Elixir Supplier - ตอนที่ 822 ผมอยากเป็นเซียน นายป่วย
เมื่อเขาเข้ามาในคลินิก เขาก็เริ่มพูดถึงแก่นแท้ของเต๋, ทฤษฎีของความอมตะ, และหยินหยางเขาอ้างอิงถึงข้อมูลจากหลายแหล่งเพื่อมาสนับสนุนความคิดของเขาซึ่งมันฟังดูสมเหตุสมผลและเป็นที่ถกเถียงกันจนกระทั่งสุดท้ายเขาถึงขนาดพูดถึงเม็ดยาเซียน และบอกว่าเขามีสูตรการทําเม็ดยาเซียนอยู่ในมือแต่ขาดสมุนไพรบางอย่างไป
“คุณหมอ ช่วยดูอาการของลูกชายผมด้วย และดูว่าเขามีอาการทางจิตรึเปล่า” ชายวัยกลางคนผู้ที่พาชายหนุ่มร่างผอมหน้าตาดีมาพูด “เขาคิดถึงแต่เรื่องการบ่มเพาะและการเป็นเซียนไม่หยุดเลย”
“เขาเป็นแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วครับ?” หวังเย้าถาม
“นานเป็นปีแล้ว ตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิเมื่อปีที่แล้ว เขากับเพื่อนไปทางใต้ด้วยกัน หลังจากกลับมาเขาก็เริ่มแปลกไปและดูไม่ปกติ วันทั้งวันเขาจะเอาแต่สนใจเรื่องการกลายเป็นเซียนของลัทธิเต๋” ชายวัยกลางคนถอนหายใจและพูดต่อว่า“ในตอนแรกผมก็คิดว่าเขาพูดไปเรื่อยเท่านั้นแต่จากนั้นมันก็ค่อยๆเกิดความผิดปกติกับเขา เขาอ่านหนังสือเกี่ยวกับลัทธิเต๋ทั้งวัน แล้วยังซื้อขยะอะไรไม่รู้กลับมาบ้านด้วย เขาพยายามทํายาสมุนไพรกับเม็ดยาด้วยตัวเองแล้วก็เกือบตายเพราะพิษมาสองครั้งโชคดีที่ผมไปเจอทันเวลาแล้วพาเขาไปหาจิตแพทย์พวกเขาบอกว่ามันเป็นอาการหลอนพวกเขาแนะนําให้ผมให้ส่งตัวเขาไปรักษาที่โรงพยาบาลจิตเวชเพื่อเข้ารับการรักษา แบบภาคบังคับ(compulsory treatment)แต่ผมลังเลที่จะพาเข้าไปที่นั่นผมก็เลยยังเขาไว้ที่บ้า นตลอดเวลาแทนผมยังตามหมอหาให้มารักษาเขาอยู่หลายคนแต่อาการของเขาก็ไม่ดีขึ้นเลย แถมยังแย่ลงกว่าเดิมด้วยซ้ำผมก็เลยพาเขามาให้หมอช่วยดูเขาหน่อย”
“ผมไม่ได้ป่วย” ชายหนุ่มพูด
“ทําไมเธอถึงอยากฝึกตนล่ะ?” หวังเย้าถาม
“เพื่อที่ผมจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้ตลอดไปยังไงล่ะ” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“แล้วอาจารย์ของเธอเป็นใคร?” หวังเย้าถาม
“ฉางชุนซื้อ” ชายหนุ่มตอบ
“ชิวชูจี?” ความคิดแรกเกี่ยวกับชิวชูจีสําหรับหวังเย้าก็คือ ชิวชูจีผู้ก่อตั้งสํานักหลงเหมิน มีฉา ยาว่า ฉางชุนซื้อ
“ไม่ใช่!” ชายหนุ่มโบกมือปฏิเสธ
“แล้วใครล่ะ?” หวังเย้าถาม
“ฮาฮา เขาไม่ได้สําคัญมากพอที่จะบอกให้โลกภายนอกได้รู้หรอก” ชายหนุ่มพูดด้วยรอยยิ้ม
ถึงแม้ว่าเขาจะมีรูปร่างผอมบาง แต่แววตาของเขากลับคมกริบ
“ผมขอจับชีพจรของคุณหน่อยนะ” หวังเย้ายื่นมือออกไปคว้าข้อมือของชายหนุ่ม
“ผมไม่ได้ป่วย!” ชายหนุ่มดิ้นรน แต่ก็ไม่ต่างจากลูกไก่ในกํามือ เขาถูกหวังเข้าจับเอาไว้แน่น
“อ็ม ร่างกายของเขาไม่ได้มีปัญหาร้ายแรงอะไร แต่มีพิษจํานวนหนึ่งอยู่ที่อวัยวะภายในของ เขา มันคงจะมาจากสิ่งที่เรียกว่าเม็ดยาที่เขากินเข้าไป ส่วนเรื่องสภาพจิตใจของเขา” หวังเฝ้ามอง ชายหนุ่มด้วยรอยยิ้ม “นั้นเป็นปัญหาใหญ่เลยล่ะ!”
