Elixir Supplier - ตอนที่ 732
732 เจดีย์กักขังวิญญาณ
“กลับไปซะ!” หวังเย้ายื่นมือออกไป จนได้ยินเสียงบางอย่างพุ่งผ่านอากาศดังขึ้น ปัง! ร่างของผีดิบปลิวไปกระแทกเข้ากับกำแพง เกราะบนร่างของมันชนเข้ากับกำแพงจนเกิดเสียงดังลั่น
ปรมาจารย์กังฟูงั้นเหรอ!? นักพรตชราทั้งสองหันมามองหน้ากัน
“มันคืออะไรเหรอครับ?” หวังเย้าถามขึ้นมา ในขณะที่เขากำลังมองดูผีดิบตัวนั้น
“มันคือศพเดินได้ ผีดิบ” หนึ่งในนักพรตชราตอบ
“โอ้ ถือว่าวันนี้ผมได้เปิดหูเปิดตาแล้ว” หวังเย้าพูด
เขาไม่ได้กลัวผีดิบเลย หลังจากที่เขาซัดมันไปครั้งหนึ่งแล้ว เขาก็พบว่า การจัดการกับมันไม่ใช่เรื่องยากเลย ดังนั้น มันจึงไม่ถือว่าเป็นอันตรายสำหรับเขา
“แล้วเราจะฆ่ามันได้ยังไงเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ใช้ดาบเล่มนี้แทงไปที่หัวใจของมัน” นักพรตจางพูด “แต่ผีดิบตัวนี้มีรูปร่างมนุษย์และแข็งแกร่งมาก ฉันไม่มั่นใจว่า ดาบจะสามารถจัดการกับมันได้”
ภูตผีที่มองไม่เห็นยังอันตรายน้อยกว่านี้ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผีดิบรูปร่างมนุษย์นั้นยากที่จะจัดการ แม้จะมีดาบกำราบปีศาจอยู่ในมือก็ตามที
“อยากให้ผมช่วยจัดการไม่ให้มันขยับได้ไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“อืม ถ้าทำแบบนั้นได้ก็จะดีมากเลยล่ะ “ นักพรตจางพูด
“งั้นผมจะหักแขนขาของมันแล้วกัน” หวังเย้าพูด
“ทางทฤษฎีน่ะทำได้” นักพรตจางพูด “แต่หลังจากที่ได้รับพลังหยินมายาวนานหลายร้อยปี ทำให้กล้ามเนื้อกับกระดูกของมันแกร่งกว่าเหล็กซะอีก”
“งั้นผมจะลองดูนะครับ” หวังเย้าพูด
“ได้ ระวังตัวด้วย” นักพรตจางพูด
ด้วยการกระโดดเพียงครั้งเดียว หวังเย้าก็ไปโผล่อยู่ตรงหน้าผีดิบที่ยืนนิ่งอยู่กับที่ กลิ่นตัวของมันรุนแรงจนแทบทนไม่ไหว หากมีคนมาเห็นมันตอนกลางคืน ก็คงจะกรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว
หวังเย้าเริ่มปลดปล่อยพลังฉีออกมาราวกับสายน้ำหลาก เขาใช้กำปั้นชกไปที่อากาศและพลังนั้นก็ถูกซัดเข้าใส่ส่วนหน้าอกของผีดิบ
แคร๊ก! หน้าอกของซอมบี้แตกออก แล้วมันก็ปลิวไปกระแทกกับกำแพงที่อยู่ด้านหลังอีกครั้ง แม้กำแพงจะถูกสร้างขึ้นมาจากก้อนหินที่หนาหนัก แต่มันกลับเกิดรอยแตกร้าวขึ้น
“การเคลื่อนไหวนี้มัน!” นักพรตชราทั้งสองอุทานออกมา
ผีดิบยังคงไม่ยอมแพ้ มันแทงมือออกไป โดยพุ่งเป้าไปที่บริเวณหน้าอกของหวังเย้า
“แตก!” หวังเย้าหยุดมันไว้
แคร๊ก! แขนของผีดิบแตกออก มันดูไม่ต่างจากขนมคุกกี้และไม่ได้แข็งกว่าเหล็กแต่อย่างใด
“หา?” นักพรตชราทั้งสองต่างอยู่ในอาการตกตะลึง พวกเขายกมือขึ้นมาขยี้ตาของตัวเอง พวกเขากำลังสงสัยว่า ผีดิบตัวนี้ไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่พวกเขาคิด หรือเพราะหวังเย้าแข็งแกร่งเกินไปกันแน่
