย้าพูด
เขาเริ่มปลดปล่อยพลังฉีออกมา เขาฝึกฝนการหายใจผ่านการท่องบทสวดของลัทธิ ดังนั้น พลังฉีของเขาจึงบริสุทธิ์และอ่อนโยน เขาสามารถควบคุมพลังฉีได้อย่างอิสระ ราวกับเป็นแขนขาของตัวเอง แต่แน่นอนว่า มันไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ภายใต้การควบคุมของหวังเย้า หลังฉีของเขาได้ไหลไปทางเมี่ยวซานติงและน้องชายของเขา พลังฉีสองสายที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงได้ปะทะใส่กัน แล้วพลังหยินเข้มข้นก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว ราวกับเกล็ดหิมะที่ละลายภายใต้ความร้อนแรงของแสงอาทิตย์
เมี่ยวซานติงและน้องชายของเขา สามารถรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายของพวกเขาได้อย่างชัดเจน ตั้งแต่ที่พวกเขาออกมาจากสุสานแห่งนั้น ไม่ว่าพวกเขาจะใส่เสื้อผ้าหนาหลายชั้นแค่ไหน พวกเขาก็ยังรู้สึกหนาวสั่นอยู่ดี ความหนาวเย็นได้แทรกซึมเข้าสู่กระดูกและอวัยวะภายในของพวกเขา และมันก็ค่อยๆแย่ลงเรื่อยๆ ความรู้สึกนี้ดำเนินต่อไปจนกระทั่งหวังเย้าหันฝ่ามือมายังพวกเขา ความหนาวเย็นภายในร่างกายพวกเขาเริ่มจางหายไป แล้วพวกเขาก็รู้สึกอุ่นขึ้นและสบายตัวขึ้น