อาการป่วยของเขามีส่วนคล้ายกับน้องชายของเฉินหยิ่ง ที่สมองของเขาเต็มไปด้วยเรื่องเกี่ยว กับดาบและการฆ่าฟันในยุทธภพ แต่เขาไม่ได้มีปัญหาในส่วนของเส้นเลือดในสมอง อาการป่วย ของเขาไม่ได้เป็นของจริง แต่ทั้งหมดมันอยู่ภายในจิตใจของเขา หลังจากได้ฟังคําอธิบายจาก พ่อของเขา ว่าเขาสามารถนั่งสมาธิและท่องคัมภีร์ได้เป็นชั่วโมง ในเมื่อเขาสามารถนั่งได้นานขนา ดนั้น เขาก็ไม่นับว่าเป็นบ้า
“น่าสนใจ!” หวังเย้ายิ้ม มันเป็นครั้งแรกที่เขาได้พบเจอกับอาการป่วยแบบนี้
“หมอหวังคิดว่าสภาพของเขาเป็นยังไง?” พ่อของชายหนุ่มถาม
“เขางมงายมากเกินไปครับ” หวังเย้าตอบ
“งมงาย?” พ่อของชายหนุ่มถาม
“งมงายอะไรกัน?” ชายหนุ่มพูด “ทุกคนไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด”
ความคิดเรื่องการบ่มเพาะและการค้นหาวิธีที่จะกลายเป็นเซียนได้ถูกฝังลึกเข้าไปในจิตใจของ เขาแล้ว มันเหมือนกับการฝังเมล็ดลงไปในดิน มันได้หยั่งรากลึกและเติบโตกลายเป็นต้นไม้สูง ใหญ่ มันเป็นลําต้นไปต่างไปจากในโลกของความเป็นจริง ที่ไม่สามารถตัดมันได้แม้จะต้องการกําา จัดมันแค่ไหนก็ตามที มันเป็นเรื่องยากมากที่จะตัด “ต้นไม้แห่งความงมงาย” ในจิตใจของเขา เพ ราะมันเป็นโลกในจินตนาการ มันเป็นเพียงความคิดและมันพูดไม่ได้
“หมอหวัง หมอคิดว่าเราจะทําอะไรได้บ้างไหม?” พ่อของชายหนุ่มถาม
“คุณไม่ใช่คนที่นี่ใช่ไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“เรามาจากตัวจังหวัด” พ่อของชายหนุ่มพูด “เราได้ยินมาจากเพื่อนหลายคนว่าหมอมีฝีมือการ รักษาที่สูงมาก เราก็เลยลองมาดู”
“อาการของเขาค่อนข้างพิเศษนะครับ” หวังเย้าพูด “ผมคงต้องขอคิดว่าจะรักษาเขาด้วยวิธี ไหนก่อน”
“ในเมื่อคุณเป็นผู้ฝึกตน จะให้ผมเรียกว่ายังไงดี?” หวังเย้าถาม
“ชิงเฟิงฉือ” ชายหนุ่มตอบ
“สายลมที่พัดเบาๆ ต้านคลื่นน้ำ” หวังเย้าพูด
“ถูกต้องแล้ว” ชายหนุ่มพูด
“ประโยชน์ของชีวิตที่ยืนยาวคืออะไร?” หวังเย้าถาม
“เพื่อที่จะได้อยู่อย่างสบายใจและอิสรเสรี” ชายหนุ่มตอบ
“นอกจากฝึกตนแล้วทําอะไรได้อีกบ้าง?” หวังเย้าถาม
“ปรุงยา” ชายหนุ่มตอบ
“แล้วเป็นยังไงบ้าง?” หวังเย้าถาม
“ก็ดี” ชายหนุ่มยักไหล่
“แล้วคุณจะอยู่ยังไงโดยที่ไม่มีพ่อแม่ของคุณอยู่ด้วย?” หวังเย้าถาม
“อยู่ด้วยสายลมและหยดน้ำค้างยังไงล่ะ” ชายหนุ่มพูด
หวังเย้าหัวเราะเสียงดัง
“ทําไม?” ชายหนุ่มถาม
“อยู่ด้วยสายลมและหยดน้ำค้างงั้นเหรอ?” สีหน้าของหวังเย้าแสดงให้เห็นว่าไม่เชื่ออย่างชัดเจน
