Elixir Supplier - ตอนที่ 787 ฉันไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ฉันก็กลัว
“หลังจากนี้ คุณก็ขึ้นมาฝึกบนเนินเขาหนานชานได้เลยนะครับ” หวังเย้าพูด
“อย่าเลย ผมฝึกบนเนินเขาตงชานได้” จงหลิวชวนพูด
เขาเป็นคนที่พอใจอะไรได้ง่าย ถึงจุดเชื่อมต่อระหว่างเนินเขาหนานชานกับตงชานจะมีพลังงานน้อยกว่า แต่ก็ยังถือว่ามี ในความคิดของเขานั้น มันถือว่าดีมากแล้ว
“งั้นก็แล้วแต่คุณเลยครับ” หวังเข้าไม่ได้ดึงดัน “เราขึ้นไปดูข้างบนกันเถอะ”
ด้านบนมีลมเย็นพัดมา
“ว้าว ข้างบนนี้ดีมากเลย” จงหลิวชวนพูด “ไม่แปลกใจเลยที่เชียนเชิงจะชอบมาอยู่ข้างบนนี้ นี้มันเป็นที่ที่เหมาะสําหรับการฝึกมาก”
“ใช่ครับ” หวังเย้าพูด
สาเหตุหนึ่งที่การฝึกของเขาเป็นไปด้วยดี ส่วนหนึ่งก็คือสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม และเป็นสาเหตุเดียวกับที่พระภิกษุสงฆ์เหล่านั้นยินดีอยู่บนเขาหลิงชาน
“มันเย็นมากแล้วครับ เชียนเชิง” จงหลิวชวนพูด “ผมคงต้องกลับลงไปแล้ว”
“อ็ม” หวังเย้าพูด
จงหลิวชวนลงเขาไปเพียงลําพัง เมื่อเดินผ่านแปลงสมุนไพรไป เขาก็เผลอหันกลับไปมองอีกครั้งหนึ่ง เขารู้สึกว่าต้นที่อยู่ไม่ไกลจากเขากําลังส่ายไปมาอยู่ในความมืด แต่เขาก็มองไม่ออกว่า มีอะไรอยู่ด้านในนั้น เขาเพียงรู้สึกมึนงงเท่านั้น
มันคือค่ายกล!
เขาตกตะลึงและรีบหันหน้าหนี หลังสูดลมหายลึกอยู่สองสามครั้ง ลมหายใจของเขาก็กลับมาเป็นปกติ และความรู้สึกไม่สบายก็หายไป
จงหลิวชวนประทับใจมาก หวังเย้าได้บอกเกี่ยวกับเรื่องค่ายกลกับเขาแล้ว มันคือการป้องกับเนินเขาลูกนี้เอาไว้ชั้นหนึ่ง และยังมีกลิ่นของดอกไม้อีกชั้นหนึ่งด้วย ทันทีที่เข้าใกล้ เขาก็จะรู้สึกมึนงง, คลื่นไส้, หัวใจเต้นเร็ว, และหายใจถี่เร็ว
ในเวลานี้ หวังเย้าได้ลืมเรื่องค่ายกลไปแล้ว เขาเคยให้ยาสําหรับป้องกันอาการเหล่านั้นกับจงหลิวชวนไปแล้ว
ค่ายกลคือเกราะป้องกันชั้นหนึ่ง ยังมีสุนัขตัวใหญ่ราวสิงโต และนกอินทรีย์อยู่ด้วย เนินเขาลูกนี้จึงไม่ใช่ที่สําหรับคนธรรมดา
หลังจากลงมาจากเนินเขาแล้ว จงหลิวชวนก็หันกลับไปมองและเห็นว่าเส้นทางที่เขาเดินผ่านมาแล้วดูพล่าเลือน เขาสงสัยว่ามันจะเป็นค่ายกลเช่นเดียวกัน?
