Elixir Supplier - ตอนที่ 728
728 กำราบวิญญาณร้าย
ถึงจะสงสัยมากแค่ไหน แต่เขาก็ยังมีเรื่องให้ต้องห่วงอยู่ หลักๆก็คือเรื่ององค์ที่จงหลิวชวนได้เล่าให้เขาฟัง ถ้าหากเขาไป แล้วฝั่งนั้นส่งคนที่มีฝีมือระดับเดียวกับคนก่อนมา จงหลิวชวนคงต้านเอาไว้ไม่อยู่ และมันก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่
“รอเดี๋ยวนะครับ” หวังเย้าพูด
หวังเย้ากดโทรหาจงหลิวชวนและขอให้เขามาที่คลินิก เมื่อเขามาถึง หวังเย้าก็บอกเกี่ยวกับสถานการณ์ของตัวเองและความกังวลที่เขามี
“หมอหวังเรื่องนี้ได้เลยครับ องค์กรนี้มีระบบขั้นตอนของพวกเขาอยู่” จงหลิวชวนพูด “เมื่อนักฆ่ามือดีของพวกเขาทำงานพลาด มันก็หมายถึงระดับของงานที่ยากขึ้นตามไปด้วย พวกเขาจำเป็นต้องทำการประเมินใหม่ ซึ่งมันต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน ดังนั้น พวกเขาคงยังไม่ส่งคนมาเร็วๆนี้หรอกครับ”
“ถ้าอย่างนั้น มันต้องใช้เวลานานแค่ไหนเหรอ?” หวังเย้าถาม
“เดือนหนึ่งครับ” จงหลิวชวนพูด
“อืม ผมคงไม่อยู่ที่นี่สักอาทิตย์หนึ่ง ดังนั้น ผมฝากที่นี่ให้คุณดูแลด้วยนะ” หวังเย้าพูด
“ผมจะดูแลที่นี่ให้เองครับ” จงหลิวชวนพูด
หวังเย้าส่งหนังสือเล่มหนึ่งให้กับเขา “เอานี่ไปอ่านซะนะ”
“นี่มันตำราแพทย์ไม่ใช่เหรอครับ?” จงหลิวชวนไม่เข้าใจ เขาอยากจะเรียนกังฟูไม่ใช่เรียนแพทย์
“หลักสำคัญก็คือเส้นเลือดและจุดฝังเข็มบนร่างกายของมนุษย์” หวังเย้าพูด “คุณจำเป็นต้องทำความเข้าใจเรื่องพวกนี้และจดจำมันเอาไว้ ถ้าอยากจะเรียนกังฟู คุณก็ต้องเข้าใจหลักกายภาพก่อน”
“เข้าใจแล้วครับ” จงหลิวชวนพูด
หวังเย้าหันไปหาเมี่ยวซานติงที่กำลังรอคอยอยู่อย่างร้อนใจ และพูดกับเขาว่า “ผมจะกลับไปบอกพ่อกับแม่ของผมที่บ้านก่อน แล้วจากนั้นเราก็ไปกัน”
“โอ้ ขอบคุณครับ” เมี่ยวซานติงพูด
หลังจากปิดคลินิกแล้ว หวังเย้าก็กลับไปที่บ้านและอธิบายเรื่องทั้งหมดให้พ่อแม่ของเขาฟังอย่างคร่าวๆ
“ลูกจะไปไกลเหรอจ๊ะ?” จางซิวหยิงถาม
“ครับ ผมได้รับคำเชิญจากเพื่อนคนหนึ่ง แล้วผมก็อยากจะไปดูที่นั่นสักหน่อยด้วย” หวังเย้าพูด “ตอนที่ผมไม่อยู่ แม่กับพ่อพยายามอย่าออกไปข้างนอกบ่อยๆนะครับ ถ้ามีปัญหาอะไร รอให้ผมกลับมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
“อ่อ ได้จ๊ะ” จางซิวหยิงพูด
หลังจากที่เขาได้คุยกับคนที่บ้านเรียบร้อยแล้ว หวังเย้ากับเมี่ยวซานติงก็มุ่งหน้าไปที่เมืองเต๋า เพื่อขึ้นเครื่องไปยังหงโจว