“ผู้ฝึกตนไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโลกภายนอก” ชายหนุ่มพูด
“เอาล่ะ พวกคุณกลับได้แล้วครับ” หวังเย้าโบกมือ
“หมอ แล้วเรื่องอาการของลูกชายผมล่ะ?” พ่อของชายหนุ่มถาม
“ผมขอคิดดูก่อน” หวังเย้าพูด “พวกคุณทิ้งวิธีติดต่อไว้ให้ผม เมื่อที่ผมคิดได้แล้วจะติดต่อกลับไปนะครับ”
เขายังไม่มีวิธีการดีดีในการรักษาผู้ป่วยอาการแปลกๆแบบนี้
“ได้” ชายวัยกลางคนทําอะไรไม่ได้ ได้แต่แสดงสีหน้าผิดหวังออกมา เขาเดินทางมาไกลหลายพันไมล์พร้อมกับความหวัง เขาจึงไม่คิดว่าจะได้ผลลัพธีแบบนี้กลับมา
เขาคิด ลูกของฉันรักษาไม่ได้แล้วจริงๆเหรอ?
ครอบครัวของพวกเขาเดินออกไปจากคลินิก ในขณะที่พันจนเดินเข้ามาจากด้านนอกพอดี
“อาจารย์ ผู้ชายคนนั้นเป็นนักพรตเต๋เหรอ?” เขาถาม
“ใช่ เขาคิดว่าตัวเองเป็นนักพรต” หวังเข้าตอบ
“เขาคิด?” พันจวนถาม
“อาการของเขาแปลกมาก” หวังเย้าพูด “เขางมงายอย่างหนัก เขาต้องการฝึกต้นเพื่อจะกลายเป็นเซียน”
“อะไรนะ? เขาบ้าไปแล้วเหรอ?!” พันจวินตกตะลึง
“เขาน่าจะอยู่ในหมวดนั้นได้” หวังเย้าพูด “อาการและความแปลกประหลาดของเขาไม่ได้มาจากปัจจัยอื่นมันมาจากจิตใจของเขาล้วนๆ”
“โลกใบนี้กว้างใหญ่และมีเรื่องประหลาดมหัศจรรย์อยู่มากมาย” พันจวินพูด “เมื่อป่าใหญ่ก็มักจะมีต้นไม้ที่โค้งงอ
“ฮาฮา อาการของเขาแปลกจริงๆนั้นแหละ” หวังเย้าพูด “ผมยังคิดหาวิธีรักษาเขาไม่ได้เลย”
“อาจารย์ ฉันอ่านหนังสือที่เอาไปครั้งก่อนเกือบจบแล้ว” พันจวินพูด
“งั้นเหรอ?” หวังเย้าถาม “ถ้าอย่างนั้นผมขอทดสอบหน่อย”
“ได้เลย” พันจวินพูด
หวังเย้าถามคําถามแบบสุ่ม ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของเวชศาสตร์และเภสัชวิทยา พันจวินตอบคําถามได้อย่างลื่นไหลเขายังแทรกความคิดเห็นบางส่วนของเขาลงไปด้วยเขาทํางานเป็นหมอมานานหลายปีดังนั้นเขาจึงพบเจอคนไขในแผนกฉุกเฉินมาแล้วมากมาย เขาจึงมากไปด้วยประสบการณ์
“อม ดีมากครับ ผมจะเอาหนังสือให้เพิ่มอีก พี่ลองอ่านเล่มนี้ดูสิครับ” หวังเย้าส่ง “ตํารายาซางเย้า” ที่เขียนโดยซางคู่จื่อ “นี่เป็นหนังสือที่เพื่อนคนหนึ่งของผมเขียนขึ้นมาเขาเป็นอาจารย์ในสิ่งหลินและเป็นแพทย์แผนจีนที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง นี่เป็นการรวบรวมเอาทฤษฎีและประสบการณ์หลายสิบปีของเขาเอาไว้เนื้อหาข้างในดีมากและเหมาะที่จะอ่านอย่างละเอียด
พันจวินรับหนังสือมา เขาลองเปิดดูและเห็นข้อมความของซางจอที่หน้าแรก“ซางจื่อ?”
