Elixir Supplier - ตอนที่ 795 นายมีพรสวรรค์
“พูด ใครส่งแกมา?” ชายใบหน้าซีดเซียวถาม
“ฉัน…ฉันมาขโมยของจริงๆ ไม่มีใครสั่งฉันทั้งนั้น” หัวขโมยพูดด้วยความทุกข์ระทม
เขาไม่คิดว่าตัวเองจะโชคร้ายแบบนี้ในตอนที่ตัดสินใจเข้าไปขโมยของในนั้น ตอนนี้ เขาถูกใครบางคนจับตัวเอาไว้ และดูเหมือนไม่ใช่คนดีอะไรด้วย
ชายใบหน้าซีดไม่พูดอะไรอีก เขาหยิบมีดพับออกมาและโบกไปมาตรงหน้าหัวขโมย มันเปล่งประกายภายใต้แสงไฟ
วูช! ใบมีดตรงเข้าสู่ท่อนขาของหัวขโมย “อาก!”
“นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้น” ชายใบหน้าซีดพูด “ร้องเบากว่านี้หน่อย ไม่อย่างนั้นฉันจะตัดลิ้นแกซะ”
“ฮือออ” หัวขโมยกัดฟันและบิดไปมาด้วยความเจ็บปวด
“บอกฉัน ใครเป็นคนส่งแกมา” ชายใบหน้าซีดถาม
“ไม่มีเลยจริงๆนะ” หัวขโมยพูด “ฉันแค่ได้ยินมาว่า ในห้องผู้จัดการมีเงินสดเก็บเอาไว้เยอะมาก ฉันก็เลยมาที่นี่ก็เท่านั้น”
“ใครเป็นคนพูด?” ชายใบหน้าซีดถาม
“ฉันไม่รู้ว่าเป็นใคร” หัวขโมยตอบ
“เขาเป็นคนบอกกับแกเองเหรอ?” ชายใบหน้าซีดถาม
“เปล่า ฉันบังเอิญได้ยินพวกเขาพูดกันตอนที่ฉันไปกินข้าวที่นั่นพอดี” หัวขโมยตอบ “ฉันเป็นแค่หัวขโมยจริงๆ จะไปเช็คข้อมูลที่สถานีตํารวจก็ได้ มันมีชื่อฉันอยู่ที่นั่น”
เมื่อเห็นเลือดไหลออกมาจากบริเวณต้นขา เขาก็รู้สึกหน้ามืด แต่ก่อนที่เขาเคยถูกจับได้ อย่างมากก็แค่โดนซ้อมและถูกส่งไปที่สถานีตํารวจเท่านั้น สถานการณ์แบบตอนนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเลยสักครั้ง เขาทั้งถูกกักขังและถูกแทง
ชายใบหน้าซีดไม่พูดอะไร ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่หน้าของหัวขโมย จนหัวใจแทบกระเด็นกระดอน
วช! มีดถูกแทงไปที่ขาอีกข้างหนึ่ง
“บอกความจริงมา” ชายใบหน้าซีดพูด
“ฉันพูดความจริง! สาบานได้!” หัวขโมยตะโกนออกมาด้วยความทรมาน
“หัวขโมยอย่างแกสาบานเป็นด้วยเหรอ?” ชายใบหน้าซีดถาม “มีแค่คนตายเท่านั้นที่เชื่อได้!”
