Elixir Supplier - ตอนที่ 729
729 ไม่เป็นรองใคร
“ขึ้นไปกันเถอะ!” นักพรตชราพูด
นักพรตชราและลูกศิษย์ของเขาเดินออกมาจากสุสานและกลับออกไปด้านนอก นักพรตเต๋าถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เขาต้องใช้พลังจำนวนมากไปกับการจัดการเรื่องทั้งหมด
หลังจากพักผ่อนอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เดินเข้าไปในด้านในกระท่อมอีกครั้ง
“ออกจากที่นี่กันเถอะ” นักพรตชราพูด
เขาและลูกศิษย์ทั้งสองเดินออกมาจากตัวกระท่อม เขาเดินไปรอบๆ ก่อนที่จะกลับเข้าไปอีกครั้ง เขาดึงดาบไม้ออกมาจากด้านหลังและถือเอาไว้ในมือ เขาโบกสะบัดมือ แคร๊ก! แล้วหลังคากระท่อมก็เปิดออก ดาบไม้เล่มนี้คมอย่างไม่น่าเชื่อ นักพรตเต๋าสร้างรูขนาดใหญ่เอาไว้ที่หลังคากระท่อม เพื่อให้แสงอาทิตย์ส่องลอดเข้าไปถึงด้านในได้ แล้วแสงอาทิตย์ก็ส่องตรงไปที่บานประตูสุสานพอดี
“ดี” นักพรตเต๋าพูด
เขาเดินออกมาจากกระท่อมและใช้แผ่นยันต์สร้างค่ายกลขึ้นมา ก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับลูกศิษย์ของเขา
“พวกเขากลับมาแล้ว” หลิวซื่อฟางพูดขึ้นมา ในตอนที่เขาเห็นนักพรตทั้งสามเดินลงมาจากเขา
นักพรตและลูกศิษย์ของเขาดูปกติดี แต่หนึ่งในนั้นดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ใบหน้าของเขาซีดเซียว หลิวซื่อฟางเดาว่า นักพรตคนนี้น่าจะถูกทำร้ายโดยวิญญาณร้ายที่อยู่ด้านในสุสาน โชคดีที่เขารอดชีวิตและยังสามารถเดินได้
“ทุกคนไม่เป็นไรนะครับ?” หลิวซื่อฟางถาม
“อาจารย์ไม่เป็นไร แต่ลูกศิษย์ของอาจารย์คนหนึ่งโดนวิญญาณร้ายด้านในทำร้ายเข้า” นักพรตเต๋าพูด “แต่ผ่านไปสักสองสามวัน เขาก็จะดีขึ้นเอง”
“มานั่งพักตรงนี้ก่อนเถอะครับ ผมจะดูให้เอง” หลิวซื่อฟางพูดพร้อมกับเดินเขาไปช่วยนักพรตคนที่ได้รับบาดเจ็บ “อาจารย์ได้จัดการกับวิญญาณที่อยู่ข้างในแล้วเหรอครับ?”
“ยังหรอก” นักพรตชราพูด “มันแข็งแกร่งกว่าที่อาจารย์คิดเอาไว้ ตอนนี้ อาจารย์แค่ขังมันไว้ข้างในเท่านั้น ในเก้าวันนี้ มันจะไม่สามารถออกมาด้านนอกได้”
“ครับ” หลิวซื่อฟางพูด “แล้วถ้าผ่านเก้าวันไปล่ะครับ?”
