Elixir Supplier - ตอนที่ 827 ชีวิตต้องดิ้นรน
“ถึงฉันจะยุ่งแค่ไหน คุณก็ต้องบอกเรื่องใหญ่แบบนี้กับฉันสิคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด “ฉันทําเรื่องลาไว้แล้วพรุ่งนี้ฉันจะไปหานะคะ”
“ได้ครับ บอกเวลาที่มาถึงที่นี่ให้ผมด้วย แล้วผมจะรับที่สนามบิน” หวังเย้าพูด
หลังจากคุยกับซูเสียวซวีเป็นเวลานาน หวังเย้าก็วางสาย
โดยที่เขาไม่ทันได้รู้ตัว ก็เหลือเวลาอีกแค่สองวันเท่านั้นที่จะเป็นวันแต่งงานของพี่สาวเขาหวังเฝ้าคิดถึงเรื่องนี้ แล้วโพสแจ้งไว้ในเวยป๋อเพื่อที่จะได้ไม่มีใครมาในวันนั้น
ชีวิตต้องดิ้นรน
บางคนเลือกที่จะตายแทนที่จะเลือกใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย บางคนเลือกที่จะมีชีวิตอยู่เพราะตราบใดที่ยังไม่ตายก็ยังมีหวังและอะไรก็เป็นไปได้
ยูนนานใต้ที่ไกลออกไปหลายพันไมล์
มีชีวิต! ฉันยังมีชีวิตอยู่!
ชายวัยกลางคนหายใจหอบ
ใบหน้าของเขามีแผลเล็กน้อย แต่เพราะผ่านมาหลายวันบาดแผลจึงเริ่มจางลงที่สําคัญไปกว่านั้นเขารู้สึกได้ว่าร่างกายของเขากําลังฟื้นตัวและอาการบาดเจ็บร้ายแรงในร่างกายของเขาก็เริ่มหายไป ไม่มีอะไรดีไปกว่าการมีชีวิตอยู่แล้วถ้าเลือกได้เพียงหนึ่งอย่างมันก็คงจะเป็นการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
“อาจารย์ ผมยังไม่ตาย!” เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า พระอาทิตย์เจิดจ้าราวกับภาพฝัน
ฮาฮาฮา! เขาหัวเราะอย่างมีความสุข น้ำตาแห่งความปีติไหลนอง
ในหมู่บ้านกลางเขา เจี้ยจื้อจายไปที่บ้านของจงหลิวชวนเพียงลําพัง
“นายยุ่งเรื่องอะไรอยู่?” เขาถาม
“อ่านหนังสือ” จงหลิวชวนวางคัมภีร์ในมือลง “นายมีเรื่องอะไรจะถามฉันเหรอ?”
“เปล่า” เจียจื้อจายพูด “ก็แค่มานั่งเล่นเท่านั้นเอง”
“งั้นก็นั่งไป” จงหลิวชวนชงชาให้เขา
“นายอ่านอะไรอยู่เหรอ? คัมภีร์หวงติง?” เจี้ยจื้อจายถาม “จ๊ๆ นายเปลี่ยนเป็นคนละคนจริงๆด้วย”
“นายก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ?” จงหลิวชวนถาม “ดื่มชาสิ”
“ขอบใจ”
เจี้ยจื้อขายยกถ้วยชาขึ้นดื่ม เขามองจงหลิวชวนอย่างละเอียด หน้าตาของคนตรงหน้าไม่ได้เปลี่ยนแต่บรรยากาศรอบตัวกลับเปลี่ยนไปอย่างมากความดุดันที่เขาเคยมีถูกเก็บซ่อนเอาไว้เขาเคยเป็นเหมือนดาบเล่มหนึ่งแต่ตอนนี้เขาได้หุ้มปลอกดาบเอาไว้ และภายในยังคงซ่อนความคมกริบเอาไว้
“นายมองฉันทําไม?”จงหลิวชวนถาม
“ฉันกําลังคิดอยู่ว่า ถ้าพวกเราสู้กันอีกครั้ง ฉันคงจะเป็นฝ่ายแพ้ใช่ไหม?” เจี้ยจื้อจายพูด
จงหลิวชวนทําเพียงแค่ยิ้ม เขาฝึกฝนเป็นประจําทุกวันปละยังประมือกับหวังเย้าเป็นบางครั้งด้วย การประมือกับผู้ที่ฝีมือเหนือกว่าทําให้เขาได้รับประโยชน์อย่างมากมุมมองของเขากว้างขึ้นการฝึกฝนบนเนินเขาตงชานยังให้ประโยชน์กับเขาอย่างมากด้วยถึงกําลังภายในของเขาจะเล็กน้อยแต่เมื่อเขาใช้จิตใจเข้าควบคุมมันก็มีวิถีและพลังอันยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่แต่ยิ่งเขาฝึกฝนได้ลึกซึ้งมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งพบข้อผิดพลาดมากเท่านั้นความคิดในการต่อสู้ของเขาเริ่มหายไปเมื่อไม่มีอะไรทําเขาก็จะนั่งสมาธิ,ท่องคัมภีร์,และดื่มชาใช้ชีวิตเรียบง่ายราวกับฤษีที่ซ่อนตัวอยู่ในภูเขา
“การติดตามเชียนเชิงมันได้ประโยชน์มากเลยใช่รึเปล่า?” เจี้ยจื้อจายถาม
“สําหรับฉันมันได้ประโยชน์มาก แล้วตั้งแต่นั้นมาชีวิตของฉันก็เปลี่ยนไป”จงหลิวชวนพูด
“โอ้ อย่ามายั่วฉันสิ” เลี้ยจื้อจายพูด “นายคิดว่า ฉันควรจะทํายังไงเพื่อให้เขียนเชิงรับฉันเป็นศิษย์?”
“ไม่ใช่ว่าเชียนเชิงบอกให้รออีกหนึ่งปีเหรอ? หลังจากที่จิตใจของนายสงบแล้วเขาถึงจะพิจารณาอีกครั้ง”จงหลิวชวนพูด
“พิจารณา? หมายความว่าขึ้นอยู่กับการกระทําของฉันอย่างนั้นเหรอ?” เจี้ยจื้อจายถาม
“ใช่ นั่นคือสิ่งที่เขาหมายถึง” จงหลิวชวนพูด
เจี่ยจื้อจายวางถ้วยชาในมือลง
“ตอนนี้ ฉันพอใจกับชีวิตของฉันแล้ว”เขาพูด“ฉันไม่จําเป็นต้องกังวลในทุกๆวัน ฉันไม่ต้องทําสิ่งที่ฉันไม่ต้องการฉันกําลังคิดจะซื้อชุดชงชามาสักสองชุดเมื่อไหร่ที่ฉันว่างฉันก็จะชงชาดื่มวันนี้ฉันขึ้นไปบนเขามาด้วยนะมีหลายที่บนเขาที่เป็นที่ว่างไม่มีใครไปปลูกอะไรตรงนั้นเลย มันน่าเสียดายฉันเลยว่าจะไปทําสัญญาเช่าสักสองแปลงเอาไว้ปลูกผักผลไม้มันจะต้องได้ผลผลิตที่มาจากธรรมชาติ,เขียวสด,และไร้สารพิษ”
“อืม” จงหลิวชวนพยักหน้า เขาได้ทําสัญญาเช่าที่บนเนินเขาตงชานเอาไว้แล้วและปลูกผักกับสมุนไพรเอาไว้ที่นั่นเขาถือว่าเป็นการฆ่าเวลาที่ดีเขายังเกิดความรู้สึกสนใจและใส่ใจพืชผักที่ เขาปลูกเป็นอย่างดีแต่เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิผักและสมุนไพรที่เขาปลูกกลับไม่เติบโตอย่างที่เขาคาดหวัง
“ตอนแรกฉันอยากซื้อบ้านอยู่ใกล้กับนายแต่หลังจากคิดดีดีแล้ว หูเหมยกับฉัน…” เจี้ยจื้อจาย หยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “พวกเราได้ทะเบียนสมรสมาแล้วนะนายรู้รึเปล่า?”
“ยินดีด้วย” จงหลิวชวนพูด เขาคิดว่า ความคิดของเจี่ยจื้อจายกระโดดไปมาอย่างรวดเร็วดูเหมือนว่าเมื่อภาระหนักอึ้งบนตัวเขาเบาลงจิตใจของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
“โอ้ ทําไมไม่ให้ฉันขอหูเหมยแนะนําใครสักคนให้นายดีรึเปล่า? นายชอบผู้หญิงแบบไหนล่ะ?”เจียจื้อจายถาม
“ดื่มชา” จงหลิวชวนรินชาให้เขา
“นายทําแบบนี้หมายความว่ายังไง?” เจี่ยจื้อจายถาม “นี่ หรือปัญหาจะอยู่ที่ความชอบของนายเป็นอีกแบบ?”
“ปัญหาอะไร? ชอบอีกแบบคือยังไง? นายคิดมากเกินไปแล้ว?” จงหลิวชวนตอบนิ่งๆ
“ความจริง หูเหมยยังพอมีเพื่อนอยู่บ้างนะ” เจี้ยจื้อจายพูด “มีอยู่คนหนึ่งที่ฉันเคยเจอหลายครั้งเธอสวย,เป็นกุลสตรี,และอายุก็เหมาะสมด้วย ถ้านายชอบไว้วันหลังฉันจะแนะนําให้พวกนายได้รู้จักกันเอาไว้”
จงหลิวชวนไม่พูดตอบ เขาจ้องเจียจื้อจายเงียบๆ
“ฉันยืนยันได้ว่าไม่ใช่คนแบบพวกเรา แต่เป็นคนธรรมดาไม่รู้เรื่องคนหนึ่งจริงๆนะ” เจี้ยจื้อจายพูด
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันอยากอ่านหนังสือต่อ” จงหลิวชวนพูด
“อ้อ รอเดี๋ยว เที่ยงนี้นายว่างเปล่า?” เจียจื้อจายถาม
“มีเรื่องอะไร?” จงหลิวชวนถาม
“ตอนเที่ยง มากินข้าวที่บ้านฉัน จะได้ลองชิมฝีมือทําอาหารของหูเหมย ชวนเชียนเชิงมาด้วยนะ”เจียจื้อจายพูด
“ตอนเที่ยง เชียนเชิงไม่อยู่บ้าน” จงหลิวชวนพูด “เขาไปห่ายชิว”
“งั้นก็ไม่เป็นไร นายมาคนเดียวก็ได้ พวกเราพี่น้องจะได้ดื่มด้วยกัน” เจี้ยจื้อจายพูด
“ฉันไม่ดื่ม” จงหลิวชวนพูด “ขอบคุณสําหรับคําชวน แต่ฉันคงต้องขอผ่าน”
“ก็ได้ งั้นไว้วันหลังแล้วกัน” เจี้ยจื้อจายพูด
เขาฮัมเพลงออกไปจากบ้าน เขาดูมีความสุขและแช่มชื่น
“อารมณ์ดีจริงๆ!” จงหลิวชวนยิ้ม
ที่ห่ายชิว หวังเย้าเงยหน้ามองท้องฟ้า
ท้องฟ้าของห่ายชิวเป็นสีฟ้าสวย
เธอมาแล้ว!
จุดเล็กๆปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าและเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ มันคือเครื่องบินล่าหนึ่ง ไม่นานเครื่องก็ ร่อนลง
หญิงสาวในกางเกงยีนส์และเสื้อลําลองสีชมพู กลายเป็นภาพของความเยาว์วัยและงดงามได้เดินออกมาจากเครื่องบินเธอเป็นเหมือนดอกโบตั๋นที่กําลังเบ่งบานอย่างสง่างามที่ไหนที่เธอผ่านไป เธอก็จะกลายเป็นจุดสนใจของทุกคนโดยเฉพาะกับเหล่าชายหนุ่ม
“สวย สวยจริงๆ!” ชายในชุดสูทคนหนึ่งอุทาน
“ประธานจ้าว? ประธานจ้าว?” ผู้ช่วยของเขาเรียก
“เห็นผู้หญิงคนนั้นรึเปล่า?” ประธานจ้าวถาม
“เห็นครับ” ผู้ช่วยของเขาตอบ
“ฉันหลงรักเธอตั้งแต่แรกเห็น” ประธานจ้าวพูด
“ประธานจ้าว มีสายเรียกเข้าครับ” ผู้ช่วยของเขาพูด
“นายไม่เห็นว่าฉันยุ่งอยู่เหรอ?” ประธานจ้าวหันมองตามหญิงสาวที่ดูราวกับนางฟ้านางสวรรค์
ที่ออกมาจากภาพวาด
“ประธานจ่าว สายของคุณครับ” ผู้ช่วยของเขาพูด
“ไฮ้ ยัยผู้หญิงคนนี้อีกแล้ว!” ประธานจ้าวถอนหายใจ
“ฮัลโหล ภรรยา ผมลงเครื่องที่น่ายชิวแล้วใช่ผมเพิ่งลงมาจากเครื่องเลย”เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ไม่ต้องห่วงครั้งนี้ผมจะดูแลงานอย่างดีได้ใช่ใช่ไม่มีปัญหาคุณดูแลสุขภาพอยู่ที่นั่นให้ดี อย่าทําให้ตัวเองต้องเหนื่อยถ้ามีเรื่องอะไรก็ให้โทรหาผมเอาล่ะ แค่นี้นะ ผมรักคุณ วางสายล่ะ!”
หลังจากวางสาย ประธานจ้าวที่เก็บมือถือก็เริ่มมองไปรอบๆ โอ้ สาวสวยคนนั้นไปไหนแล้วล่ะ?
“เชียนเชิง”
“วันนี้ เธอสวยจริงๆ!” หวังเข้ารับกระเป๋าของซูเสี่ยวซวีมาและยิ้ม
“ขอบคุณค่ะ” เธอพูด
“คุณคนสวยตรงนั้น ขอโทษนะครับ” ในเวลานี้เอง ชายวัยกลางคนในชุดมีระดับก็เดินเข้ามาหาซูเสี่ยวซวีและหวังเย้า
“สวัสดีครับ ผมขอแนะนําตัวเอง ผมชื่อ จ้าวฉางเชิง เป็นประธานของฉางเชิงกรุ๊ป นี่เป็นนามบัตรของผม”หลังจากเปิดกล่องใส่นามบัตรเขาก็หยิบนามบัตรที่ถูกออกแบบมาอย่างงดงามยื่นให้กับซูเสี่ยวซวีด้วยสองมือ
“อ้อ สวัสดีค่ะ ประธานจ้าว” เธอตอบ
“เอ่อ ผมคิดว่าท่าทางของคุณดูดีมาก” ประธานจ้าวพูด“คุณสนใจทํางานให้บริษัทของเรา ไหมครับ?
“ฉันไม่สนใจค่ะ ขอบคุณ” ซูเสี่ยวซวีพูดด้วยรอยยิ้ม
“บางที คุณอาจจะยังไม่รู้จักบริษัทของเราดีพอ” เขาพูด “เกี่ยวกับบริษัทของเรา…”
เอ้…อยู่ๆประธานจ้าวก็พูดไม่ออก เขาเปิดปากแต่กลับไม่มีเสียงออกมา
“เกิดอะไรขึ้นกันคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“เราไปกันเลยไหม?” หวังเย้าถาม
“ค่ะ!” ซเสี่ยวซวีควงแขนของหวังเย้าแล้วเดินออกไปด้วยรอยยิ้ม
“คราวนี้มาคนเดียวเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“ใช่ค่ะ คุณแม่อยากให้น้าเหลียนมาด้วย แต่ฉันบอกไปว่าไม่จําเป็น เพราะฉันมีคุณอยู่แล้ว”ซูเสี่ยวซวีพูด
“ใช่ คุณมีผมอยู่!” หวังเย้าพยักหน้า
“ประธานจ้าว คุณเป็นอะไรไปครับ?” ผู้ช่วยของเขาถาม
“เชียนเชิง เกิดอะไรขึ้นกับประธานจ้าวคนนั้นเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม
“อื่ม บางที่พระเจ้าอาจจะคิดว่าเขาน่ารําคาญ ก็เลยทําให้เขาเงียบปากและพักบ้าง” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม
ซูเสี่ยวซวีหัวเราะเสียงสดใสราวกับนกน้อย
“เขาคงจะไม่ได้พูดไม่ออกแบบนั้นไปตลอดหรอกใช่ไหมคะ?” ซูเสียวซวีถาม
“จะเป็นแบบนั้นได้ยังไง?” หวังเย้าตอบ“เขาก็แค่พูดไม่ได้ไปสักพักเท่านั้นท่าทีแบบนั้นของเขามันน่ารําคาญเกินไป”
ทั้งสองขึ้นรถบัสและเดินทางกลับไปยังหมู่บ้าน
“กินอะไรมารึยัง?” หวังเย้าถาม
“กินแล้วค่ะ” ซูเสี่ยวซวีตอบ
“ทําไมไม่นอนพักสักหน่อยล่ะ? ไว้อีกเดี๋ยวผมจะปลุกเอง” หวังเย้าพูด
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่เหนื่อยหรือง่วงเลย” ซูเสี่ยวซวีตอบ “ฉันคุยกันดีกว่าไหมคะ?”
ซูเสียวซวีถามหวังเย้าหลายคําถาม
“อะไรนะคะ? พี่ชายของฉันชวนคุณเข้าร่วมกับกองทัพเหรอคะ?” เธอตกใจ
“โอ๊ะ ผมเผลอพูดออกไปซะแล้ว!” หวังเข้าไม่ได้ตั้งใจจะพูดถึงเรื่องนี้ แต่คิดไม่ถึงว่าซเสี่ยวซวีจะจับได้
“เชียนเชิงคงไม่ได้ออกไปทําภารกิจกับพวกเขาใช่ไหมคะ?” เธอถาม
“ไม่ได้ไป” หวังเข้าตอบ
ซูเสี่ยวซวีจองเขาอยู่นาน
“เป็นอะไร? ทําไมถึงได้จ้องผมแบบนั้นล่ะ?” หวังเย้าถาม
“เชียนเชิงเพิ่งจะโกหกออกมาน่ะสิคะ” ซูเสียวซวีพูด
“เปล่านะ!” ใบหน้าของหวังเย้าแดงเล็กน้อย
“ดูหน้าของคุณสิคะ” ซูเสียวซวีพูด “พี่ชายของฉันหลอกให้เขียนเชิงออกไปทําภารกิจด้วยใช่ไหมคะ?”
“ฮาฮา ไม่ใช่ว่าตอนนี้ผมสบายดีหรอกเหรอ?” หวังเย้าพูด
“ฮีม ซูจือจิง!” ซูเสี่ยวซวีทําหน้ามุ่ย “คราวหน้าห้ามไปอีกนะคะ เชียนเชิง!”
“ได้ ได้!” หวังเย่ารีบรับปาก “แล้วก็อย่าไปว่าพี่ชายของเธอเลย ผมเป็นคนขอไปด้วยเองผมอยากเข้าไปดูในป่าของทางยูนนานใต้คิดว่าบางที่อาจหาสมุนไพรจากที่นั่นได้บ้างก็เท่านั้นเอง”
“จริงเหรอคะ?” ซูเสียวซวีถาม
“เป็นเรื่องจริงแน่นอน” หวังเย้าตอบ “แล้วครั้งนี้ก็ไม่มีการต่อสู้กันเลยด้วย”
“ดีค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด
เมื่อรถบัสมาถึงที่หมู่บ้าน ซูเสี่ยวซวีก็หยิบของขวัญที่เตรียมเอาไว้สําหรับพ่อแม่ของหวังเย้าออกมาจากประเป๋ามันทําให้ผู้ใหญ่ทั้งสองดีใจมากความจริงการมาของซูเสี่ยวซวีคือสิ่งที่ทําให้พวกเขาดีใจที่สุด
“แค่มาก็พอแล้ว ไม่เห็นต้องเอาของขวัญมาด้วยเลยนะจ๊ะ!” จางซิวหยิ่งพอใจว่าที่ลูกสะใภ้ในอนาคตของเธอมากขึ้นเรื่อยๆ
หวังเฟิงฮวาสูบบุหรี่อย่างมีความสุข ลูกสาวของเขากําลังจะแต่งงาน และมีลูกสะใภในอนาคตมาร่วมงานด้วยเขาคิดนี่ไม่ใช่ความสุขสองเท่าหรอกเหรอ? มันคงจะดีกว่านี้ถ้าได้จัดงานแต่ง พร้อมกันไปเลย!