“ฉันไม่ได้โกหก” หัวขโมยพูด “ฉันไม่ได้โกหกจริงๆ”
“เดิมที่ฉันคิดจะปล่อยให้แกมีชีวิตรอดกลับออกไป แต่ช่างเถอะ” ชายใบหน้าซีดพูด
หัวขโมยตกตะลึง กลิ่นฉลอยอวลไปทั่วห้อง เขาหวาดกลัวจนนี่ใส่ตัวเอง
อยู่ๆแสงไฟในห้องใต้ดินก็ดับลง เกิดเสียงดังตบ แล้วทุกอย่างก็เงียบงัน
เมื่อแสงไปส่องสว่างอีกครั้ง ก็มีเจ้าหน้าตํารวจหลายนายและชายสองคนที่อยู่ในห้องตั้งแต่ทีแรก หัวขโมยที่ถูกมัดติดกับเก้าอี้ยังคงมีมีดปักอยู่ที่ขา ส่วนชายใบหน้าซีดก็นอนไม่สติอยู่ที่พื้น
“นี่มันเรื่องอะไรกัน?” เจ้าหน้าที่นายหนึ่งถาม
“เรียกหมอมา แล้วตรวจดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา” เจ้าหน้าที่อีกนายหนึ่งพูด
แพทย์พยาบาลมาถึงในเวลาไม่นาน ทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ แต่พวกเขาอยู่ในอาการโคม่า คนที่ถูกมัดเสียเลือดจํานวนมาก แต่ไม่ถึงกับร้ายแรง
“อะไรที่ทําให้พวกเขาอยู่ในอาการโคม่าแบบนี้ได้?” ตํารวจนายหนึ่งถาม
“ผมว่า น่าจะเป็นพวกยาสลบ” แพทย์ในที่มพูด
“แสดงว่าต้องมีคนอื่นอยู่ที่นี่ด้วย” ตํารวจพูด
“ใช่” แพทย์คนหนึ่งพูด
“รักษาสถานที่ให้เหมือนเดิมที่สุด แล้วหาหลักฐานให้เจอ” หัวหน้าตํารวจพูด “คนที่ได้รับบาดเจ็บก็ส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาล ส่วนอีกคนให้ใส่กุญแจมือเอาไว้”
“หึม นี่มันหัวขโมยที่จับได้หลายครั้งแล้วไม่ใช่เหรอ?” ตํารวจนายหนึ่งชี้ไปที่ชายที่ถูกมัดไว้กับเก้าอี้
“นายรู้จักเขาเหรอ?” หัวหน้าของเขาถาม
“ครับ เขาเป็นหัวขโมยตัวเป้งเลย” ตํารวจอีกนายพูด “เขาถูกจับมาหลายครั้งแล้ว ดูเหมือนเขาจะชื่อว่า ลู่ชิวเฉิง”
ชายทั้งสองที่เดิมอยู่ภายในห้องนั้น หนึ่งถูกพาส่งโรงพยาบาล ส่วนอีกหนึ่งถูกพาไปที่สถานีตํารวจ
สถานที่แห่งหนึ่งในเมืองเต๋า เจี้ยจื้อจายพ่นควันบุหรี่และพูดว่า “ไม่คิดว่าจะกลายเป็นแบบนี้ไปซะได้ คิดว่าเป็นเขารึเปล่า?”
“ไม่มีใครเห็นตอนนายลงมือใช่ไหม?” หูเหมยถาม
“ไม่มีหรอก ฉันใส่หน้ากากอยู่” เจียจื้อจายพูด “ถึงจะมีคนเห็น พวกเขาก็ไม่รู้อยู่ดีว่าเป็นฉัน”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี” หูเหมยพูด
ภายในสถานีตํารวจ ชายที่ถูกใส่กุญแจมือได้สติขึ้นมาโดยไม่มีอาการตกใจแม้แต่น้อย หลังจากมองไปรอบๆและมั่นใจแล้วว่าเขาอยู่ที่สถานีตํารวจ เขาก็เริ่มคิดหาวิธีการรับมือกับการถูกสอบสวน
“พวกมือเก๋” หลังจากที่ได้เห็นท่าทางของเขาผ่านทางหน้าจอ ตํารวจนายหนึ่งก็พูดขึ้นมา
“ใช่ ฉันเอาบัตรของเขาไปค้นข้อมูลมาแล้ว มันเป็นบัตรปลอม” ตํารวจอีกนายพูด
“บัตรปลอม?” ตํารวจนายแรกถาม
“ใช่ ฉันรายงานหัวหน้าไปแล้ว และส่งเรื่องไปทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ขยายขอบเขตของการสืบสวนให้กว้างขึ้น” ตํารวจอีกคนพูด “หรือคนคนนี้จะเป็นอาชญากรเอ่?”
“ลองสอบเขาดูก่อนเถอะ” ตํารวจนายแรกพูด
“ได้” ตํารวจอีกนายพูด
“ชื่อ” ตํารวจนายแรกถาม
ชายที่ถูกใส่กุญแจมือมองหน้าตํารวจทั้งสองนายและไม่ยอมพูดอะไรออกมา
“นายชื่ออะไร?” ตํารวจถามอีกครั้ง
ยังคงไม่มีคําตอบ
“คิดว่าถ้าไม่ยอมตอบแล้วเราจะหาไม่ได้เหรอว่านายเป็นใคร?” ตํารวจถาม “นายกลายเป็นผู้ต้องสงสัยลักพาตัวและทําร้ายร่างกายโดยเจตนา ถ้าคิดว่าจะรอด ก็อย่าได้หวังเลย สารภาพมาซะ!”
เขายังคงเงียบ ท่าทางของเขาดูสงบอย่างมาก เขากําลังคิดถึงคนที่สามารถลอบโจมตีเขาได้อย่างเงียบเชียบ ทั้งที่เขาติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณเอาไว้ที่ด้านนอกของห้องใต้ดิน แสดงว่าอีกฝ่ายต้องเป็นมืออาชีพ
การสอบสวนครั้งแรกของตํารวจทั้งสองนายล้มเหลว
“จับตาเขาเอาไว้ให้ดี” หัวหน้าของพวกเขาพูด “คืนนี้ อย่าปล่อยให้เขาได้หลับตา
“รับทราบครับ” ตํารวจอีกนายพูด
แสงจากโคมไฟส่องไปที่ดวงตาของเขา เขานั่งนิ่งราวกับรูปปั้น ผ่านไปหลายชั่วโมง เขาก็ยังคงอยู่ในท่าเดิม
“อืม เขามีความอดทนสูงจริงๆ” หัวหน้าพูด
“เป็นพวกมือเก๋แน่ๆครับ” ต่ารวจอีกนายพูด
“แล้วได้เอาเลือดของเขาไปตรวจรึยัง?” หัวหน้าถาม
“ยังครับ” ตํารวจอีกนายตอบ
“ให้คนไปจัดการซะ” หัวหน้าพูด “วิเคราะห์ดีเอ็นเอ แล้วเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลที่มีอยู่”
“ได้ครับ ผมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้” ตํารวจอีกนายพูด
เมื่อมีคนเข้ามาเพื่อเจาะเลือดของเขา สีหน้าของชายใบหน้าซีดเซียวก็เปลี่ยนไปในทันที
“ดูสิ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป” หัวหน้าพูด “เขาอาจจะทําอะไรบางอย่าง เราต้องรีบแล้ว!”
ภายในโรงพยาบาล ชายที่ถูกแทงถูกตํารวจส่งไปอยู่ในห้องแยกเพียงลําพัง
“บอกมา ว่าเกิดอะไรขึ้น?” ตํารวจนายหนึ่งถาม
“เอ่อ ผมแค่เข้าไปเอาของบางอย่างจากบริษัทนั้น” เขาตอบ
“นั่นเป็นบริษัทของนายเหรอ?” ตํารวจถาม
“ไม่…ผม” ชายที่ได้รับบาดเจ็บลังเล
“หรือจะบอกว่า นายเข้าไปเอาของที่ไม่ใช่ของนายมา” ตํารวจถาม
“เอ่อ ใช่ ผมเข้าไปขโมยของในนั้น” เขาพูด
“นายขโมยอะไรมา?” ตํารวจถาม
“ถุงใส่เพชรใบหนึ่ง กับเงินอีกหนึ่งแสนหยวน” เขาพูด “ผมคิดว่ามีเท่านี้”
“แล้วนายถูกจับตัวไว้ได้ยังไง?” ตํารวจถาม
“ผมไม่รู้” เขาพูด “ผมกําลังขโมยของอยู่ แต่อยู่ๆไฟในห้องก็สว่างขึ้นมา แล้วผมก็เห็นผู้ชายคนหนึ่ง เขาทําผมหมดสติ พอได้สติขึ้นมา ผมก็เห็นตัวเองโดนมัดไว้กับเก้าอี้อยู่ในห้องมืด แล้วเขาก็เอามีดแทงผมและถามว่าใครส่งผมมา”
“แล้วใครส่งนายไปที่นั่น?” ตํารวจถาม
“ผม…ไม่มีใครส่งผมไปที่นั่น” เขาพูด “ผมไปที่นั่นเพราะเงินเท่านั้น”
“แล้วนายรู้ได้ยังไง ว่าที่นั้นมีเงินอยู่?” ตํารวจถาม
“ก็ที่นั่นเป็นบริษัทที่ทําการค้าระหว่างประเทศ” เขาพูด “แล้วห้องนั้นก็เป็นห้องของผู้จัดการบริษัท ผมจับตามองมาได้หลายวันแล้ว พอดีคืนนั้นไม่มีคนอยู่ มีแค่คนแก่เฝ้าอยู่หน้าประตู ขนาดยามสักคนยังไม่มีเลยด้วยซ้ํา”
“พูดต่อ” ตํารวจพูด
“เขาเอามีดแทงที่ขาของผม แล้วอยู่ๆไฟก็ดับลง” เขาพูด “ผมหมดสติไป แล้วฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ก็ตอนเห็นหน้าคุณตํารวจนี่แหละ พวกคุณมาทันเวลาพอดี!”
นี่เป็นครั้งแรก ที่เขารู้สึกว่าตํารวจไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น
“นายจะบอกว่า มีมือที่สามทําให้นายสลบไปสินะ?” ตํารวจถาม
“ผมคิดว่าเป็นแบบนั้น” เขาตอบอย่างลังเล
“ลองคิดดูอีกที ยังมีอะไรอีกไหม? ตํารวจถาม
“ไม่มีแล้วล่ะ” เขาพูด
“เอาล่ะ รักษาแผลของนายให้ดี แล้วถ้าคิดอะไรได้ขึ้นมาก็ให้บอกฉัน” ตํารวจพูด
“ครับ เข้าใจแล้ว” เขาพูด
หัวขโมยไม่มีความคิดที่จะพูดอะไรออกไปอีก ถ้าเขาพูดมากกว่านี้ก็มีแต่ขาดทุน โดยเฉพาะกับพวกเจ้าหน้าที่สอบสวนสืบสวน เพียงหนึ่งประโยคก็อาจกลายเป็นข้อผิดพลาดใหญ่หลวงได้
ค่ําคืนผ่ายพ้นไป เช้าวันต่อมา ตํารวจนายหนึ่งได้รับข่าวที่น่าสนใจมา เขาได้บอกข่าวนี้กับหัวหน้าของเขา
“หัวหน้า นี่เป็นการค้นพบครั้งใหญ่เลยนะครับ” เขาพูด “จากผลตรวจดีเอ็นเอ ผู้ชายคนนี้เป็นนักฆ่าในการสังหารหมู่ที่เมืองหลานเมื่อปีก่อน”
“อะไรนะ?” หัวหน้าตกตะลึง “เหตุการณ์สังหารหมู่ที่เมืองหลานน่ะเหรอ?”
“ใช่ครับ” ตํารวจอีกนายตอบ
เดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ครอบครัวหนึ่งในเมืองหลานถูกสังหารหมู่ สมาชิกครอบครัวทั้งห้าถูกฆ่า หนึ่งในสองบอดี้การ์ดเสียชีวิต และอีกคนได้รับบาดเจ็บสาหัส ภายในสถานที่เกิดเหตุไม่มีหลักฐานที่เป็นประโยชน์กับรูปคดี มีเพียงเลือดของคนคนหนึ่งเท่านั้น และมันก็ได้กลายเป็นคดีความใหญ่โตในตอนนั้น
เพราะเหตุนี้ ทางเมืองหลานจึงได้ขอความช่วยเหลือจากทางกระทรวงความมั่นคง พวกเขาได้ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญนานกว่าสามเดือน แต่กลับไร้วี่แววของอาชญากร และไม่สามารถหาข้อสันนิษฐานได้ มันจึงกลายเป็นคดีที่ไม่สามารถคลี่คลายได้
หัวหน้าตํารวจคาดไม่ถึงว่าในเมืองเต่ที่ห่างออกมาหลายพันไมล์ พวกเขาจะจับตัวผู้ต้องสงสัยในคดีสังหารหมู่ได้
“ติดต่อทางเมืองหลานทันที” เขาพูด
“รับทราบครับ ผมจะติดต่อไปเดี๋ยวนี้” ตํารวจอีกนายพูด
คนที่เมืองหลานต่างตกใจกับข่าวที่พวกเขาได้รับ พวกเขารีบส่งคนมาเพื่อยืนยันเรื่องนี้ในทันที