Elixir Supplier - ตอนที่ 726
726 กังฟู เวทมนต์
จงหลิวชวนไม่ได้รีบตอบอะไรออกไป เขากำลังตัดสินใจอยู่ว่า เขาควรจะอยู่ต่อหรือไปดี หลังจากนั้นสักพัก เขาก็พูดออกมาว่า “งั้นผมจะอยู่”
ในเมื่อคนในองค์กรรู้แล้วว่าเขาอยู่ที่หมู่บ้านนี้ ไม่ว่าเขาจะจากไปหรืออยู่ต่อมันก็ไม่ต่างกัน และถึงเขาจะย้ายหนีไปอยู่ที่อื่น ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาก็คงจะตามไปเจอเขาอยู่ดี
เขาไม่สามารถใช้ชีวิตเหมือนอย่างพวกคนยิปซี ที่เร่ร่อนไปเรื่อยๆและอยู่ที่ไหนได้ไม่นาน ถึงเขาจะทำได้ แต่น้องสาวของเขาไม่สามารถทำได้ การเดินทางเร่ร่อนเหมือนคนจรมันโหดร้ายเกินไปสำหรับเธอ อย่างน้อยๆ การอยู่ที่หมู่บ้านก็ยังมีหวังเย้าคอยช่วยเหลือพวกเขา หวังเย้าสามารถช่วยเขาสู้กับศตรูเก่าของเขาได้ หวังเย้าเป็นหมอมือหนึ่ง และยังเป็นปรมาจารย์กังฟูอีกด้วย
“ดี ผมดีใจนะที่คุณอยู่ต่อ” หวังเย้าพูด
ในตอนที่เขากำลังคุยอยู่กับจงหลิวชวนนั้น หวังหมิงเปาก็ได้ออกไปสูบบุหรี่ที่ด้านนอก แคว๊ก! แคว๊ก! มีนกนางแอ่นสองตัวบินอยู่เหนือศีรษะของเขา เขาไม่ทันได้สังเกตเลยว่า มีนกนางแอ่นมาทำรังอยู่ที่หลังคาของคลินิก
“หมอหวัง คุณมีพลังเหนือธรรมชาติหรือว่าแค่มีทักษะในด้านกังฟูเท่านั้นครับ?” จงหลิวชวนถาม เขาสงสัยเรื่องนี้มาได้สักพักแล้ว
“มันต่างกันด้วยเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ต่างสิครับ กังฟูคือทักษะที่ได้มาจากการเรียนรู้และฝึกฝน” จงหลิวชวนพูด “แต่พลังเหนือธรรมชาติที่สิ่งที่ได้มาแต่กำเนิด มันเป็นไปไม่ได้ที่จะได้มันมาจากการเรียนรู้หรือฝึกฝนด้วยตัวเอง”
“ในเมื่อคุณพูดเรื่องนี้ขึ้นมา แล้วตัวคุณล่ะ เชื่อในเรื่องพลังเหนือธรรมชาติรึเปล่า?” หวังเย้าถาม
“เชื่อสิ หมอหวัง ผมเคยเห็นมันมาก่อน” จงหลิวชวนพูด
“จริงเหรอ?” ตอนนี้กลายเป็นหวังเย้าที่เป็นฝ่ายประหลาดใจ “มันเป็นพลังแบบไหนเหรอ? เหมือนอย่างที่มีให้เห็นในหนังรึเปล่า?”
