Elixir Supplier - ตอนที่ 760
760 ขึ้นอยู่กับอารมณ์
“ยิ่งมองก็ยิ่งเหมือน “ เขาพึมพํา “พรุ่งนี้จับงูได้อีกตัว ก็จะได้รู้กันแล้ว”
ลมฝนด้านนอกยังคงตกลงมาไม่หยุด สายฝนตกกระหน่ำและรุนแรง หลังจากตกนานกว่าสองชั่วโมง น้ำภายในอ่างเก็บก็เต็มจนล้น น้ำไหลทะลักออกมากลายเป็นธารน้ำสายเล็ก
วูบ! ศีรษะหนึ่งโผล่ออกมาจากอ่างเก็บน้ำ จากนั้นก็เลื่อยขึ้นมา มันคืองูขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง หลังเลื่อยออกมาจากอ่างเก็บน้ำแล้ว มันก็มุ่งหน้าขึ้นไปบนเนินเขาหนานชานและเลื่อยเข้าไปในแปลงสมุนไพร
ซานเชียนที่อยู่ภายในบ้านสุนัขได้ยินเสียง มันจึงหันหน้าไปมอง จากนั้นก็หลับต่อ งูเลื่อยเข้าไปด้านในบ้านสุนัข แล้วขดตัวอยู่ภายในนั้น
เช้าวันต่อมา ท้องฟ้ายังคงขมุกขมัว แต่อากาศดูเหมือนจะเย็นขึ้น เหมือนที่คนสมัยก่อนพูดว่า “หลังฝนฤดูใบไม้ร่วง อากาศเย็นลง”
หวังเย้าตื่นขึ้นมา จากนั้นก็ลงไปจากเขา ที่แรกที่เขาไปก็คือบ้านที่เลี้ยจื้อจายพักอยู่ ผ่านไปหนึ่งคืน พิษงูก็ถูกกําจัดออกไปจนหมด แต่สีหน้าของเขาก็ยังคงดูเหนื่อยอ่อนอยู่บ้าง
“เป็นยังไงบ้างครับ?” หวังเย้าถาม
“อืม ฉันยังรู้สึกเพลียอยู่” เจี๋ยจื้อจายพูด
มันเป็นอาการหลังได้รับพิษน่ะครับ มากินยานี่เถอะครับ” หวังเย้าหยิบขวดยาออกมา มันคือยาสมุนไพรที่เขาปรุงขึ้นมาเป็นพิเศษสําหรับเจี๋ยจื้อจาย
“หมอคงไม่คิดจะให้ฉันเป็นตัวทดลองยาอีกหรอกนะ?” เจี๋ยจื้อจายถาม
เขากระดูกยาจนหมดในคราเดียว โดยไม่มีท่าที่ลังเลหรือกังวลเลยแม้แต่น้อย เขารู้สึกถึงความอุ่นร้อนกระจายไปทั่วร่าง
“นี่คือยาเสี่ยวเผยหยวน ช่วยฟื้นฟูกําลังให้คืนกลับมา มันเป็นยาเสริมกําลังอย่างหนึ่ง” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม
“มันน่าตกใจนะ ที่คนมีพรสวรรค์อย่างหมอมาอยู่ในเขาทั้งที่ยังอายุน้อยแบบนี้นะ” เจี๋ยจื้อจายพูด
คนหนุ่มสาวชอบที่จะทําตัวให้เป็นที่รู้จักและมีเกียตริ มีเพียงคนที่อยู่มานานพอเท่านั้น ที่จะมองเห็นทุกอย่างชัดเจน ถึงตอนนั้นจึงได้เลือกทางที่เงียบสงบ
หวังเย้านั้นอายุยังไม่ถึง 30ด้วยซ้ำ คนในวัยเดียวกันล้วนเต็มไปด้วยความหลงใหล, สนใจเรื่องการเมือง, หรือมองหาความยิ่งใหญ่ที่ไม่ต่างไปจากโคลนตม เจี๋ยจื้อจายเคยมีประสบการณ์ในช่วงเวลานั้นมาก่อน ซึ่งมันเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ล้นเหลือ
เขาคิด เขายังเด็กแต่กลับทําตัวอย่างกับคนแก่ นี่มันแปลกเกินไป!
“ผมว่าแบบนี้ดีออกครับ” หวังเย้าพูด “ไม่มีความจําเป็นต้องบอกให้ทั้งโลกรู้ว่าผมเก่งแค่ไหนคุณคิดว่ายังไง?”
“เชียนเชิง ฉันอยากให้หมอมาเป็นอาจารย์ของฉัน” เจี๋ยจื้อจายพูด
“โอ้ แล้วคุณอยากเรียนอะไรจากผมล่ะครับ?” หวังเย้าหัวเราะ จงหลิวชวนเคยพูดเรื่องนี้ให้เขาฟังแล้ว
“กังฟู” เจี๋ยจื้อจายพูด
หวังเย้ายิ้มแล้วส่ายหน้า “พักผ่อนให้มาก”
“เฮ้ ฉันหมายความแบบนั้นจริงๆนะ ฉันสาบาน” เจี๋ยจื้อจายเห็นหวังเย้าไม่เชื่อคําพูดของเขา เขาจึงรีบชูนิ้วขึ้นมาเพื่อสาบานต่อสวรรค์
คลื้น! เสียงฟ้าผ่าดังลั่นจากท้องฟ้าที่มืดมัว
“ดูสิ ขนาดพระเจ้ายังไม่เชื่อคําพูดของของนายเลย” จงหลิวชวนพูดกลั้วหัวเราะ
“ฉัน…” เจี๋ยจื้อจายพูดไม่ออก ช่วยไม่ได้ มันเป็นเรื่องบังเอิญต่างหาก
“ฉันพูดจริงนะเชียนเชิง” เจี๋ยจื้อจายพูด “เชียนเชิงลองคิดดูอีกทีได้ไหม?”
หวังเย้าหัวเราะและสะบัดมือปฏิเสธในตอนที่เดินออกไปจากห้องพร้อมกับจงหลิวชวน
“ผมว่า เขาน่าจะอยากให้เขียนเชิงเป็นอาจารย์ของเขาจริงๆนะครับ” จงหลิวชวนพูด
“ผมรู้จักคุณดี แต่เรื่องของเขาล่ะ?” หวังเย้าถาม
ไกลออกไปหลายพันไมล์ ภายในหมู่บ้านกลางเขาที่ห่างไกลในทางใต้ของยูนนาน มีรถโดยสารคันหนึ่งขับเข้ามา ภายในอาคารไม้ไผ่เก่าแก่ไม่มีเครื่องปรับอากาศ มีเพียงพัดลมเท่านั้น ฝนเพิ่งหยุดตกไป ดังนั้น อากาศจึงค่อนข้างร้อนอบอ้าว
เสื้อผ้าของแต่ละคนติดตามเนื้อตัว สร้างความอึดอัดให้พวกเขา
“เป็นยังไงบ้าง?” หญิงคนหนึ่งถามออกมา
“เราได้คิวแล้วครับ มีสี่คนอยู่ก่อนเรา” ชายคนหนึ่งพูด
“วันนี้เราจะได้เข้าตรวจไหม?” เธอสูดลมหายใจเข้าลึก เธอไม่ต้องการมาต่อคิวอีกเป็นครั้งที่สอง
“พูดยากครับ อารมณ์ของราชายาออกจะแปลกอยู่สักหน่อย” เขาพูด
ในตอนที่พวกเขามาถึงเมื่อวาน พวกเขาได้ยินเกี่ยวกับเรื่องที่ราชายาอําลังอารมณ์ไม่ดีอยู่ เขาจึงไม่ยอมรักษาคนไข้คนไหนเลย
พวกเขายังเคยได้ยินมาด้วยว่า ราชาเกิดอยากขึ้นไปเก็บสมุนไพรหายากบนเขาขึ้นมา สุดท้ายเขาก็หายไปอาทิตย์กว่า ทําให้คนไข้ที่มารักษากับเขาต้องรออยู่นานหลายวันจนบางคนเกือบตาย หากได้อยู่ภายในอาคารไม้ไผ่แล้วนั้น ชีวิตก็จะคืนกลับมา และนั้นก็เป็นสาเหตุที่ทําให้ผู้คนเดินทางมาไกลหลายพันไมล์และรอคอยที่จะได้รักษากับราชายา
“ไม่มีใครยอมแลกคิวเลยเหรอ?” เธอถามอีกครั้ง
“ไม่มีเลยครับ ผมถามทุกคนเท่าที่ถามได้แล้ว” เขาพูด “คนที่มารักษาที่นี่ ถ้าไม่เป็นระยะสุดท้าย ก็เป็นโรคที่ไม่เคยเจอมาก่อน ซึ่งหมอส่วนใหญ่ก็รักษาพวกเขาไม่ได้ แล้วพวกเขาส่วนใหญ่ยังเป็นคนมีฐานะด้วยนะครับ”
“งั้นเราก็รอต่อไป” เธอพูดเสียงเบา “เขาเป็นยังไงบ้าง?”
“อาการของคุณชายยังถือว่าคงที่อยู่ครับ” เขาพูด “เขาเพิ่งจะรับยาไป”
“อืม ดี” เธอตอบ
พวกเขาเฝ้ารอ แต่ในวันนั้น ราชายารักษาคนไข้แค่คนเดียวเท่านั้น
“ทําไมเขาถึงรักษาแค่คนเดียวล่ะ?” เธอถาม
“อาการของคนไข้รายนี้ค่อนข้างพิเศษครับ” ลูกน้องของเธอรายงาน “ราชายาลงแรงกับการรักษาไปมาก แล้วยังบอกด้วยว่า พรุ่งนี้เขาจะไม่รักษาใครทั้งนั้น เพราะเขาจําเป็นต้องพักผ่อนน่ะครับ”
“อะไรนะ? ไม่รักษาอย่างนั้นเหรอ?” เธอถาม
“คุณผู้หญิงครับ เรากลับเข้าไปในตัวเมืองที่สภาพแวดล้อมดีกว่านี้ดีกว่านะครับ” ลูกน้องของเธอพูด
เมืองที่อยู่ใกล้ที่สุด ห่างจากหมู่บ้านไป 30 นาที ปัญหาก็คือการเดินทางที่ยากลําบากและถนนที่ขรุขระ
“ก็ได้ พวกนายอยู่ที่นี่ ถ้าได้ข้อมูลอะไรมาต้องแจ้งให้ฉันรู้เร็วที่สุด” เธอพูด
“ครับ” ลูกน้องของเธอตอบ
คุณหลี่นั่งรถกลับออกไปจากหมู่บ้านและมุ่งหน้าไปยังตัวเมือง ชายสองคนที่ยังคงรั้งอยู่ได้เปิดบทสนทนาระหว่างพวกเขาทั้งสอง
“บอกฉันมาสิ ทําไมราชายาถึงได้อารมณ์แปรปรวนแบบนี้?” หนึ่งในนั้นถาม
“มันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้อยู่แล้ว ที่คนมีฝีมือมักจะมีอารมณ์ที่แปลกประหลาดน่ะ” เพื่อนของเขาตอบ
“ฉันได้ยินมาด้วยว่า เขารักษาได้แม้กระทั่งโรคมะเร็ง” ชายคนแรกพูด
“จริงเหรอ?” เพื่อนร่วมงานของเขาถาม
“แน่นอน มันเป็นเรื่องจริง แต่ราคาก็แพงมหาโหดเลยล่ะ” ชายคนแรกพูด
“เฮ้อ ขอแค่เขารักษาได้ถึงในโลงจะไม่เหลือเงินสักหยวนเราก็ต้องยอมแลก” เพื่อนของเขาพูด “นอกจากนี้ บนโลกใบนี้ก็มีคนรวยอยู่เยอะแยะ จริงไหมล่ะ?”
“ฉันก็ได้แต่หวังว่า คุณผู้หญิงของพวกเราจะอดทนรอได้” ชายคนแรกพูด
“อืม ก็จริง” เพื่อนของเขาพูด
ชายทั้งสองกังวลว่า เจ้านายของพวกเขาจะไม่สามารถอดทนรอได้นาน เพราะถึงยังไงสภาพแวดล้อมระหว่างที่นี่กับปักกิ่งนั้นเทียบกันไม่ได้เลยสักนิด
“น่าเสียดาย ที่พวกเราใช้ให้หน่วยงานของที่นี่กดดันตาแก่ประหลาดคนนี้ไม่ได้” ชายคนแรกพูด
“กดดันอะไรกัน? เขาเป็นที่เคารพนับถือในเขตของเผ่าเมี่ยวจะตายไป” เพื่อนของเขาพูด “คําพูดของเขาอาจจะมีน้ำหนักมากกว่าเจ้าหน้าที่อาวุโสของจังหวัดด้วยซ้ำ มีคนตั้งมากที่รอฟังคําพูดของเขานะ!”
ในเหลียนชานที่ไกลออกไป ภายในหมู่บ้านกลางเขา เพื่อนเก่าคนหนึ่งได้แวะมาเยี่ยมเยียนที่คลินิกของหวังเย้า
“ประธานเว่ย ทําไมถึงมีเวลาแวะมาหาผมได้ล่ะ?” หวังเย้าชงชาให้กับเขา
“นายนี่ปลีกวิเวกจังเลยนะ ไม่เหมือนพวกเราคนธรรมดาสักนิดเดียว!” เว่ยห่ายถอนหายใจ
“มีเรื่องอะไรเหรอครับ? หรือคุณไม่สร้างเรื่องในวงการธุรกิจอีกแล้ว?” หวังเย้าถาม
“เปล่า แต่ฉันไม่ว่างเลยน่ะสิ” เว่ยห่ายพูด “อ้อ มีเรื่องหนึ่ง หลังอากาศเย็นลง ฉันตั้งใจว่าจะรีโนเวทบ้านที่ซื้อในหมู่บ้านสักที ถ้าฉันว่างเมื่อไหร่ก็จะได้มาพักที่นี่”
“ครับ” หวังเย้าพูด
เว่ยห่ายรู้สึกเบื่อ พวกเขาไม่ได้เจอหน้ากันนานแล้ว ดังนั้นเขาจึงแวะมาคุยกับหวังเย้า
ในตอนที่ทั้งสองพูดคุยกันอยู่นั้น ก็มีคนเข้ามารับการรักษา เป็นผู้หญิงใบหน้าดําคล้ำคนหนึ่ง
“หืม?” หวังเย้าประหลาดใจเล็กน้อย
มันคงไม่บังเอิญหรอกมั้ง? หวังเย้าคิด เขารู้สึกได้ถึงความเหินห่างจากเธอ มันเป็นความรู้สึกที่คุ้นเคย
“สวัสดีค่ะ หมอหวัง” เธอพูด
“สวัสดีครับ คุณไม่สบายเป็นอะไรตรงไหนครับ?” หวังเย้าถาม
“เอ่อ ฉันรู้สึกแปลกๆน่ะค่ะ ไม่ว่าฉันจะทําอะไรก็ดูใจลอยตลอด ฉันนอนไม่ค่อยหลับ แล้วก็ยังได้ยินเสียงแปลกๆด้วยค่ะ” เธอพูดอย่างอ่อนแรง
“มีอาการหลอนเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ใช่ค่ะ” เธอตอบ
“คุณเป็นมานานแค่ไหนแล้วครับ?” หวังเย้าถาม
“ประมาณอาทิตย์หนึ่งได้ค่ะ” หลังคิดอยู่ครู่หนึ่งเธอก็ให้คําตอบ
“คุณได้ไปสุสานหรืออะไรเทือกนั้นมากรึเปล่าครับ?” หวังเย้าถาม
“หืมม?” เธออึ้งไป เว่ยหายที่อยู่ไม่ไกลก็แปลกใจเหมือนกัน
“ค่ะ ฉันไปมา” เธอพูด “มันเป็นงานศพญาติของฉันเอง พอกลับมาจากงานฉันก็เริ่มรู้สึกไม่ค่อยสบาย แล้วเย็นวันนั้นก็มีไข้ขึ้นด้วย”
ครอบครัวของเธอต่างก็คิดว่า เธอถูกวิญญาณร้ายตามติด พวกเขาจึงเชิญหมอผีมารักษาและสวดไล่ภูตผี แต่ทุกอย่างกลับไร้ประโยชน์ พวกเขาจึงพาเธอไปโรงพยาบาล แต่ทางโรงพยาบาลก็หาสาเหตุไม่เจอ พวกเขาเพียงให้ยาแก้ไข้มาและบอกให้พักผ่อนให้มาก จากนั้นก็จะหายเอง