…
ภายในหมู่บ้านซึ่งเป็นที่ตั้งของสุสานโบราณในหงโจว
เช้าวันรุ่งขึ้น นักพรตเต๋าจากเขาหลงหู่ตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อฝึกกังฟูอยู่ที่บริเวณลานบ้าน การเคลื่อนไหวของพวกเขาเป็นไปอย่างเชื่องช้า และท่าทางดูแปลกตา
นี่มันมวยแบบไหนกัน? หลิวซื่อฟางสงสัย
“ท่านนักพรต อาหารเช้าพร้อมแล้ว” ชาวบ้านในหมู่บ้านนั้นให้การต้อนรับพวกเขาเป็นอย่างดี และคนในหงโจวต่างก็ให้เคารพนับถือเหล่านักพรตเต๋าที่มาจากเขาหลงหู่กันทั้งนั้น
หลังจากทานอาหารกันเรียบร้อยแล้ว นักพรตทั้งสามก็ตรวจสอบอุปกรณ์ต่างๆที่พวกเขานำติดตัวมาด้วยอย่างละเอียด หลังจากมั่นใจแล้วว่าไม่ปัญหาอะไร พวกเขาก็พร้อมที่จะขึ้นไปบนเขา พร้อมกับมีหลิวซื่อฟางตามขึ้นไปด้วย
“เธอไม่ต้องไปกับพวกเราหรอก” ผู้นำนักพรตพูด
เรื่องนี้ทำให้หลิวซื่อฟางดีใจมาก เขาไม่ได้อยากจะไปที่นั่นเลยสักนิด เพราะมันได้ทิ้งความกลัวเอาไว้ในใจของเขา แต่เมื่อคิดถึงคำสั่งจากพี่ชายแล้ว เขาก็เกิดลังเลขึ้นมา
“อาจารย์อา ผมไม่ขึ้นไปบนนั้นกับอาจารย์อา” เขาพูด “แต่ผมจะรออยู่ตรงตีนเขานะครับ ถ้าต้องการอะไรก็ให้เรียกหาผมได้เลย”
“อืม ได้” นักพรตยิ้มให้เขา
สายตาของเขามีมองหลิวซื่อฟางได้เปลี่ยนไปจากก่อนหน้านี้ ชายหนุ่มคนนี้กลัวสุสานโบราณแห่งนั้นมาก ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ถึงยังไง สิ่งที่มองไม่เห็นก็คือสิ่งที่คนส่วนใหญ่หวาดกลัวกัน แต่หลิวซื่อฟางก็ยังกล้าเผชิญหน้ากับมันและทำเท่าที่เขาจะทำได้ มันเป็นสิ่งที่หาได้ยากมาก
“เอาเครื่องรางสองอันนี้ไปติดที่หน้าอกของเธอซะ” ผู้นำนักพรตหยิบเครื่องรางออกมาจากกระเป๋าและยื่นให้กับเขา “ขอแค่เธอไม่เข้าไปใกล้ ก็จะไม่มีปัญหาอะไร”
“ขอบคุณครับ อาจารย์อา” หลิวซื่อฟางพูด
กลุ่มของพวกเขาออกเดินทางและไปถึงที่ตีนเขาในเวลาอันสั้น นักพรตเข้าไปตรวจสอบดูค่ายกลที่วางเอาไว้เมื่อคืน แผ่นยันต์ยังคงติดอยู่ที่เดิม เมื่อพวกเขาเดินขึ้นไปบนเขา พวกเขาก็เข้าไปตรวจสอบดูแผ่นยันต์ที่ติดรอบกระท่อมเอาไว้ ทั้งหมดยังคงอยู่ที่เดิม แต่แผ่นยันต์กลับกลายเป็นสีเหลืองไปแล้ว เวลาผ่านไปเพียงคืนเดียว แต่แผ่นยันต์ที่ติดเอาไว้กลับกลายเป็นแผ่นกระดาษที่ราวกับผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนาน
“ระวังตัวด้วย” ผู้นำนักพรตพูด
“ครับ อาจารย์” นักพรตอีกสองคนตอบรับ