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ” จงหลิวชวนพูด “ผมเคยเจอคนคนหนึ่ง ที่มีความสามารถในการทนทานไฟได้อย่างน่าเหลือเชื่อเลยล่ะครับ เขาอยู่รอดปลอดภัยจากเปลวไฟโดยที่ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน แต่อาวุธก็ยังสามารถทำให้เขาได้รับบาดเจ็บได้อยู่ เขายังป่วยและต้องกินเหมือนคนทั่วไป”
“เขาเป็นนักดับเพลิงได้เลยนะเนี่ย” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม
ถึงภายนอกเขาจะดูสงบ แต่ความจริงแล้วเขาค่อนข้างตกใจกับเรื่องนี้ เรื่องบางอย่างนั้นมีอยู่จริงบนโลกใบนี้ แต่เพียงแค่ไม่เคยมีใครได้เห็นด้วยตาตัวเองเท่านั้น
“ผมไม่ได้มีพลังเหนือธรรมชาติหรอก” หวังเย้าพูด “ผมมีแค่ทักษะกังฟูเท่านั้น”
“จะมีคนที่สามารถไปถึงระดับของหมอได้จากการฝึกฝนไหมครับ?” จงหลิวชวนถาม
เขาเคยพบเห็นปรมาจารย์กังฟูที่สามารถฆ่าคนได้ด้วยการเคลื่อนไหวเพียงแค่ครั้งเดียว หรือคนที่สามารถต่อสู้กับคนนับสิบหรือร้อยได้ด้วยตัวคนเดียว เขาเคยคิดว่า หากฝึกฝนอย่างหนักก็จะสามารถไปอยู่ในระดับเดียวกันกับคนเหล่านั้นได้ แต่ทักษะของหวังเย้านั้นกลับอยู่เหนือกว่าที่เขาจะจินตนาการได้ ในสายตาของเขา มันไม่ต่างอะไรจากเวทมนต์เลยสักนิด
ยังไม่ต้องพูดถึงทักษะอื่นของหวังเย้า เขาสามารถทำให้ศัตรูสูญเสียความสามารถในการต่อสู้และฆ่าคนได้โดยที่ไม่ต้องแตะเนื้อต้องตัวเลยด้วยซ้ำ นี่เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อจนเกินไป
“ผมว่าน่าจะได้นะ” หลังจากที่คิดอยู่สักพัก หวังเย้าก็ตอบออกไป
เขาได้ความสามารถเหล่านี้มาจากการฝึกฝนตามคัมภีร์จื้อหรานจิง เขาฝึกฝนการหายใจก่อนที่จะฝึกการต่อสู้ หากพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ ระดับของกำลังภายในของแต่ละคนนั้น คือสิ่งที่ใช้ตัดสินระดับทักษะกังฟูที่คนคนนั้นจะไปถึง
“หมอสอนผมได้ไหม?” จงหลิงชวนถาม
“คุณอยากให้ผมสอนกังฟูให้อย่างนั้นเหรอ?” หวังเย้าถาม
“ครับ ได้รึเปล่า?” จงหลิวชวนถาม
“ได้สิ ผมจะลองสอนดูก็ได้” หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง หวังเย้าก็พูดออกมา
“จริงเหรอครับ?” จงหลิวชวนถามด้วยความแปลกใจ
“จริงสิ” หวังเย้าพูด
เขาไม่สามารถนำทั้งหมดในคัมภีร์จื้อหรานจิงมาสอนจงหลิวชวนได้ เพราะมันคือกฎที่ระบบตั้งเอาไว้ แต่มันก็มีช่องโหว่ของกฎอยู่ หวังเย้าสามารถเอาบางส่วนจากในคัมภีร์มาสอนเขาได้ เหมือนอย่างที่เคยสอนให้กับซูเสี่ยวซวี
“ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป หมอคืออาจารย์ของผม” จงหลิวชวนพูด
“อย่าเรียกผมว่าอาจารย์เลย” หวังเย้าพูด “ผมสอนให้คุณได้ แต่ผมไม่ชอบใหคนเรียกผมว่าอาจารย์”
“แต่…หมอเป็นอาจารย์ของผมนี่” จงหลิวชวนพูด
“ช่างมันเถอะ แค่ทำตามที่ผมบอกก็พอ” หวังเย้าพูด
จงหลิวชวนคุยกับหวังเย้าต่ออีกไม่กี่นาที เขาก็เดินออกไป
“นี่ นายได้นักเรียนเพิ่มมาอีกคนเหรอ?” หวังหมิงเปาถาม เขาไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังเรื่องที่พวกเขาคุยกัน แต่เขาแค่ยังเอิญได้ยินก็เท่านั้น
หวังเย้าไม่ได้พูดอะไร เขาทำเพียงแค่ส่ายหน้าและยิ้มกลับไปเท่านั้น
“แล้วนายเก่งกังฟูมากเลยเหรอ?” หวังหมิงเปาถามด้วยความสงสัย
“มันก็พูดยากนะ” หวังเย้าพูด เขาไม่รู้ว่าจะอธิบายถึงระดับความสามารถในด้านกังฟูของเขากับหวังหมิงเปาได้ยังไง ในเมื่อมันไม่มีระดับบอกเอาไว้
“เราออกไปเดินข้างนอกกันดีไหม?” หวังหมิงเปาเสนอ
“เอาสิ” หวังเย้าพูด
ทั้งสองเดินออกไปที่บริเวณสวน ลมพัดรอบตัวพวกเขาไปวูบหนึ่ง มันถูกสร้างขึ้นมาด้วยการโบกมือเพียงครั้งเดียวของหวังเย้า ทั้งต้นไผ่, ใบหญ้า, และใบไม้ล้วนส่งเสียงดังซู่ซ่าจากแรงลม
“หยุด!” หวังเย้ายกมือขึ้น แล้วลมก็หยุดพัด
“เชี่ย…นี่มันไม่ใช่กังฟูแล้ว นี่มันเวทมนต์ชัดๆ” หวังหมิงเปาพูดด้วยท่าทีตกตะลึง เขารู้ว่า หวังเย้านั้นเก่งกาจในเรื่องของกังฟู แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่าหวังเย้าจะมาถึงระดับนี้ได้ “นายสอนฉันได้ไหม?”