หวังเย้าเป็นฝ่ายเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด ผีดิบโจมตีเขาโดยใช้สัญชาตญาณ และไม่มีกุลยุทธ์รวมอยู่เลย
ครู่ต่อมา หวังเย้าก็จัดการหักแขนขาของมัน จนมันล้มลงไปนอนอยู่ที่พื้น
สิ่งที่พวกเขาทำต่อไปนั้นง่ายยิ่งกว่า นักพรตจางแทงดาบลงไปที่หัวใจของผีดิบตัวนั้น มันดิ้นรนเล็กน้อย ก่อนที่ในที่สุดมันจะตายลง ร่างกายของมันละลายราวกับเนยที่อยู่บนกระทะร้อน พร้อมกับส่งกลิ่นเหม็นเน่าน่าขยะแขยง
หวังเย้าได้เห็นความมหัศจรรย์ของดาบกำราบปีศาจ นักพรตชราไม่ได้ใช้แรงมากเลยในการแทงดาบลงไปในร่างของผีดิบ ถึงแม้ว่าตัวดาบจะดูไม่มีความคมอยู่เลยก็ตาม แต่ดาบกลับแทงลงไปบนร่างของผีดิบได้อย่างง่ายดายราวกับกำลังตัดเนยอยู่
หืม!? หวังเย้าที่มองดูทุกขั้นตอนจนกระทั่งถึงตอนจบ เขาตรวจพบพลังฉีที่กำลังไหลออกจากร่างของผีดิบ และเข้าไปยังโลงศพหินที่ตั้งอยู่
“เรียบร้อย” นักพรตจางพูดพร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “สมแล้วที่เป็นปรมาจารย์กังฟู”
“ชมเกินไปแล้วล่ะครับ แต่ดูเหมือนว่าโลงศพจะมีปัญหาอยู่นะครับ” หวังเย้าพูด
“ได้ งั้นเข้าไปดูกันเถอะ” นักพรตจางพูด
พวกเขาที่เดินเข้าไปที่โลงศพก็ยังคงความระมัดระวังเอาไว้อยู่ พวกเขาเดินเข้าไปอย่างช้าๆ โลงศพถูกเปิดทิ้งไว้ ด้านในมีของบางอย่างที่ทำขึ้นมาจากเหล็กวางอยู่ มันมีรูปร่างคล้ายกับพีระมิด และมีการแกะสลักด้วยภาพที่ดูแปลกตา
“นี่คืออะไรเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“มันคือเจดีย์กักขังวิญญาณ” นักพรตจางพูด
“มันมีไว้เพื่ออะไรเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“เพื่อกักขังดวงวิญญาณและป้องกันไม่ให้มันออกมาสร้างปัญหายังไงล่ะ” นักพรตจางพูด
หวังเย้ามองดูของสิ่งนั้นใกล้ๆและพยายามจะเอื้อมมือออกไปจับมัน
“อย่า!” นักพรตจางรีบหยุดเขาเอาไว้
“ทำไมล่ะครับ?” หวังเย้าถาม
“มันมีทั้งคาถาและคำสาปอยู่น่ะสิ” นักพรตจางพูด “ฉันกลัวว่า ถ้าเธอเผลอจับมันเข้า จะทำให้เกิดเรื่องร้ายกับเธอได้”
คำสาปเหรอ? หรือจะเป็นพลังฉีแปลกๆที่มันปล่อยออกมา? หวังเย้าสงสัย
เขารับรู้ได้ถึงพลังฉีที่ปล่อยออกมาจากเจดีย์อันนี้ ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกอึดอัด มันเป็นพลังหยินที่ให้ความรู้สึกเลวร้ายยิ่งกว่าพลังหยินที่อยู่ภายในสุสานซะอีก หวังเย้าคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะตัดสินใจหยิบเจดีย์ขึ้นมา
“ผมคิดว่า พลังฉีที่เป็นของผีดิบตัวนั้นได้เข้าไปอยู่ในเจดีย์นี้แล้ว” หวังเย้าพูด
ครืน! ตัวเจดีย์เกิดการสั่นสะเทือน พลังฉีจำนวนมากเริ่มไหลออกมาจากตัวเจดีย์
“ไม่!” นักพรตจางตะโกน “ปล่อยมันเร็วเข้า!”