เมื่อมองดูต้นไม้ทั้งหมดแล้ว ก็จะเห็นว่ามีเส้นทางมุ่งสู่เนินเขาหนานชานอยู่สายหนึ่งซ่อนเร้นอยู่ ถ้าเขาเดินเข้าไปอย่างคนไม่รู้เรื่องรู้ราว เขาก็อาจจะหลงทางได้
“ทําไมวันนี้พี่ถึงกลับมาช่าล่ะคะ?” จงอันซินถาม
“พี่ขึ้นไปบนเขากับหมอหวังมาน่ะ” จงหลิวชวนพูด
“คราวนี้พี่เจอเขาด้วยเหรอ?” เธอถาม
“พี่เจอเขาตอนที่เดินออกไปโดยบังเอิญน่ะ” จงหลิวชวนพูด “พี่เลยเดินขึ้นไปบนเนินเขาหนานชานกับเขา”
“พี่ขึ้นไปบนนั้นมาเหรอคะ?” จงอันซินถามอย่างตื่นเต้น “ข้างบนเป็นยังไงบ้าง?”
“ทําไมถึงได้ดูตื่นเต้นขนาดนี้?” จงหลิวชวนถาม
“หนูได้จากชาวบ้านมาว่า ข้างบนเนินเขาหนานชานมีสมุนไพรล้ําค่าอยู่เต็มไปหมด แล้วการขึ้นไปบนนั้นก็มักเกิดเรื่องแปลกขึ้นด้วย” จงอันซินพูด “คนที่ขึ้นไปส่วนใหญ่มักจะเจ็บตัวกลับมา หนูได้ยินว่ามีคนตายหลายคนด้วย ก็เลยไม่มีชาวบ้านคนไหนกล้าขึ้นไปบนนั้นอีกเลย”
“จริงเหรอ? เธอไปได้ยินเรื่องพวกนี้มาตอนไหนกัน?” จงหลิวชวนถาม
“หนูบังเอิญไปได้ยินมาน่ะค่ะ” จงอันซินพูด “แล้วข้างบนเป็นยังไงบ้างคะ?”
“มันเป็นที่ที่เหมาะสําหรับการฝึกมากเลยล่ะ” จงหลิวชวนพูด “ที่นั่นมีสมุนไพรล้ําค่าอยู่เต็มไปหมด มันเลยมีความสําคัญกับหมอหวังมาก”
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พูดว่า “เธอต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับนะ จะบอกคนอื่นไม่ได้เด็ดขาด”
“หนูเข้าใจค่ะพี่” จงอันซินพูด “หนูขอขึ้นไปบนนั้นบ้างได้ไหมคะ?”
“ไม่ได้หรอก ถ้าหมอหวังไม่ชวนพี่ด้วยตัวเอง พี่ก็คงไม่ขึ้นไป” เขาตอบ
บนเนินเขาหนานชาน มีตะเกียงอยู่หนึ่งดวง กระทั่งดึกคืนหวังเย้าถึงได้ดับไปและเข้านอน
เช้าวันต่อมา เขาลงเขาไปตั้งแต่เช้าตรู่ ที่ด้านนอกคลินิกมีคนมารออยู่แล้ว มันเป็นวันยุ่งอีกวันหนึ่ง จํานวนคนไข้ถือว่าน้อยกว่าวันก่อนเล็กน้อย
ครอบครัวจากยูนนานใต้เดินทางมาถึงคลินิก เด็กหญิงอาการดีขึ้นมากแล้ว
“หมอช่วยตรวจเธออีกครั้งได้ไหมครับ?” พ่อของเธอถาม
“ได้สิครับ” หวังเข้าตรวจดูอาการของเด็กหญิงอย่างละเอียด “เธอไม่เป็นอะไรแล้วครับ”
“ดี! ดีจริงๆ!” เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก
หนึ่งวันไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว และเป็นอีกครั้งที่หวังเย้ายุ่งเกินกว่าจะหาเวลาทานอาหารกลางวันได้ คืนนั้น เขาเปิดดูเวยป๋อบนหน้าจอมือถือ และได้เห็นว่ามีคนเข้ามาทิ้งข้อความเอาไว้มากมาย
[หมอหวัง ยาของคุณดีมาก ลูกชายของฉันกินยาไปได้แค่วันเดียว ตอนนี้เขาหยุดไอแล้ว]
[ใช่ๆ ลูกสาวของฉันก็เหมือนกัน]
[จริงเหรอ พวกคุณแอบมาโฆษณาให้เขารึเปล่า?]
[คุณต้องลองเองแล้วจะรู้ว่ามันได้ผล!]