“นายพูดจริงเหรอ?” หวังเย้าถามด้วยรอยยิ้ม
“จริงสิ ฉันเป็นคนที่มีพรสวรรค์ใช่ได้เลยนะ” หวังหมิงเปาพูด
“นายมีพรสวรรค์ในเรื่องการทำธุรกิจ แค่เรื่องนี้นายก็ยุ่งมากพอแล้ว” หวังเย้าพูด “แถมนายยังดื่มเหล้าสูบบุหรี่อีก มันจะทำนายไม่สามารถจดจ่ออยู่กับการฝึกได้ ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ นายไม่มีพื้นฐานในเรื่องนี้มาก่อนเลย ถ้านายจะต้องฝึกตั้งแต่แรกเริ่ม เวลาคงไม่มากพอให้นายสำเร็จมาถึงระดับเดียวหรือใกล้เคียงกับฉันได้ ดังนั้น ฉันแนะนำว่าให้ลืมมันไปดีกว่านะ”
หวังเย้าคิดว่า หวังหมิงเปาไม่เหมาะที่จะฝึกกังฟู เขาต่างจากซูเสี่ยวซวี ที่มีความสงบนิ่งและเคยเกือบเสียชีวิตจากโรคร้ายมาก่อน เธอได้มองเห็นอะไรมากมายบนโลกใบนี้ และเธอก็เป็นคนที่มีพรสวรรค์มากคนหนึ่ง
หวังหมิงเปาต่างจากจงหลิวชวนที่เริ่มฝึกกังฟูมาตั้งแต่เด็กเช่นกัน จงหลิวชวนมีพื้นฐานการเรียนกังฟูที่ดี และเขาสามารถอยู่กับชีวิตที่เงียบสงบและฝึกฝนอย่างหนักได้ จงหลิวชวนตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่ที่หมู่บ้านนี้ ดังนั้น เขาจึงมีเวลามากพอสำหรับฝึกฝนกังฟู หวังเย้าไม่คิดจะสอนคนที่มีโอกาสจะล้มเลิกฝึกกลางคันอย่างแน่นอน
“อืมมม แล้วมีวิธีไหนที่จะทำให้สามารถเรียนกังฟูได้เร็วขึ้นบ้างไหม?” หวังหมิงเปาถาม
“นายอยากเรียนกังฟูได้เร็วขึ้นเหรอ?” หวังเย้าถาม
“ใช่ อย่างการที่ให้คนยัดความรู้เกี่ยวกับกังฟูทั้งหมดใส่ไว้ในหัวของนาย หรือมีเทพเข้าฝันมาสอนกังฟูให้นายยังไงล่ะ” หวังหมิงเปาพูด
“นี่พูดเล่นอยู่ใช่ไหม?” หวังเย้าถาม “นายคงจะดูหนังมากไปสินะ”
“แล้วทำไมนายถึงเก่งขนาดนี้ได้ล่ะ?” หวังหมิงเปาถาม
“ฉันเหรอ? ก็เพราะพระเจ้ารักฉันยังไงล่ะ” หวังเย้าตอบ “ฉันฝึกฝนอยู่บนเนินเขาหนานชานทั้งวันทั้งคืน แล้วก็บังเอิญได้รับโอกาสที่น่าอัศจรรย์ตอนอยู่ที่กำแพงเมืองจีนกับวัดเทียนฐาน จนทำให้ความสามารถของฉันเพิ่มขึ้นมายังไงล่ะ”
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยถึงเรื่องนี้ให้คนอื่นได้ฟัง เขาไม่คิดว่า หวังหมิงเปาจะใจเย็นพอที่จะอ่านคัมภีร์ที่เขาจำเป็นต้องอ่านเพื่อฝึกฝนได้
“โว้ว ฟังดูน่ามหัศจรรย์จัง” หวังหมิงเปาพูด
“ใช่” หวังเย้าพูด
“ฉันอาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่เหมาะกับการฝึกกังฟูจริงๆนั่นล่ะ” หวังหมิงเปาพูด พร้อมกับหยิบบุหรี่มวนหนึ่งขึ้นมาจุด
“ฉันว่า นายน่าจะเลิกสูบบุหรี่ได้แล้วนะ” หวังเย้าพูด
“ฉันจะพยายามนะ” หวังหมิงเปารับฟังคำแนะนำของหวังเย้า และเก็บกล่องใส่บุหรี่ไป
“เมียนายเป็นยังไงบ้าง?” หวังเย้าถาม
“เธอพักอยู่ที่บ้าน ตอนนี้ เธอท้องแล้วล่ะ” หวังหมิงเปาพูด
“หา! ยินดีด้วย! ไม่คิดเลยนะว่ามันจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้” หวังเย้าพูด
“ขอบคุณ” หวังหมิงเปาพูด
…
ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ที่ถงตู ซึ่งอยู่ไกลจากหมู่บ้านของหวังเย้าไปหลายพันไมล์ นักพรตเต๋าหลายคนยืนอยู่รอบเตียงไม้หลังหนึ่ง ที่อยู่ภายในบ้านบนเขาหลงหู่ ชายคนหนึ่งกำลังนอนอยู่บนเตียงไม้นั้น เขาสวมชุดของนักพรต มีเครื่องรางบางอย่างถูกวางเอาไว้บนหน้าอกของเขา ใบหน้าของเขาดำคล้ำดูน่ากลัว และตอนนี้ เขายังคงนอนไม่ได้สติอยู่
“วิญญาณร้ายที่ทำร้ายเขาแข็งแกร่งมาก” นักพรตชราพูด
“อาจารย์ เขาจะเป็นอะไรไหม?” นักพรตอีกคนถาม
“อาจารย์คงทำได้แค่ยื้อชีวิตของเขาเอาไว้” นักพรตชราพูด “อาจารย์ก็ยังไม่มั่นใจว่าเขาจะกลับมามีสติได้หรือไม่”
“แล้วสองคนนั้นล่ะ” นักพรตถาม
“พวกเขายังอยู่ที่ห้องรับแขกด้านนอก” นักพรตชราพูด
เมี่ยวซานติงกับหลิวซื่อฟางกำลังรอคอยอยู่ที่ห้องรับแขก
“ฉันคิดว่า คนของที่นี่จะเชี่ยวชาญเรื่องการจัดการกับวิญญาณร้ายซะอีก” หลิวซื่อฟางพูด “ทำไมเรื่องถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้?”
“ไม่มีใครรับประกันได้ว่า ทุกอย่างที่ทำลงไปจะสำเร็จเสมอหรอกนะ” เมี่ยวซานติงยังคงรู้สึกผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้น “ขนาดนักพรตที่เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ก็ยังพลาดท่า เราก็พลาดที่มองไม่เห็นอันตรายที่อยู่ในสุสานนั้น แล้วยังเป็นเหตุที่ทำให้มีคนตายหลายคน ฉันคือคนที่ต้องรับผิดชอบเรื่องทั้งหมด”
“เลิกโทษตัวเองได้แล้ว มันไม่ใช่ความผิดของพี่เลยสักนิด” หลิวซื่อฟางพูด
“ถ้าฉันไม่เลือกให้ขุดหลุมฝังศพตรงนั้น คนพวกนั้นก็คงไม่ตาย และก็คงจะไม่เกิดเรื่องยุ่งยากตามมามากมายขนาดนี้หรอก” เมี่ยวซานติงพูด “ทุกอย่างเลวร้ายลงเรื่อยๆ ขนาดนักพรตเต๋าก็ยังได้รับผลกระทบไปด้วย คนหนึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่วนอีกคนก็ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไง ฉันว่า เขาน่าจะได้รับบาดเจ็บเหมือนกัน”
“เรื่องนี้ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน” หลิวซื่อฟางพูด
“เธอไม่ใช่ต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดหรอก” มีคนเดินเข้ามาด้านใน
นักพรตเต๋าหลายคนเดินเข้ามาภายในห้องรับแขก มีนักพรตชราเดินอยู่ด้านหน้าสุด เขามีดวงตาที่คมกริบ ราวกับดาบคมกริบที่ซ่อนอยู่ในฝัก
“ท่านปรมาจารย์” เมี่ยวซานติงพูด
“เลิกเรียกฉันว่าปรมาจารย์เถอะ” นักพรตชราโบกมือ “ตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิงมา มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ถูกเรียกว่าปรมาจารย์ แล้วพวกเขาทั้งหมดสิ้นไปแล้ว ฉันรู้จักกับอาจารย์ของเธอ เธอเรียกฉันว่าอาจารย์อาก็แล้วกัน”