“ไม่ต้องห่วงครับ” หวังเย้าพยายามปลอบพวกเขาให้ใจเย็น
เขาปลดปล่อยพลังฉีในรูปทรงระฆังออกมาครอบตัวเจดีย์เอาไว้ แล้วอยู่ๆพลังหยินที่ก่อนหน้านี้ทำให้กระดิ่งของนักพรตทั้งสองสั่นเตือนก็หายไป แล้วกระดิ่งก็หยุดสั่นไปด้วย
“เกิดอะไรขึ้นกัน?” นักพรตอีกคนถาม
“พลังฉีบริสุทธิ์ได้ปิดกั้นมันเอาไว้” นักพรตจางพูด
“มันเป็นของโบราณเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ใช่ มันมีอายุอย่างน้อยสี่ร้อยปี” นักพรตจางพูด “น่าเสียดายที่มันถูกใช้โดยวิญญาณร้าย”
สิ่งของที่สมควรจะนำไปใช้สู้กับวิญญาณร้าย กลับถูกวิญญาณร้ายนำไปใช้เสียเอง มันคือสิ่งที่ช่วยให้ผีดิบอยู่มาได้ถึงสี่ร้อยกว่าปี และยังทำให้มันร้ายกาจกว่าเดิมด้วย
หวังเย้าฝึกฝนการหายใจเพื่อสะสมพลังฉีในร่างกายของเขา ซึ่งเป็นพลังที่บริสุทธิ์และแข็งแกร่ง มันสามารถเปลี่ยนเป็นพลังหยินหรือหยางได้ภายในเวลาไม่กี่วินาที
ในเวลานี้ เขากำลังปลดปล่อยพลังหยางออกมาเพื่อจัดการกับพลังหยินของวิญญาณร้าย พลังหยินที่อยู่ภายในเจดียเป็นเหมือนกับก้อนน้ำแข็งที่ถูกเก็บเอาไว้ในถังเหล็ก พลังฉีของหวังเย้าก็เป็นเหมือนกับไฟที่เผาไหม้ถังเหล็กใบนั้น ทำให้วิญญาณร้ายไม่สามารถซ่อนตัวได้อีกต่อไป
เมื่อมันไม่สามารถทนพลังฉีของหวังเย้าได้อีกต่อไป มันจึงต้องอออกมา แต่นั่นก็ไม่ถือว่าเป็นความคิดที่ดี แกนพลังของมันได้รับความเสียหายจากฝีมือของหวังเย้า ทำให้มันต้องกลับเข้าไปในเจดีย์อีกครั้ง
หวังเย้าถือเจดีย์เอาไว้และส่งพลังฉีเข้าไปด้านในนั้น เขาปลดปล่อยพลังฉีเพื่อไปยับยั้งพลังหยินที่อยู่ด้านใน พลังฉีของเขาไหลเข้าสู่ตัวเจดีย์ผ่านทางรอยแยกขนาดเล็ก
ในที่สุด พลังหยินก็ไม่อาจต้านทานพลังฉีของหวังเย้าได้อีกต่อไป แล้วมันก็ค่อยๆจางหายไป
“เรียบร้อย!” หวังเย้าหยุดส่งพลังฉีออกมา หลังจากที่พบว่า ด้านในเจดีย์ไม่มีพลังหยินหลงเหลืออยู่แล้ว
“มันหายไปแล้วเหรอ?” นักพรตจางถาม
“น่าจะใช่นะครับ” หวังเย้าพูด
ยังคงหลงเหลือพลังหยินบางส่วนอยู่ภายในเจดีย์ แต่มันก็ไม่ได้น่ากลัวเมื่อก่อนหน้านี้แล้ว แกนของพลังหยินถูกทำลายไปแล้ว เมื่อไม่ได้รับการบำรุง พลังหยินก็จะค่อยๆหายไป
“เยี่ยมไปเลย” นักพรตจางพูด “เธอเป็นปรมาจารย์กังฟูที่สุดยอดมาก ขอบคุณในสิ่งที่เธอได้ทำลงไป เราแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ”
“ยินดีครับ” หวังเย้าพูด “ผมก็แค่โชคดีเท่านั้น”
การเผชิญหน้ากับผีดิบในครั้งนี้ ถือเป็นประสบการณ์ใหม่ที่ล้ำค่าสำหรับเขา หากเขาอยู่ที่บนเนินเขาหนานชาน ผ่านไปสิบปีก็อาจจะไม่ได้เจอเรื่องแบบนี้เลยด้วยซ้ำ
หวังเย้าและนักพรตทั้งสองเข้าไปสำรวจร่างของนักพรตเต๋าที่เสียชีวิตไปแล้วหลายวัน และถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง
“เขาเป็นลูกศิษย์ของฉันเอง” นักพรตจางพูด “เขามีชื่อว่าเหอเหิง เขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์และตั้งใจฝึกฝน น่าเสียดายจริงๆ!”
“ใช่ แต่อย่าเสียใจไปเลยนะ” นักพรตอีกคนพูด “เขาไม่มีทางกลับมาแล้ว เรายังต้องเดินหน้าต่อไป”
“ใช่ นายพูดถูก” นักพรตจางพูด
คนแบบพวกเขามีชีวิตที่สงบสุขอยู่บนเขา แต่งานที่พวกเขาทำนั้นอันตรายมาก มันเป็นเรื่องระหว่างความเป็นกับความตาย ถ้าหากไม่ระวัง พวกเขาก็อาจจะจบลงเหมือนอย่างนักพรตคนนี้ก็เป็นได้
“เราออกจากที่นี่กันดีไหม?” นักพรตจางถาม
“ทั้งสองออกไปก่อนเถอะครับ” หวังเย้าพูด “ผมยังอยากอยู่ดูที่นี่อีกสักพัก”
“งั้นเราจะอยู่เป็นเพื่อนเธอแล้วกัน” นักพรตจางพูด
น่าประหลาดที่อากาศด้านในสุสานกลับไม่ได้อบอ้าวอย่างที่ควรจะเป็น มันไม่ได้ดีขึ้นจากการออกแบบหรือประตูที่ถูกเปิดออก แต่คนธรรมดาก็ไม่ควรอยู่ด้านในนี้นานเกินไป
หวังเย้าไม่ถือว่าเป็นคนธรรมดา และนักพรตเต๋าทั้งสองก็เช่นเดียวกัน แต่หวังเย้ามองออกว่า นักพรตทั้งสองเริ่มแสดงอาการป่วยให้ได้เห็น พวกเขาเริ่มมีอาการหายใจถี่กระชั้นขึ้น
เขารีบเดินดูรอบๆสุสาน และได้เห็นรูปภาพและคำที่ถูกสลักเอาไว้ที่กำแพง ทั้งหมดคือรูปภาพที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา มันไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับการรู้แจ้งหรือทำให้คนพ้นทุกข์เลย
“เราไปกันเลยไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“อืม” นักพรตจางพูด