ข้อความส่วนใหญ่เป็นการแสดงความขอบคุณและซาบซึ้ง แต่ก็มีบางคนที่เข้ามาก่อกวน แต่ล้วนถูกหลายคนตอกกลับไป
หวังเย้าอ่านแต่ละข้อความแต่ไม่ได้ตอบข้อความไหนเลย
กริง! ตุ๊ด!
ซเสียวซวีโทรมา เมื่อเขากดรับสาย เธอก็ถามว่า “ทําอะไรอยู่เหรอคะ?”
“อ้อ กําลังอ่านเวยป๋ออยู่น่ะครับ” หวังเข้าตอบ “คืนนี้ไม่มีเรียนเหรอ?”
“เพิ่งจะเลิกเรียนค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
“แล้วพี่ชายเธอเป็นยังไงบ้าง?” หวังเย่าถาม
“เขาดีขึ้นมากแล้วค่ะ” เธอตอบ “เอาแต่บ่นอยู่ทั้งวัน ว่าอยากออกจากโรงพยาบาลแล้ว”
พวกเขาคุยกันอยู่นาน ก่อนจะวางสาย
ที่ปักกิ่ง ภายในบ้านหลังหนึ่ง หญิงคนหนึ่งถามขึ้นมา “ชื่อตํา ลูกรู้สึกเป็นยังไงบ้างจ๊ะ?”
“ดีขึ้นมากแล้วครับ แม่” ชายหนุ่มพูดในตอนที่เขากําลังเดินเล่นอยู่ในสวน
ใบหน้าของเขาออกเหลืองดูไร้สีสัน รวมถึงแววตาของเขาด้วย เขาก็คือ โฮ้วชื่อตํา ผู้ที่กลับมาจากเขตเมียวหลังจากได้รับการรักษาจากราชายาแล้ว
ราชายาช่วยชีวิตของเขาเอาไว้ได้ แต่ก็แลกมาด้วยเงินจํานวนมาก เพื่อลดความเจ็บปวดที่ได้รับ เขาต้องฉีดมอร์ฟีนจํานวนมากเข้าสู่ร่างกายและเริ่มเสพติด ร่างกายของเขาได้รับความเสียหายอย่างหนัก เขาต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวอีกนาน และเป็นไปได้ยากที่จะหายขาด
“แม่จะหาคนที่มันทํากับลูกให้เจอ” เธอพูด
“ตอนนี้ แค่ผมมีชีวิตรอดมาได้ก็ถือว่าดีมากแล้วนะครับ” โฮ้วชื่อตําพูดพร้อมกับถอนหายใจ
เมื่อต้องประสบกับเหตุการณ์แบบนี้สักครั้ง ก็เข้าใจอะไรได้มากขึ้น หลังจากต้องเผชิญหน้ากับความเป็นตาย เขาก็นึกเสียใจหลายเรื่อง ถ้าเขาไม่ใช้อิทธิพลของครอบครัวเพื่อเดินทางไปเมืองเต๋าและหาเรื่องตระกูลซุน เขาก็คงไม่ต้องเจอกับเรื่องเลวร้ายแบบนี้ ที่ทําให้เขามีชีวิตก็เหมือนตายและทําให้เขาอายุสั้นลงไปหลายปี
แต่ถ้าจะบอกว่า ที่เขาไม่ต้องการแก้แค้นเพราะเขาได้เข้าใจอะไรหลายอย่างแล้วละก็ มันคงจะเป็นการหลอกตัวเองเกินไป เขานั้นรู้สึกหวาดกลัวและกังวลเรื่องของคนคนนั้น ผู้แข็งแกร่งมากฝีมือที่สามารถทําร้ายเขาโดยไม่รู้ตัว และทิ้งอาการบาดเจ็บร้ายแรงที่แม้แต่หมอก็ไม่อาจรักษาได้กับเขา มีเพียงราชายาคนเดียวเท่านั้นที่รักษาเขาได้ ถ้าหากคนในครอบครัวของเขาถูกทําร้ายเหมือนกัน เขาคงไม่รู้ว่าต้องทํายังไงต่อไป
“แม่อย่าฝืนเลยครับ” เขาพูด “เรื่องที่เกิดขึ้นทําให้ผมคิดอะไรได้หลายอย่างเลยนะครับ”
“จะให้แม่ปล่อยเรื่องนี้ไปได้ยังไง?” แม่ของโฮ่วชื่อตําถามอย่างไม่พอใจ
เธอคิด ครอบครัวของเราถูกรังแกแบบนี้ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ถ้าเราปล่อยไปทั้งๆแบบนี้ เราจะไม่กลายเป็นพวกอ่อนแอรังแกง่ายหรอกเหรอ? แล้วพวกคนในปักกิ่งจะคิดกับเรายังไง?