นักพรตทั้งสามเดินเข้าไปในกระท่อมด้วยความระมัดระวัง หนึ่งในนั้นหยิบแผ่นยันต์ออกมาติดกับตัวกระท่อม เพียงไม่นาน แผ่นยันต์ก็ลุกไหม้กลายเป็นขี้เถ้า
ผู้นักพรตวาดสัญลักษณ์บางอย่างขึ้นในอากาศ ก่อนที่จะเดินนำเข้าไปในกระท่อม ด้านในกระท่อมยังคงเหมือนเดิม แต่นักพรตเต๋าที่มาที่นี่ก่อนหน้านี้ กลับหายตัวไป
ภายในสุสาน รูปปั้นปีศาจร้ายยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
“เป็นแบบนี้ได้ยังไงกัน?” นักพรตชราขมวดคิ้ว
“อาจารย์ มีเลือดอยู่ตรงนั้น” นักพรตเต๋าคนหนึ่งชี้เข้าไปด้านใน
มีรอเลือดลากยาวไปจนถึงประตูและถูกลบหายไป
“วิญญาญร้ายอยู่บนเส้นทางและอยู่ภายใต้การคุ้มครองของราชาลิง” นักพรตชราไม่ได้รีบร้อนเข้าไปด้านใน แต่เขามองดูบานประตูทั้งสองฝั่งของสุสานอยู่เงียบๆ
ครืด!
บานประตูหินที่หนาหนักดูเหมือนกำลังหยับอยู่ มันเปิดแง้มออกเล็กน้อย
กระดิ่งที่เอวของนักพรตส่งเสียงดังลั่น ที่ด้านนอกของกระท่อม กระดาษทั้งแปดแผ่นที่ติดเอาไว้เกิดการลุกไหม้และกลายเป็นขี้เถ้า
มือหนึ่งยื่นออกมาจากด้านในสุสาน
“นี่มัน?” นักพรตหนุ่มสองคนมีท่าทีตกใจ “เป็นไปได้ยังไงกัน?”
ที่บริเวณตีนเขา หลิวซื่อฟางกำลังสูบบุหรี่และเดินกลับไปกลับมา เขาเงยหน้าขึ้นมองดูด้านบนเขาลูกนั้นเป็นครั้งคราว
หลิวซื่อฟาง แกมันหน้าโง่ แกจะกลัวไปทำไม? นักพรตที่มาครั้งก่อนเป็นเพียงลูกศิษย์ แต่ครั้งนี้คืออาจารย์ที่มาด้วยตัวเอง มันไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
เขายกมือขึ้นมาจับเครื่องรางที่ติดอยู่ที่หน้าอกของเขา
“พระพุทธเจ้า ช่วยลูกด้วย, พระโพธิสัตย์ ช่วยลูกด้วย, พระเจ้า ช่วยลูกด้วย…”
ภายในกระท่อม ด้านหลังบานประตูมีส่วนแขนยื่นออกมา ตัวแขนถูกพันไว้ด้วยชุดคลุมของนักพรตเต๋า มันเป็นแบบเดียวกันกับที่นักพรตเต๋าสามคนที่อยู่ด้านนอกสวมอยู่ แต่ชุดคลุมนั้นมีหยดเลือดติดอยู่ด้วย
“ศิษย์…ศิษย์พี่?”
“เฮ้อ เรื่องที่กังวลมากที่สุดได้เกิดขึ้นแล้วสินะ” นักพรตชราพูด
เขาสะบัดมือ แล้วกระดาษแผ่นหนึ่งก็ปลิวออกไปราวกับมีดบินเล่มหนึ่ง มันพุ่งตรงไปยังแขนที่ยื่นออกมา ตัวกระดาษเกิดการฉีกขาดและลุกไหม้ขึ้น แขนนั้นหยุดการเคลื่อนไหว มันค้างอยู่ในท่าที่ราวกับกำลังจะผลักประตูให้เปิดออก
ด้านซ้ายบนของสุสาน ได้เกิดรอยแตกร้าวขึ้นที่รูปปั้นราชาลิงโดยไม่ทราบสาเหตุ
“เราจะปล่อยเขาออกมาไม่ได้เด็ดขาด” อยู่ๆสีหน้าของนักพรตชราก็เปลี่ยนไป
“หา?”
แผ่นยันต์พุ่งออกไปทีละแผ่นๆ และติดเข้าไปที่ทั้งสี่มุมของประตูสุสาน แล้วลุกไหม้ขึ้นทันที
วิญญาณร้ายถูกขังอยู่ด้านใน พวกมันถูกปิดกั้นจากโลกด้านนอก โดยมีราชาลิงเป็นผู้ปกป้องและควบคุมพวกมันเอาไว้ ทำให้พวกเขาไม่สามารถออกมาได้
ประตูสุสานถูกผลักให้เปิดออกจากด้านใน โดยทฤษฎีแล้ว สิ่งที่อยู่ด้านในไม่ควรจะตื่นขึ้นมา
นักพรตชรารู้ได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
ประตูสุสานเกิดการเคลื่อนไหวขึ้นอีกครั้ง คล้ายกับว่ามีเสียงหายใจดังออกมาจากด้านใน รูปปั้นที่ตั้งอยู่ด้านขวาได้เกิดรอยร้าวขึ้นเช่นเดียวกัน
“เราผนึกมันไม่ได้เหรอ?” นักพรตคนหนึ่งถาม
ประตูสุสานถูกผลักให้เปิดออกประมาณสามนิ้ว มีใบหน้าหนึ่งที่มาพร้อมกับดวงตาสีแดงก่ำคู่หนึ่งโผล่ออกมา
“อ้าก!”
“แย่แล้ว!” เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้อง หลิวซื่อฟางที่อยู่ตรงตีนเขาก็ทิ้งบุหรี่ลงพื้นและออกตัววิ่งหนีไป หลังจากที่วิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็หันหลังกลับไปมองภูเขาที่อยู่ด้านหลัง แต่กลับไม่เห็นใครลงมาจากด้านบนเลย
เขาคิดในใจ คราวที่แล้วเสร็จไปคนหนึ่ง หรือครั้งนี้ ทั้งสามจะพลาดเหมือนกัน?
ร่างกายของเขาสั่นสะท้านด้วยความกลัว เขากำลังกลัว แต่เขาก็กัดฟันและตัดสินใจที่จะรอต่อ
ด้านในกระท่อม นักพรตคนหนึ่งนอนตัวสั่นสะท้านอยู่ที่พื้น ราวกับคนที่ถูกไฟช๊อต
“ตื่น!” นักพรตชราแก้กระดิ่งที่มัดติดอยู่ที่เอวออกมา และนำมันกดลงไปที่ศีรษะของผู้เป็นลูกศิษย์
นักพรตที่นอนอยู่ที่พื้นหยุดสั่น ดวงตาของเขากลับมากระจ่างใสอีกครั้ง
“คาถารวมศูนย์กลาง!” นักพรตชราตะโกน “ดูเหมือนว่าจะต้องให้ศิษย์พี่มาที่นี่ซะแล้ว”
เขาดึงของบางอย่างออกมาจากกระเป๋า มันคือกระจกทองแดงที่เต็มไปด้วยลวดลายซับซ้อนและสัญลักษณ์มากมาย
เขาหมุนกระจกทองแดงในมือ แล้วอยู่ๆก็มีแสงส่องออกมาจากตัวกระจก ตัวแสงพุ่งผ่านเข้าไปยังช่องว่างที่เปิดออกของประตูและโจมตีเข้าใส่สิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังบานประตู แล้วร่างๆนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว
นักพรตเต๋ารีบเดินลงไปในสุสานและปิดผนึกประตูบานนั้นด้วยความเร็วสูงสุด เขานำเครื่องรางจำนวนหนึ่งออกมาติดไว้กับบานประตู แต่เครื่องรางก็ลุกไหม้ไปทีละอันๆ เมื่อเขาติดเครื่องรางอันที่ 12 ลงไป การลุกไหม้ก็หยุดลง
ลูกศิษย์ของเขาที่เพิ่งได้สติก็ลุกขึ้นมาช่วยเขา ศิษย์อาจารย์ทั้งสามได้ทำการติดเครื่องรางไว้ที่สุสานทั้งหมด 81 ชิ้น