“เคยได้ยินชื่อเขามาก่อนเหรอ?” หวังเย้าถาม
“อาจารย์เคยพูดชื่อของเขามาก่อน” พันจวินพูด
“ขอบคุณเป็นพิเศษ? อาจารย์มีส่วนในเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ด้วยเหรอ?” พันจวนถาม
“ผมแค่เคยพูดบางเรื่องกับเขาเท่านั้น” หวังเย้าพูด “ผมไม่ได้มีส่วนในหนังสือเล่มนี้มากหรอกลองเอาไปอ่านดูนะครับ”
ตอนเที่ยง หวังเย้าชวนพันจวินอยู่กินข้าวที่บ้านของเขา
“ช่วงนี้ เหมือนไม่ค่อยได้แวะมาเลยนะ” หวังเฟิงฮวาถาม
“ใช่ครับคุณลุง ช่วงนี้ผมยุ่งมากเลย” พันจวินพูด
ช่วงนี้เขามีงานรัดตัว โรงพยาบาลกําลังอยู่ในช่วงเลื่อนขั้นประจําปีพันจวินก็เป็นหนึ่งในคนที่มีสิทธิได้เลื่อนขั้นในปีนี้ด้วยเช่นกัน
“เลื่อนขั้น? ขั้นกลางเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ไม่ใช่ ฉันอยากลองยื่นตําแหน่งรองอาวุโสดูน่ะ” พันจวินตอบ
“ถ้าอยากให้ช่วยอะไร บอกผมได้เลยนะ” หวังเย้าพูด
“ฉันเตรียมทุกอย่างไว้หมดแล้วล่ะ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหรอก” พันจวินพูด “ครั้งนี้ผมให้ความสําคัญกับการเข้าร่วมมาก”
“ถ้าพี่มีโอกาสได้รับเลือกก็ต้องพยายามให้มากนะครับ” หวังเย้าพูด “ยื่นให้ทางเมืองหรือจังหวัดครับ?”
“เอกสารอาจถูกส่งไปให้ทางจังหวัดดู” พันจวินตอบ “ส่วนรับล่างลงมา แผนกที่เกี่ยวข้องในเมืองจะเข้ามาตัดสินเองอาจารย์ไม่คิดจะลองดูหน่อยเหรอ?”
“ผมขอผ่าน” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม
เขาแยกตัวโดดเดี่ยว ไม่ใช่สมาชิกของโรงพยาบาล ตําแหน่งนั้นไม่ได้สําหรับอะไรกับเขาเลย
หลังจากมื้อเที่ยง พันจวินก็นั่งสูบบุหรี่กับหวังเฟิงฮวา ก่อนจะกลับไปที่คลินิกกับหวังเย้า
“อาจารย์ อธิการของเรายังคิดถึงอาจารย์อยู่นะ” พันจวินพูด
“เขาคิดเรื่องยาของผมล่ะสิ?” หวังเย้าถาม
“ใช่ อาจารย์ไม่รู้อะไร แต่ตัวอาจารย์ถือว่าเป็นหมอที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งในเหลียนชานเลยนะ”พันจวินพูด“มีคนไข้หลายคนในโรงพยาบาลของเราที่ได้รับการแนะนําให้มารักษาที่นี้ด้วย”
“ไปที่โรงพยาบาลของพี่น่ะเหรอ? อย่าดีกว่า” หวังเย้าตอบ พันจวนเคยพูดเรื่องนี้กับเขามาแล้วครั้งหนึ่ง“ผมทนกับข้อบังคับพวกนั้นไม่ได้หรอก!”