ในบางครั้ง มนุษย์ก็ใช้ชีวิตอย่างเหน็ดเหนื่อย เพียงเพราะคําว่า หน้าตา ศักดิ์ศรีและหน้าตาต้องถูกกู้คืน ถึงจะมีกําลังจํากัด แต่พวกเขาก็ยังต้องพยายามแสร้งทําจนเกินกําลังของตนเอง ทั้งหมดก็เพราะเรื่องของหน้าตา
“เรื่องนั้นไม่จําเป็นเลยนะครับแม่ มันอาจไม่ใช่ฝีมือของคนตระกูลซุนก็ได้” โฮ้วชื่อตําพูด “อาจเป็นคนอื่นที่วางแผนเล่นงานจากมุมมืดก็ได้ จากนั้นก็กลายเป็นฝ่ายที่ได้รับผลประโยชน์ทั้งหมดไป การที่พวกเราสู้กับตระกูลซุน ก็อาจเป็นการตกลงสู่แผนการที่วางไว้โดยใครบางคนก็เป็นได้
“ลูกคิดแบบนั้นจริงๆเหรอ?” แม่ของเขาถาม
“จริงครับ” โฮ้วชื่อตําพูดกลั้วหัวเราะ
“งั้นแม่คงต้องขอคิดดูก่อน” แม่ของเขาพูด
ค่ําคืนในเมืองเต่มีลมพัดเย็นสบาย
“จางเหว่ย คุณทําให้มันกลายเป็นเรื่องยากสําหรับผม” ซาซากิพูด “ผมรู้อยู่แล้วว่าคุณไม่มีทางตายง่ายๆแน่”
“ซาซากิ คุณไม่ควรมาหาผมให้เวลาแบบนี้” ชายหัวล้านร่างท้วมเล็กน้อยพูด
เขายืนอยู่บนชายหาดและมองทะเลที่อยู่ตรงหน้า มันไร้ประโยชน์ที่จะมองดูทะเลในเวลานี้ มีเพียงเสียงคลี่ยนกระทบฝั่งให้ได้ยินท่ามกลางความมืดมิด
“ถ้าคุณไม่มา แล้วจะทํายังไงกับข้อตกลงของพวกเราล่ะ?” ซาซากถาม
“ก็ต้องมีคนจัดการเรื่องนี้แทนผมอยู่แล้ว” จางเหว่ยพูด
“คุณไว้ใจให้พวกเขาจัดการเหรอ?” ซาซากิถาม
“ผมสามารถใช้โอกาสนี้ เพื่อดูความคิดของพวกเขาได้ด้วย” จางเหว่ยพูดนิ่งๆ
“ฮาฮา คุณมันเจ้าเล่ห์จริงๆ” ซาซากิพูด
“ผมจําเป็นต้องทํา” จางเหว่ยพูดแล้วถอนหายใจ
ผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเขาล้วนแล้วแต่มากฝีมือและเจ้าแผนการ ถ้าเขาไม่ระวัง ก็อาจเป็นเขาเองที่ถูกฆ่า
“เอาล่ะ ผมคงต้องขอตัวก่อน” ซาซากิพูด
“จะกลับแล้วเหรอ?” จางเหว่ยถาม
“ใช่ ต้องกลับแล้ว” ซาซากิพูด
“คุณต้องจัดการเรื่องที่พวกเราคุยกันไว้ให้เร็วที่สุดด้วย” จางเหว่ยพูด
“ผมรู้” ซาซากิพูด
หลังจากซาซากกลับไปได้ไม่นาน จางเหว่ยก็ไออย่างรุนแรง สุดท้ายเขาก็ไอออกมาเป็นเลือด ทั้งร่างของเขาสันสะท้านไม่หยุด เขาหยิบขวดยาออกมาด้วยมือสั่นเทา แล้วเทยาใส่ปากไปหลายเม็ด หลังจากผ่านไปสักพัก เขาก็หายใจอย่างช้าๆ