“อาจารย์จะโทรหาศิษย์พี่ให้ส่งคนมาที่นี่เพิ่ม” นักพรตชราพูด “เขาอาจจะมาที่นี่ด้วยตัวเองก็ได้”
หลังจากที่พวกเขากลับไปถึงที่หมู่บ้านแล้ว นักพรตชราก็โทรหาศิษย์พี่ของเขา ไม่นาน มันก็เป็นเวลาอาหารกลางวัน
“นี่คือเขาหลงหู่เหรอครับ?” หวังเย้าที่ยืนอยู่ตรงตีนเขากำลังมองดูทิวเขาที่เขียวขจีและถูกล้อมรอบไปด้วยก้อนเมฆและหมอกขาว
เขาหลงหู่นั้นมีขนาดใหญ่กว่าเนินเขาหนานชานมาก เพราะยังไงมันก็คือภูเขาลูกหนึ่ง
“ใช่ เราไปกันเลยไหม?” เมี่ยวซานติงพูด
เขาอยากจะไปให้ถึงวัดลัทธิเต๋าที่อยู่บนเขาให้เร็วที่สุด เขาเป็นห่วงเรื่องอาการของนักพรตคนนั้น เพราะตอนที่เมี่ยวซานติงออกเดินทางไปหาหวังเย้า อาการของเขาก็แย่มากอยู่แล้ว
“ได้ครับ” หวังเย้าพูด
พวกเขาเดินขึ้นไปยังตัววัด
“หืม ตรงนั้นมีวัดของลัทธิเต๋าอยู่ด้วย” หวังเย้าชี้ไปทางวัดลัทธิเต๋าที่ปรากฏสู่สายตาของเขา
“บนเขาลูกนี้มีวัดอยู่เยอะเลยล่ะครับ” เมี่ยวซานติงพูด
อากาศบนเขาสดชื่นมาก หวังเย้าสามารถรับรู้ได้ถึงความเข้มข้นของพลังบนเขาลูกนี้ ถึงยังไง เขาลูกนี้ก็ถือเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับวัดของลัทธิเต๋ามาเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว
บนเขามีวัดอยู่มากกว่าหนึ่ง ระหว่างทางที่เดินขึ้นมา หวังเย้าเดินผ่านวัดมาแล้วถึงสามที่ มันเป็นครั้งแรกที่เขาได้มาที่นี่ เขาจึงใช้เวลาไปกับการชื่นชมทิวทัศน์โดยรอบไปด้วย เขาหลงหู่ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงในเรื่องของธรรมชาติและวัฒนธรรม
พวกเขาเดินไปหยุดอยู่ที่ด้านหนาวัดแห่งหนึ่ง เมี่ยวซานติงพูดขึ้นมาว่า “เรามาถึงกันแล้ว”
วัดแห่งนี้หลบซ่อนตัวอยู่ลึกเข้าไปในภูเขา หวังเย้าเดาว่า คงจะไม่มีคนมาเที่ยวชมที่นี่มากนัก
“เฮ้อ?” หวังเย้าถอนหายใจออกมา
“อะไรเหรอครับ?” เมี่ยวซานติงถาม
“ทำเลที่นี่ออกจะแปลกๆ แต่คุณกลับรู้ทางดีมากนะครับ” หวังเย้าพูด
“ตัววัดมีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายร้อยปี” เมี่ยวซานติงพูด “ตอนที่วัดถูกสร้างขึ้น หัวหน้าของนักพรตเต๋าได้เลือกสถานที่แห่งนี้เพราะมีเหตุผล แล้วตัวเขาหลงหู่เองก็ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับผู้ฝึกฝนทางเต๋าอยู่แล้ว พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องเสียเวลาหาสถานที่ที่มีฮวงจุ้ยที่ดีในการสร้างวัด”
เขาเดินเข้าไปในวัดพร้อมกับหวังเย้า และได้ทักทายนักพรตเต๋าที่อยู่ด้านในในตอนที่พวกเขาเดินเข้าไปพบกับนักพรตชรา
“สวัสดีครับ อาจารย์อา” เมี่ยวซานติงพูด
“สวัสดี ซานติง” นักพรตชราพูด
“นี่คือ…” ทันทีที่นักพรตชราได้เห็นหวังเย้า เขาก็ต้องประหลาดใจ เขาจ้องมองหวังเย้า ราวกับกำลังมองดูสิ่งของล่ำค่าหายากอยู่ เขาพึมพำออกมา “นี่มันเป็นไปไม่ได้!”
หวังเย้าไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่ยืนอยู่เฉยๆเท่านั้น
“เธอฝึกฝนทางเต๋าเหรอ?” นักพรตเต๋าถาม
“ประมาณนั้นครับ” หวังเย้าพูด
“เธออยู่ในระดับไหนแล้วเหรอ?” นักพรตเต๋าถาม
“เอ่อ นั่นเป็นคำถามที่ดี แต่ผมก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน” หวังเย้าพูด
เขาอยากจะหาคำตอบที่ดีให้กับคำถามนี้ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดยังไง เขาพอจะรู้ว่า ระดับของเขาอยู่ประมาณไหน แต่เขาก็ไม่รู้ว่า ดลกภายนอกมีการวัดระดับกันด้วยอะไร
“เธอฝึกฝนตามหลักของลัทธิเต๋าใช่ไหม?” นักพรตชราถาม
“คิดว่านะครับ” หวังเย้าพูด คัมภีร์จื้อหรานจิงถือเป็นคัมภีร์เต๋าเช่นกัน
ในตอนที่นักพรตชรากำลังสังเกตดูหวังเย้าอยู่นั้น หวังเย้าก็สังเกตดูนักพรตชราเช่นเดียวกัน เขารู้สึกคุ้นเคยกับนักพรตชราที่ฝึกฝนทางเต๋าเช่นเดียวกันกับเขา และนี่ก็ถือเป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับคนที่ฝึกฝนทางเต๋าอย่างแท้จริง การฝึกฝนทางเต๋ามีอยู่หลายวิธี แต่ก็อยู่ในพื้นฐานเดียวกัน คือความสงบและธรรมชาติ
“หมอหวังคือคนที่รักษาผมกับซื่อฟางครับ” เมี่ยวซานติงพูด
“จริงเหรอ? เธอเป็นหมอด้วยเหรอ?” นักพรตชราถาม
“ผมเป็นแพทย์ปรุงยาครับ” หวังเย้าพูด
“แพทย์ปรุงยาที่ได้รับการสืบทอดมาจากราชายาน่ะเหรอ?” นักพรตชราถามด้วยความแปลกใจ
“ไม่ใช่ครับ” หวังเย้าพูด
“ยังไงก็เถอะ เธอช่วยไปดูอาการของนักพรตคนหนึ่งให้หน่อยจะได้ไหม?” นักพรตชราถาม
หวังเย้าเดินเข้าไปยังห้องที่นักพรตที่ป่วยพักผ่อนอยู่ เขาหายใจรวยริน
“โอ้ แย่มากเลยนะเนี่ย” หวังเย้าพูด อาการของนกพรตเต๋าเลวร้ายกว่าที่เมี่ยวซานติงกับหลิวซื่อปางเป็นมาก
“เธอคิดว่ายังไง?” นักพรตชราถาม
“ไม่ดีเลยครับ เขากำลังจะตาย” หวังเย้าสามารถบอกอากรของคนป่วยได้หลังจากใช้การมอง “ที่นี่ไม่จำเป็นต้องใช้คนเยอะหรอกครับ”
“ได้ พวกเธอออกไปก่อน” นักพรตชราพูดกับนักพรตเต๋าที่อยู่ด้านใน
หลังจากทุกคนออกไปแล้ว ภายในห้องก็เหลือเพียงแค่คนป่วย, หวังเย้า, เมี่ยวซานติง, และนักพรตชรา
หวังเย้าเริ่มลงมือรักษาคนป่วยทันที อันดับแรก เขาพยายามกำจัดพลังฉีประหลาดออกจากร่างกายของคนป่วย เขาเหยียดแขนและยื่นมือออกไป พลังงานก้อนใหญ่ถูกส่งออกมาจากฝ่ามือของเขา และปกคลุมร่างของคนป่วยราวกับระฆังใบหนึ่ง พลังฉีเคลื่อนไหวไปตามการควบคุมของหวังเย้า เพื่อจัดการกับพลังหยินเข้มข้นให้ออกไปจากร่างของคนป่วย
นักพรตเต๋าอยู่ในอาการตกตะลึง เขามองเห็นภาพอาจารย์ที่เสียชีวิตไปแล้วของเขาทับซ้อนอยู่บนตัวหวังเย้า
“นี่มันคือเต๋าของพลังฉี!” นักพรตชราอุทานออกมา เขาสามารถรับรู้ได้ถึงพลังบริสุทธิ์จำนวนมากกำลังเคลื่อนไปรอบๆ ในฐานะของผู้ฝึกฝนทางเต๋าคนหนึ่ง เขาจึงรู้ว่ามันคืออะไร “มันไม่ง่ายเลยที่จะสร้างพลังฉีทางเต๋าขึ้นมาในร่างกาย บางทีอาจจะมีแค่หนึ่งร้อยคนเท่านั้นที่ทำได้ วิธีการที่เธอปลดปล่อยพลังฉีออกมานั้นหาได้ยากมาก มันหมายถึง เธอได้เปิดสะพานเชื่อมระหว่างฟ้าดิน และสามารถสื่อสารกับโลกได้ด้วยพลังฉีในตัวเธอ”
พลังหยินที่เข้มข้นค่อยๆจางหายไปจากร่างของคนป่วย แต่เขาก็ยังไม่ถือว่าหายดี เขาป่วยมาระยะหนึ่งแล้ว และอาการของเขาก็ค่อนข้างหนัก การรักษาที่ล่าช้าทำให้หลายส่วนในร่างกายของเขาได้รับความเสียหาย
หวังเย้าเอาเม็ดยาจิ่วเฉาให้เขากินเข้าไปและเขียนรายละเอียดตัวยาลงไปในกระดาษ
“ขอบคุณ” นักพรตชราพูด
เขาสั่งให้คนไปหาสมุนไพรตามสูตรยาที่ได้มา และสมุนไพรบางตัวก็มีอยู่ในวัดแล้ว
“เธอรักษาเขาได้ไหม?” นักพรตชราถาม
“ตอนนี้เขาพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ก็ต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง เพื่อให้รางกายของเขาฟื้นตัวครับ” หวังเย้าพูด
“ฉันขอคุยกับเธอหน่อยได้ไหม?” นักพรตชราถาม
“ได้สิครับ” หวังเย้าพูด เขาเดินตามนักพรตชราไปที่สวนด้านหลัง
“เธอสามารถใช้กำลังภายในสื่อสารกับฟ้าดินได้ใช่ไหม?” นักพรตชราถามออกมาตามตรง
“เอ่อ ผมไม่ค่อยเข้าใจที่คุณพูดเท่าไหร่น่ะครับ” หวังเย้าพูด “คุณหมายถึงการเรียกลมเรียกฝนเหรอครับ?”
“ฮาฮา ไม่ใช่แบบนั้นหรอก” นักพรตชราพูด “มนุษย์คือส่วนหนึ่งของโลกใบนี้ แต่ก็อยู่เป็นอิสระ มนุษย์ฝึกฝนทางเต๋าเพื่อให้เข้าใจธรรมชาติของโลกใบนี้มากขึ้น, สื่อสานกับโลกได้ดีขึ้น, และสร้างการเชื่อมต่อระหว่างฟ้าดินขึ้นมา”
“คุณหมายถึงแบบนี้เหรอครับ?” หวังเย้าปลดปล่อยพลังฉีออกมาบางส่วน
“ใช่!” นักพรตเต๋าดูตื่นเต้น “ฉันช่างโชคดีจริงๆที่ได้เห็นคนทำแบบนี้ในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่!”
ตอนนี้ กลายเป็นหวังเย้าที่เป็นฝ่ายตั้งคำถาม เขามักฝึกฝนด้วยตัวเองและไม่เคยได้พบกับคนที่ฝึกฝนเหมือนกันมาก่อน ในบางครั้ง เขาก็รู้สึกโดดเดี่ยว ดังนั้น เขาจึงดีใจที่ได้พบกับคนที่ฝึกฝนทางเต๋าเช่นเดียวกับเขา
เขาถามคำถามนักพรตเต๋าในคำถามที่เขาอยากจะถามใครสักคนมานานแล้ว นักพรตชราตอบคำถามของเขาอย่างใจเย็น จนกระทั่งถึงตอนนี้ หวังเย้าไม่รู้ตัวเลยว่า หลังจากที่ฝึกฝนทางเต๋าด้วยตัวเองมานาน เขาก็ได้ขึ้นไปยืนอยู่เหนือผู้ฝึกฝนหลายๆคนแล้ว
“เธอเป็นคนที่โชคดีมากจริงๆ” นักพรตชราพูด
“ขอบคุณครับ ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกับ” หวังเย้าพูด เขาคิดว่า ตัวเขาคงจะได้รับความรักจากพระเจ้าอย่างมาก
“ต้องขอโทษด้วยนะ ตอนนี้ฉันคงต้องไปแล้ว” นักพรตชราพูด “เธอจะเดินดูรอบๆที่นี่ก็ได้นะ เขาหลงหู่งดงามมาก มันคุ้มค่าที่ได้มาที่นี่”
“คุณจะไปที่สุสานโบราณเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ใช่ ศิษย์น้องของฉันไปที่นั่นกับลูกศิษย์อีกสองคน” นักพรตชราพูด “แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเจอปัญหาเข้า ฉันคงต้องไปช่วยพวกเขาที่นั่น”
“ผมขอไปที่นั่นด้วยคนได้ไหมครับ?” หวังเย้าถาม