“อยู่ที่บ้านสบายใจกว่าอยู่ที่โรงพยาบาลสินะ” พันจวินพูด
หวังเย้าชงชามาหนึ่งกา “ดื่มชาครับ”
“ขอบคุณ อาจารย์” พันจวินพูด
“พี่ได้ดูแลตัวเองบ้างรึเปล่า?” หวังเย้าถาม
“ฉันกําลังพยายามอยู่” พันจวินตอบ
“งานสําคัญก็จริง แต่สุขภาพสําคัญกว่า ดื่มชาเยอะสิครับ” หวังเย้าพูด
ตั้งแต่ที่พบกันในตอนเช้า หวังเย้ารู้สึกได้ว่าพันจวินมีเรื่องอะไรในใจ มันน่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับงานของเขาหวังเย้าถามเขาสองสามคําถามแต่พันจวินก็ไม่ยอมพูดให้ชัดเจนหาถามต่อคงไม่ดี
“ใช่ นายพูดถูก” พันจวินพูด
ในตอนที่พวกเขากําลังคุยกันอยู่นั้น จงหลิวชวนก็เดินเข้ามา
“ดีเลย ผมกําลังชงชาพอดี” หวังเย้าพูด
“ผมมาถูกเวลาจริงๆ” จงหลิวชวนพูดด้วยรอยยิ้ม เขารินชาใส่ถ้วยให้ตัวเองและเติมให้หวังเย้ากับพันจวินด้วย “เชียนเชิงครับเจี้ยจื้อจายเพิ่งจะโทรมาหาผมเขาอยากมาพบเชียนเชิง”
“มีเรื่องอะไรเหรอ?” หวังเย้าถาม “หรือจะเป็นเรื่องการฝึกตนอีกแล้ว?”
“ใช่ครับ” จงหลิวชวนพูด
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่จําเป็น” หวังเย้าพูด
“เขากําลังเดินทางมาแล้วล่ะครับ” จงหลิวชวนพูด
“ในเมื่อเขามา เขาก็ถือว่าเป็นแขกคนหนึ่ง” หวังเย้าพูด
“ให้ผมบอกเขาไหมครับ?” จงหลิวชวนถาม
“อืม” หวังเย้าพูด
หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมง เจียจื้อจายก็ขับรถมาถึงที่คลินิกพร้อมกับหูเหมยเขาพูดว่า“ขอโทษที่มารบกวนเชียนเชิง”
“เข้ามาดื่มชาก่อนสิครับ” หวังเย้าที่รอพวกเขาอยู่ด้านในพูดขึ้น เขาเตรียมนําชาและผลไม้ตากแห้งเอาไว้รอ “ลองชิมดูนี่เป็นเกาลัดที่เพิ่งเก็บมา”
“ขอบคุณค่ะ” หูเหมยพูด
“อม รสชาติดี” เจี้ยจื้อจายพูด “เรามาครั้งนี้ก็เพื่อมาขอบคุณเชียนเชิง”
“เรื่องนั้นเรียบร้อยแล้วเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“น่าเป็นอย่างนั้น” เจี้ยจื้อจายพูด
จางเหว่ยหายไปนานหลายวันแล้ว และเรื่องของพวกเขาก็ไม่เคยถูกเปิดเผยออกไป บางที่เขาอาจมีจิตสํานึกขึ้นมาในช่วงก่อนที่ตัวเองจะตายเขาจัดการทําลายหลักฐานทุกอย่างไม่เหลืออะไรให้ตามสืบได้
“แล้วคุณวางแผนในอนาคตเอาไว้ยังไงครับ?” หวังเฝ้าถาม
“ผมอยากใช้ชีวิตปกติธรรมดา” เจี้ยจื้อจายพูด “ผมคุยปรึกษากับหูเหมยแล้วผมจะเลือกวันดีของปีนี้และแต่งงาน เราจะหาที่ที่เงียบสงบสําหรับลูกๆของเราและใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดา”