Elixir Supplier - ตอนที่ 750
750 เป็นแบบนี้นี่เอง
“เขาเก่งขนาดนั้นเลยเหรอ?” แม่เด็กถาม
“ว่ากันว่า เขาเก่งมากๆเลยล่ะ” สามีของเธอตอบ
…
ภายในบ้านหลังหนึ่งที่ปักกิ่ง หญิงคนหนึ่งกำลังเดินกลับไปกลับมาด้วยความโมโห
“หมอเทพอะไรกัน?” เธอถาม “แต่คนที่ถูกเรียกว่าหมอเทพกลับรักษาชื่อต๋าไม่ได้ เขาเพิ่งกลับมาจากเมืองนอก กลับมาจากการบินไปเรียนแพทย์แผนจีนที่ประเทศอื่น! บอกแม่มาสิ ว่านี่มันคือการหลอกลวงต้มตุ๋นใช่ไหม?”
“แม่ ใจเย็นๆก่อนเถอะครับ” ลูกชายของเธอพูด
“จะให้แม่ใจเย็นได้ยังไง?” เธอถาม “ตอนนี้ชื่อต๋าก็ยังนอนอยู่บนเตียง ลูกก็เห็นว่าเขาต้องทรมานขนาดไหน แล้วลูกไปหาหมอปลอมๆแบบนี้มาจากที่ไหนกัน?”
เธอโมโหอย่างมาก เมื่อคนรับใช้เดินเข้ามา เธอก็ยังคงไม่สงบลง
“คุณผู้หญิงคะ มีแขกมาค่ะ” คนรับใช้พูด
“ใครมา?” เธอถาม
“กั๋วเจิ้งเหอค่ะ” คนรับใช้ตอบ
“เขามาที่นี่ทำไมกัน?” เธอแปลกใจ “ให้เขาเข้ามา”
หลังจากนั้นไม่นาน ชายหนุ่มคนหนึ่งก็เดินเข้ามา “สวัสดีครับ คุณป้า”
เธอรับปรับอารมณ์ของตัวเองให้เข้าที่และพูดด้วยท่าทีสุภาพว่า “เจิ้งเหอ เข้ามานั่งคุยกันข้างในก่อนสิจ๊ะ”
ความโกรธทั้งหมดถูกกดทับเอาไว้ลึกลงไปในหัวใจเธอ ในเวลานี้ เธอเป็นเพียงผู้อาวุโสที่น่าเคารพนับถือคนหนึ่งเท่านั้น
กั๋วเจิ้งเหอทักทายลูกชายของเธออย่างสุภาพ “พี่ชื่อฉิง”
“เธอกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอจ๊ะ?” เธอถาม
“ผมเพิ่งกลับมานี่เองครับ” กั๋วเจิ้งเหอตอบ “พอดีพรุ่งนี้เป็นวันเกิดของคุณแม่ด้วยน่ะครับ”
“โอ้ จริงด้วยสินะ เธอคงจะกลับมาบ้านเพราะเรื่องนี้สินะจ๊ะ” เธอพูด
“คุณป้าครับ ผมเพิ่งได้ยินมาว่าชื่อต๋าป่วย” กั๋วเจิ้งเหอพูด
“ใช่จ๊ะ เขาป่วยอยู่” เธอพูด “ตอนนี้ เขาก็ยังต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล”
“ผมได้ยินมาว่า คุณป้าเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก” กั๋วเจิ้งเหอพูด
ปักกิ่งนั้นเป็นเมืองใหญ่ แต่วงสังคมกลับแคบ ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขาได้ใช้เส้นสายของเธอเพื่อหาทางรักษาผู้เป็นลูกชาย มันจึงเป็นเรื่องธรรมดา ที่เหล่าคนในตระกูลใหญ่จะรู้เรื่องนี้กัน
“ใช่จ๊ะ ทำไมเธอถึงถามเรื่องนี้เหรอจ๊ะ เจิ้งเหอ?” เธอถาม
“คือว่าแบบนี้ครับ คุณป้าคงจะรู้อยู่แล้วว่าตอนนี้ผมทำงานอยู่ที่ทางใต้” กั๋วเจิ้งเหอพูด “ที่ทางใต้ หรือจะพูดให้ชัดก็คือในเขตชนเผ่าเมี่ยวมีชายคนหนึ่งชื่อว่า อู่ซาน เขาเป็นที่รู้จักในชื่อของราชาโอสถ เขาเก่งในเรื่องยามากเลยล่ะครับ พูดกันว่า เขาสามารถรักษาได้แม้กระทั่งโรคที่อยู่ในระยะสุดท้าย แต่นิสัยของเขาออกจะแปลกอยู่สักหน่อย คุณป้าลองไปตรวจสอบเรื่องนี้ดูก่อนก็ได้นะครับ”
“พวกนิสัยประหลาดอีกแล้วเหรอ?” เธอพูด
“โอ้ อีกคนเหรอครับ? คุณป้าหมายความว่ายังไงเหรอครับ?” กั๋วเจิ้งเหอถาม
“เมื่อไม่กี่วันก่อน ป้าได้พาชื่อต๋าไปหาหมอคนหนึ่งที่อยู่ในจังหวัดฉีน่ะจ๊ะ” เธอพูด “กฎที่เขาตั้งขึ้นก็แปลกเหมือนกัน”
“อ่อ คุณป้ากำลังพูดถึงหวังเย้าอยู่ใช่ไหมครับ?” กั๋วเจิ้งเหอถาม
“ใช่จ๊ะ เขานั่นแหละ” เธอพูด “เขาอายุยังน้อย ป้าก็ไม่มั่นใจว่าเขาเก่งแค่ไหน แต่กฎของเขาก็แปลกมาก แล้วยังอารมณ์ร้ายอีกด้วย!”
“ฝีมือของเขาถือว่าสูงมากเลยล่ะครับ” กั๋วเจิ้งเหอพูด “ตอนนั้น ผมป่วยหนักมาก แล้วหมอเก่งๆในเมืองต่างก็ทำอะไรไม่ได้เลย แต่เขากลับเป็นคนที่ใช้ยาบางอย่างช่วยผมให้รอดมาได้น่ะครับ”
คิ้วของเธอขมวดแน่น “เป็นไปได้หรือเปล่าว่า เขาไม่อยากจะรักษาชื่อต๋า?”
“เรื่องนั้นผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ” กั๋วเจิ้งเหอพูด “เขาคงจะมีความคิดของตัวเองอยู่”
หลังจากที่อยู่พูดคุยได้สักพัก กั๋วเจิ้งเหอก็ขอตัวและจากไป
เธอมองออกไปนอกหน้าต่าง และคิดถึงชายหนุ่มที่เพิ่งจะจากไป เขาเพียงแค่มาด้วยความปรารถนาดี หรือด้วยจุดประสงค์อะไรบางอย่างกันแน่?
“ชื่อฉิง ลูกคิดว่าเรื่องราชาโอสถเชื่อถือได้มากแค่ไหน?” เธอถาม
“เราลองถามคนอื่นดูก่อนดีกว่านะครับ” ลูกชายของเธอพูด “บางที มันอาจจะเป็นเรื่องจริงก็ได้”
ในเมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับอาการป่วยลูกชายของเธอ เธอจึงเลือกที่จะเชื่อคำพูดของกั๋วเจิ้งเหอ มากกว่าการทิ้งโอกาสนี้ไปเปล่าๆ เธอจัดการให้คนไปสืบเรื่องของราชาโอสถมาให้มากเท่าที่จะมากได้
…
ในเมืองเต๋าที่ไกลออกไปหลายพันไมล์…
ซุนหยุนเชิงกำลังมึนงง ในเมืองเต๋ามีเรื่องบางอย่างที่พวกเขาตระกูลซุนไม่สามารถสืบหาได้ ตอนนี้ เมื่อสถานการณ์กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว และที่ยิ่งไปกว่านั้น เหยื่อของเรื่องนี้ก็คือคุณชายน้อยของตระกูลโฮ่ว โฮ่วชื่อต๋า เดิมทีความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลไม่ได้ถือว่าเป็นศัตรูกันเสียทีเดียว พวกเขาเพียงปฏิบัติต่อกันอย่างเย็นชาเท่านั้น ความขัดแย้งเพียงเล็กน้อยสามารถส่งผลทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องเผชิญหน้ากันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ในช่วงเวลาเช่นนี้ พวกเขาพยายามระมัดระวังและตื่นตัวให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่มีใครในสองตระกูลนี้ที่ต้องการให้เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น มันคลจะดีที่สุด หากทั้งสองฝ่ายสามารถถอยกันคนละก้าวได้ เพื่อให้ทุกอย่างกลับมาสงบสุขดังเดิม แต่โชคร้ายที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา
“อาการของโฮ่วชื่อต๋าเป็นยังไงบ้าง?” ซุนหยุนเชิงถาม
“ไม่ดีเลยครับ” อาหาวพูด “หมอหลายคนในปักกิ่งต่างพยายามรักษาเขา แต่ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่ดีขึ้นเลย ผมได้ยินมาว่า ตอนนี้สภาพของเขาไม่ต่างอะไรจากคนตาย”
ทันทีที่ซุนหยุนเชิงได้ฟัง เขาก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที “เฮ้อ นี่มันเป็นปัญหาจริงๆ!”
เขาเข้าใจสถานการณ์ของตระกูลโฮ่วเป็นอย่างดี ทุกเรื่องสามารถจัดการได้อย่างง่ายดายยกเว้นผู้เป็นแม่ของโฮ่วชื่อต๋า เธอนั้นให้ความสนใจในเรื่องของลูกๆอย่างมาก โดยเฉพาะกับลูกชายคนเล็กของบ้าน
“ผมได้ยินมาว่า ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ พวกเขาเดินทางไปที่หมู่บ้านกลางเขาเพื่อพบกับหมอหวังด้วย” อาหาวพูด
“หา จริงเหรอ?” ซุนหยุนเชิงแปลกใจเล็กน้อย
“จริงครับ แต่หมอไม่รับรักษาเขา” อาหาวพูด
“ทำไมล่ะ?” ซุนหยุนเชิงถาม
“เรื่องนี้ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน” อาหาวตอบ
“เอาล่ะ ผมจะไปที่หมู่บ้านกลางเขา ช่วยจัดการให้ผมทีนะ” ซุนหยุนเชิงพูด
…
ในหมู่บ้านกลางเขา
ช่วงเวลาดีดีมักผ่านไปไว หนึ่งวันผ่านพ้นไปเพียงพริบตาเดียว
ซูเสี่ยวซวีนอนนิ่งอยู่บนเตียง เธอลืมตาและเผยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุข เธอกำลังคิดถึงวันเวลาที่ได้อยู่กับหวังเย้า ถ้ามันเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆก็คงดี!
บนเนินเขาหนานชาน หวังเย้าก็ยังไม่นอนเช่นกัน เขามีความสุขมากที่ได้ใช้เวลาตลอดทั้งวันร่วมกับซูเสี่ยวซวี ที่มากไปกว่านั้น เขายังมีงานที่น่าสนุกอย่างการจัดสวนให้กับบ้านของซูเสี่ยวซวีรออยู่ด้วย
ค่ำคืนผ่านไปอย่างเงียบเชียบ เข้าวันต่อมา พระอาทิตย์ลอยขึ้นแต่เช้าตรู่ สภาพอากาศยังคงร้อนต่อไป
หวังเย้าไม่ได้เปิดทำการคลินิก เขาและซูเสี่ยวซวีกำลังนั่งดื่มชาและพูดคุยกันอยู่บนเนินเขาหนานชาน ซานเซียนนอนหมอบอยู่ที่เท้าของพวกเขา พร้อมทั้งแกว่งหางของมันไปมา
“ทำไมซานเซียนถึงตัวโตขึ้นแบบนี้ล่ะคะ?” ซูเสี่ยวซวีลูบศีรษะของมันด้วยท่าทีลังเล แต่เมื่อเห็นว่ามันดูว่าง่าย เธอก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ด้วยร่างกายที่ใหญ่โตของมัน ทำให้แลดูน่ากลัว มันดูราวกับสิงโตมากกว่าจะเป็นสุนัขตัวหนึ่ง “มันหนักเกินห้าสิบกิโลใช่ไหมคะ?”
“ผมก็ไม่เคยชั่งน้ำหนักมันมาก่อนเหมือนกัน แต่มันก็น่าจะหนักเจ็ดสิบกว่ากิโลได้” หวังเย้าตอบด้วยรอยยิ้มและลูกศีรษะของซานเซียน
ในขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
“ฮัลโหล หยุนเชิง” หวังเย้าพูด “ใช่ ผมอยู่บนเขา อย่างนั้นเหรอ? ขอเวลาผมครู่หนึ่ง เดี๋ยวผมจะลงไปนะ”
“มีเรื่องอะไรเหรอคะ? หรือว่ามีคนไข้มาหา?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“ไม่ใช่คนไข้หรอก แต่เป็นเพื่อนผมคนหนึ่งน่ะ” หวังเย้าพูด “เธออยากจะอยู่บนเขาต่อ หรือว่าจะลงไปข้างล่างกับผม?”
“ฉันลงไปกับคุณดีกว่าค่ะ” ซูเสี่ยวซวีตอบ
ทั้งสองเดินลงจากเขา และไม่นานก็เดินมาถึงที่คลินิก ซุนหยุนเชิงมารอพวกเขาได้สักพักหนึ่งแล้ว เมื่อเขาเห็นหวังเย้าเดินมาจากที่ไกลๆ เขาก็เดินเข้าไปหา
“รบกวนหมอแล้ว” เขาพูด
“ไม่หรอก” หวังเย้าพูด
“สวัสดีครับ คุณหนูซู” ซุนหยุนเชิงพูด
“สวัสดีค่ะ” ซูเสี่ยวซวีทักทายเข้ากลับอย่างสุภาพ
ซุนหยุนเชิงคิดในใจ สรุปแล้ว หมอหวังกำลังใช้เวลาอยู่กับเธอสินะ อ่า ฉันมาผิดเวลาซะแล้ว!
“เข้าไปนั่งข้างในกันเถอะ” หวังเย้าพูดพร้อมกับเปิดประตูคลินิก
“เอ่อ หมอครับ ที่ผมมาที่นี่เพราะมีเรื่องอยากจะถามน่ะครับ” ซุนหยุนเชิงพูด
“ว่ามาได้เลย” หวังเย้าพูด
“เมื่อไม่กี่วันก่อน มีคนไข้ที่ชื่อว่า โฮ่วชื่อต๋า จากปักกิ่ง มาพบหมอใช่ไหมครับ?” ซุนหยุนเชิงถาม
“ใช่ เขามาที่นี่ แต่ผมไม่ได้รักษาเขาหรอกนะ” หวังเย้าพูด “ทำไมถึงถามเรื่องนี้เหรอ?”
“เอ่อ ผมคงอธิบายสั้นๆให้เข้าใจได้ยากสักหน่อย” ซุนหยุนเชิงพูด “แล้วหมอรู้สาเหตุที่เขาป่วยไหมครับ?”
“รู้ ผมรู้แน่นอน” หวังเย้าพูดกลั้วหัวเราะ
“เป็นเพราะอะไรเหรอครับ?” ซุนหยุนเชิงถาม
“เป็นเพราะผมยังไงล่ะ” หวังเย้าตอบไปตามตรง
ซุนหยุนเชิงอึ้งกับคำตอบที่ได้รับ
หวังเย้าบอกเล่าเรื่องราวคร่าวๆที่เกิดขึ้นในเมืองเต๋าให้เขาฟัง เห็นแก่หน้าคนตระกูลซุน หวังเย้าจึงจงใจละจุดเริ่มต้นของเรื่อง
ซุนหยุนเชิงไม่คิดว่า เรื่องที่เกิดขึ้นจะเป็นเพราะความบังเอิญ เขายกมือขึ้นเขาหัว “เฮ้อ! นี่มันยุ่งยากซะแล้ว!”
“มีปัญหาอะไรเหรอ?” หวังเย้าถาม
“เอ่อ คือว่า ความสัมพันธ์ของตระกูลซุนกับตระกูลโฮ่วไม่ค่อยดีเท่าไหร่น่ะครับ” ซุนหยุนเชิงพูด “ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นกับโฮ่วชื่อต๋าที่เมืองเต๋า พวกเขาก็สงสัยมาตลอดว่าพวกเราอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมด และบอกให้ทางเราหาคำตอบให้กับพวกเขา”
“ในเมื่อไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกันอยู่แล้ว ทำไมยังจะต้องหาคำอธิบายให้พวกเขาอีกล่ะ?” หวังเย้าถาม
“เพราะเราไม่ต้องการให้ความสัมพันธ์แย่ลงไปกว่านี้ยังไงล่ะครับ” ซุนหยุนเชิงพูด “ในเมื่อตอนนี้เราก็รู้สาเหตุของเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ทุกอย่างก็ง่ายขึ้นตามไปด้วย”
เขาไม่ได้โง่ถึงขนาดที่จะโทษว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพราะหวังเย้า ก็อย่างที่ได้พูดไปก่อนหน้าว่า ความสัมพันธ์ที่มีอยู่นั้นไม่ได้ดีอะไร ดังนั้นจะต้องไปหาคำอธิบายให้ได้อะไร? ใช่ว่าคนตระกูลซุนจะสู้พวกเขาไม่ได้เสียหน่อย ตอนนี้เรื่องทุกอย่างก็ชัดเจนแล้ว ขั้นต่อไปก็คือกลับไปที่เมืองเต๋าและปรึกษาหาวิธีจัดการปัญหาร่วมกับพ่อของเขาก็เท่านั้น
“ผมคงไม่รบกวนคุณแล้ว” ซุนหยุนเชิงพูด
“อย่าเพิ่งรีบกลับ นี่เป็นของขวัญสำหรับนาย” หวังเย้าหยิบแผ่นไม้ออกมาจากกระเป๋ากางเกงและยื่นมันให้กับซุนหยุนเชิง
“มันคืออะไรเหรอครับ?” ซุนหยุนเชิงรับแผ่นไม้ที่มีกลิ่นยาเคลือบอยู่มาไว้ในมือ
“มันคือใบสั่งแพทย์ปรุงยา ถ้านายมีมัน ผมจะช่วยคุณรักษาคนอย่างสุดความสามารถหนึ่งครั้ง” หวังเย้าพูดกลั้วหัวเราะ
ซุนหยุนเชิงร่างกายสั่นไหวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ของขวัญชิ้นนี้มีค่ามากเหลือเกิน
“ขอบคุณครับ คุณหมอ” ซุนหยุนเชิงพูด
“ด้วยความยินดี” หวังเย้าพูด
หลังจากที่ซุนหยุนเชิงกลับไปแล้ว ซูเสี่ยวซวีก็กระซิบถาม “ใบสั่งแพทย์ปรุงยา?”
“ใช่ นี่ยังไงล่ะ” หวังเย้าหยิบออกมาอันหนึ่ง แล้วยื่นให้เธอ
ซูเสี่ยวซวีรับมาและสังเกตดูอย่างละเอียด “มันสวยมากเลยค่ะ”
“ผมให้คนทำขึ้นมาเป็นพิเศษน่ะ” หวังเย้าพูด
มีคนฝีมือสูงส่งปะปนอยู่ภายในหมู่คนธรรมดา โดยเฉพาะในหมู่บ้าน แผ่นไม้ของเขานั้นมีขนาดเล็ก ดังนั้น มันจึงจำเป็นต้องใช้ทักษะขึ้นสูง ภูเขาที่ถูกแกะสลักลงไปเต็มไปด้วยรายละเอียดที่ซับซ้อน หวังเย้าได้เสนอเงินจำนวนมากให้พวกเขา ดังนั้น พวกเขาจึงทำงานให้อย่างสุดฝีมือ
“แล้วกลิ่นยาพวกนี้คืออะไรคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“ผมแช่แผ่นป้ายพวกนี้เอาไว้ในยาสมุนไพรหลายวัน ตัวยาทั้งหมดได้ซึมเข้าไปในแผ่นป้าย” หวังเย้าพูด “เมื่อมีแผ่นป้ายนี้อยู่ ก็จะไม่มีแมลงกล้าเข้าใกล้”
“มันสุดยอดขนาดนั้นเลยเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“ถ้าเธอไม่เชื่อ เรามาลองดูก็ได้” หวังเย้าพูด
เขาหยิบขวดที่บรรจุแมลงมีพิษร้ายขึ้นมา จากนั้นก็เปิดฝาขวดและวางแผ่นป้ายเอาไว้ที่ปากขวด แมลงที่อยู่ด้านในเริ่มมีปฏิกิริยารุนแรง และพุ่งตัวชนเข้ากับตัวขวดเพื่อที่จะหนีออกไปให้ได้ แต่พวกมันกลับไม่กล้าเข้าใกล้บริเวณปากขวดเลยแม้แต่นิดเดียว นี่เป็นการแสดงให้เห็นว่า พวกมันหวาดกลัวกลิ่นที่ปล่อยออกมาจากแผ่นป้าย
“วิเศษไปเลย!” ซูเสี่ยวซวีประหลาดใจ
“ฮาฮา นี่เป็นปฏิกิริยาต่อต้านที่เกิดขึ้น” หวังเย้าพูด
ในตอนที่เขาแช่แผ่นไม้ เขาตั้งใจใส่หญ้าพิษลงไปซึ่งมันสามารถฆ่าแมลงพิษได้ ธรรมชาติของสมุนไพรประเภทนี้ถือเป็นศัตรูกับเปล่าแมลงทั้งหลาย
“รับไปสิ” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม “ผมให้เธอ”
“ขอบคุณค่ะ” ซูเสี่ยวซวีรับมาด้วยความระวัง
…
ภายในบ้านหลังหนึ่งในหมู่บ้านกลางเขา
“นายจะขังฉันเอาไว้แบบนี้อีกนานแค่ไหน?” เจี๋ยจื้อจายพิงผนังเอ่ยถามออกมาอย่างอ่อนแรง
ความรู้สึกอ่อนแรงที่เกิดขึ้นทำให้เขารู้สึกทรมานอย่างมาก เขาไม่สามารถยกแขนหรือขาของตัวเองได้ แม้แต่การกินและการเคี้ยวอาหารก็ยังรู้สึกลำบาก เขารู้สึกราวกับตัวเองเป็นชายแก่อายุหกสิบ แค่การเข้าห้องน้ำเขายังฉี่ติดๆขัดๆ เวลาถ่ายก็ถ่ายออกไม่หมด ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน เขาก็เบ่งไม่ออก
“เรื่องนี้ นายคงต้องไปถามหมอหวังแล้วล่ะ” จงหลิวชวนพูดพร้อมทั้งจุดบุหรี่
“นี่ อาจารย์เขาสอนอะไรนายเหรอ? ทำไมถึงได้ดูเคารพเขาขนาดนั้น?” เจี๋ยจื้อจายถาม
“เขาสอนฉันหลายอย่างเลยล่ะ” จงหลิวชวนพูด
“ถึงนายจะไม่คิดถึงตัวเอง อย่างน้อยนายก็ควรคิดถึงน้องสาวของนายนะ” เจี๋ยจื้อจายพูด
“นายไม่ต้องขู่ฉันหรอก” จงหลิวชวนพูด “ตอนนี้ อันซินสบายดี”
“แต่นี่เป็นแค่เขตเล็กๆ” เจี๋ยจื้อจายพูด “เธออาจจะถูกคนจับตัวไปเมื่อไหร่ก็ได้”
จงหลิวชวนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะพูดขึ้นมาว่า “ก่อนหน้านี้ ฉันเคยคิดว่า ถ้าฉันถอยออกมาทุกอย่างก็จะเงียบสงบ ฉันก็เลยทำแบบนั้น ฉันเลือกที่จะหลบซ่อนตัว หรือฉันควรจะอดทนต่อไปดี แทนที่จะจบลงอย่างสงบ พวกนายกลับได้คืบเอาศอก ฉันทำอะไรไม่ได้เพราะฉันมันอ่อนแอ ดังนั้น ฉันถึงทำได้แค่หนี แต่ตอนนี้มันต่างออกไป อาจารย์ทำให้ฉันมองเป็นประตูบานนั้นที่ฉันเฝ้าฝันแต่ก็เอื้อมไปไม่ถึง ถ้าฉันเปิดมันออกได้ ฉันก็จะแข็งแกร่งขึ้นยิ่งกว่าเดิม แม้นายจะเอาเรื่องน้องสาวของฉันมาข่มขู่ มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกต่อไป เราจะอยู่ที่นี่และรอจนกว่าฉันจะเป็นประตูบานนั้นได้ จากนั้น เลือดในตัวนายก็จะไหลนองเป็นสายน้ำ”