Elixir Supplier - ตอนที่ 847 พูดคุยกับเหล่าหนึ่งขวด
“อืม เดี๋ยวผมจะจ่ายยาให้นะครับ” หวังเย้าคิดเรื่องตัวยาที่จะใช้
ตังกุย, ฉตี้, ม่ายตง, ป่ายเฉา, โชวหว…
ภาพที่เห็นภายในอกดูเหมือนกับกลากเกลื้อน แต่ความจริงแล้วมันคือไข้เลือดออก(Inf4iZE) การรักษาจะเป็นไปในทางการกระตุ้นการไหลเวียนพลังฉีและทําให้เลือดในกายเย็นลงที่แย่ก็คือคนไข้ยังเป็นเด็กอยู่อย่างที่รู้กันว่าในยาสมุนไพรเป็นพิษเสียสามส่วนหวังเย้าจึงต้องเลือกสมุนไพรที่มีฤทธิ์อ่อนและควบคุมปริมาณของตัวยาที่จะใช้
“ยาตัวนี้ใช้ทานเป็นเวลาเจ็ดวัน วันละครั้ง”
หวังเย้าพูด “ส่วนยาตัวนี้ ใช้สําหรับทาภายนอก ผมบดเอาไว้ให้แล้วเวลาจะใช้ให้ผสมกับน้ำมันมะกอกทาตรงที่ก้อนเนื้อและหาผ้าพันแผลมาพันเอาไว้แต่อย่าพันแน่นจนเกินไปถ้ยาไม่พอก็ให้กลับมาเอาเพิ่มนะครับ”
“โอ้ ได้ๆ”
“เด็กคนนี้อายุเท่าไหร่แล้วเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“เธอเพิ่งจะขึ้นชั้นป.1 ปีนี้เอง” พ่อเด็กพูด
หวังเฝ้ามองดูสีหน้าไม่มีความสุขของเด็กหญิงและพูดว่า “ในเมื่อเธอเพิ่งจะเริ่มเรียนสภาพแวดล้อมหลายอย่างรอบตัวเธอเปลี่ยนไป เธอจําเป็นต้องใช้เวลาในการปรับตัวอยู่บ้างเธออาจจะกังวลและทําให้คุณไม่พอใจได้ในช่วงนี้พยายามอย่าไปดูเธอเลยนะครับ คุณควรให้ความสําคัญกับเรื่องแนะนําแนวทางที่ถูกต้องให้เธอก่อน”
“เฮ้อ หมอไม่รู้อะไร แต่เด็กนี่ไม่ตั้งใจฟังในชั้นเรียน แถมยังตอบคําถามไม่ได้เลยสักข้อ”พ่อเด็กพูด“เธอทําการบ้านตั้งแต่ตอนเย็นแต่กว่าจะเสร็จก็สามทุ่มกว่าแล้วพอเช้ามาก็เลยไม่อยากตื่นไปเรียน ผมทั้งกังวลทั้งโมโหแต่พอพูดเรื่องนี้ด้วยเธอก็ไม่สนใจฟัง”
“เรื่องแบบนี้มันมีขั้นมีตอนของมันอยู่ครับอย่ากังวลเกินไปเลยเธออาจจะกังวลมากกว่าคุณด้วยซ้ำช่วงนี้อุจจาระที่เธอถ่ายออกมาแห้งไหมครับ?”
“ใช่ มันแห้งมาก บางครั้งเธอก็ถ่ายสองสามวันครั้งด้วย”
“เธอต้องดื่มน้ำให้มากขึ้น” หวังเย้าพูด “และเด็กวัยนี้ต้องนอนพักผ่อนให้เพียงพอ”
เขาหันไปพูดกับเด็กหญิงว่า “ตั้งใจเรียน และขอให้โชคดี”
“อื้ม” เด็กหญิงยังคงมีสีหน้าไม่มีความสุข
“พูดขอบคุณคุณอาสิ” พ่อเด็กพูด
“ขอบคุณคุณอา” เธอพูด
“ขอบคุณนะครับ” พ่อเด็กพูด
“ยินดีครับ ลาก่อน”
ชายวัยกลางคนพาลูกสาวเดินออกไปจากคลินิก
“ตอนเริ่มเข้าเรียนชั้นประถม ลูกชายของฉันก็ไม่ค่อยฟังฉันเหมือนกัน”พันจวินพูด“เขาซนมากเขาถึงขนาดลุกออกจากที่นั่งไปเดินเล่นรอบห้องในตอนที่ครูกําลังสอนอยู่พอครูถามเขาว่าทําทําไม เขาก็บอกไปว่านั่งเฉยๆมันเหนื่อยเกินไปเขาก็เลยอยากขยับตัวบ้างมันพิลึกมากเลยใช่ไหมล่ะ?”
“ตอนนั้น พี่ก็คงทั้งกังวลทั้งร้อนใจเลยใช่ไหมครับ?”
“แน่นอนสิ ฉันกังวลมาก ทุกครั้งที่ครูเรียกชื่อเด็กซนของห้องก็จะมีชื่อของเขาอยู่ในนั้นตลอดพอฉันสอนการบ้านให้เขาตอนเย็นเขาก็แทบจะไม่รู้เรื่องอะไรเลยมันคงแปลกถ้าเขาเข้าใจโดยที่ตัวเองไม่สนใจเรียนในห้องเลยสักครั้งฉันทนไม่ไหวจนตีเขาไปหลายครั้งแต่หลังจากนั้นฉันก็มาเสียใจทีหลังกับสิ่งที่ฉันทําลงไปถึงยังไงเขาก็ยังเป็นแค่เด็ก 6 ขวบ พอได้เห็นสีหน้าแย่ๆของเขาแล้วฉันก็รู้สึกว่าเขาดูน่าสงสาร เมื่อพูดถึงเรื่องลูกชายของเขาพันจวินก็กลายเป็นคนพูดน้ำไหลไฟดับขึ้นมาทันที
“แล้วยังไงต่อครับ?”
“หลังจากนั้น ฉันก็คอยสื่อสารกับครูของเขาอยู่หลายครั้ง แล้วยังใส่ใจเขามากขึ้นจากนั้นเขาก็ค่อยๆให้ความร่วมมือทีละน้อย”พันจวินพูด“นิสัยไม่ดีก็เริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ตอนนี้เรื่องเรียนของเขาก็พอรับได้แล้วทั้งหมดก็ต้องขอบคุณครูของเขาฉันบอกครไปว่าถ้าเขาซนในห้องเรียนก็ให้ครูตีหรือว่าเขาได้เลยฉันจะไม่ว่าแล้วยังให้ความร่วมมือเต็มที่ด้วย”
“อืม เรื่องของครูที่สอนก็สําคัญเหมือนกันนะครับ”หวังเย้าพูด เป็นเพราะครูคนหนึ่งในโรงเรียนมัธยมถึงทําให้เขาสามารถสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงได้ที่คะแนนสอบของเขาเพิ่มขึ้นทั้งหมดก็ต้องขอบคุณครูคนนั้น
“ใช่ เดี๋ยวนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว” พันจวินพูด “ถ้าครูดีนิดหน่อยก็กลายเป็นเรื่องทําร้ายร่างกายไปได้แล้วยังไม่ต้องพูดไปถึงเรื่องดีหรอกแค่ครูดุหรือว่ากล่าวแรงสักหน่อยหลังจากนั้นพ่อแม่เด็กก็จะมาว่าครูแล้วถ้าทางกระทรวงศึกษารู้เรื่องเข้าครูที่ทําเรื่องพวกนั้นก็จะถูกลงโทษถ้าหนักกว่านั้นก็ถึงขึ้นไล่ออก”
“ใช่” หวังเย้าพยักหน้า เขาเคยอ่านบทความเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้มานับไม่ถ้วนครูว่ากล่าวเด็กแค่ครั้งสองครั้ง แต่แล้วก็ถูกพ่อแม่เด็กฟ้องร้องครูถึงขั้นถูกแจ้งความว่าทําร้ายร่างกายจนเกือบตกงานมันต่างจากโรงเรียนที่เขาเคยได้ไปเรียนถ้าเขาดื้อรั้นเขาก็จะถูกสั่งให้ออกไปยืนนอกห้องแต่ถ้าเขายังดื้อและไม่สนใจฟังหลังจากโดนตีสักสองครั้งมันก็ทําให้เขายอมรับผิดในที่สุด
“พูดตามตรงนะ ครูก็ควรมีสิทธิของครูเหมือนกัน” พันจวินพูด “การลงโทษเด็กอย่างเหมาะสมถือเป็นเรื่องที่สมควร แต่การที่เด็กด้วยไม้บรรทัดถือเป็นเรื่องล้าสมัยไปแล้ว!”
“ลองดูเดี๋ยวนี้ส” เขาพูด “ครูไม่สนใจที่จะสั่งสอนเด็ก ภาระก็เรื่องการสั่งสอนเลยตกไปอยู่ที่พ่อแม่ของเด็กแทน”
“มันไม่ใช่ความผิดของครูหรอกครับ” หวังเย้าพูด “ก็แค่สังคมมันเปลี่ยนไปแล้วก็เท่านั้น”
สมัยก่อน ครูของพวกเขามักมีปัญหาอาหารไม่ย่อยจากการโมโหเด็กนักเรียน พวกเขาไปโรงเรียนตั้งแต่ 5 โมงเช้าและอยู่จนถึงสี่ทุ่ม แต่ตอนนี้นอกจากครูรุ่นก่อนแล้วก็มีครูไม่มากที่ทําแบบนั้นได้ และเด็กนักเรียนในปัจจุบันก็เปลี่ยนไปแล้วเช่นกันพวก เขาไม่สามารถอดทนกับเรื่องต่างๆได้มากเท่าเด็กนักเรียนในสมัยก่อนวันเวลาได้เปลี่ยนไปแล้ว
แต่จะให้บอกว่าแบบไหนที่ดีกว่ากันก็พูดยาก
สําหรับนักเรียนส่วนใหญ่ สิ่งที่ดีที่สุดก็คือการเรียน, การสอบ, เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยดีดี,และเลือกคณะที่ดี ส่วนคนที่พูดว่าการเรียนเป็นเรื่องไร้สาระนั้นเป็นพวกเขาต่างหากที่ไร้สาระในปัจจุบัน ระดับเริ่มต้นของพนักงานและความต้องการขั้นพื้นฐานในการรับเข้าทํางานก็คือต้องจบระดับปริญญาตรีเป็นอย่างต่าที่ยิ่งไปกว่านั้น ในบางบริษัทก็จะรับนักศึกษาที่จบจากมหาวิทยาลัยในโครงการ 211 เท่านั้นถ้าหากใครไม่ตั้งใจเรียน ก็จะไม่มีทางได้รับโอกาสเหล่านั้น แต่ถ้าหากพ่อของใครเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงหรือที่บ้านมีเงินทองมากมายก่ายกองนั่นก็นับเป็นอีกเรื่องหนึ่งพวกเขาไม่จําเป็นต้องเข้าเรียนในชั้นมัธยมเลยก็ยังได้
*โครงการ 211 เป็นโครงการที่มีแค่มหาวิทยาลัยชั้นนําของประเทศจากมหาวิทยาลัยทั้งหมดสามพันกว่าแห่งมีหนึ่งร้อยกว่าแห่งเท่านั้นที่สามารถเข้าร่วมโครงการนี้
ตอนกลางวัน มีคนไข้ทั้งหมดสี่คน ที่มาด้วยอาการป่วยทั่วๆไป ในเวลา 5 โมงเย็นหวังเย้ากับพันจวินก็เลิกงาน
“นี่ครับ ลองชิมผลไม้ที่ผมปลูกไว้บนเขาด” หวังเย้าพูด
“อืม”
“อร่อย!” หลังจากกินองุ่นหมดไปแล้วพวงหนึ่ง เขาก็อุทานขึ้นมา
“ตอนกลับ ก็เอากลับไปให้คนที่บ้านกินด้วยนะครับ” หวังเย้าพูด
“ไม่ต้องหรอก” พันจวินพูด
“ไม่เป็นไรครับ” หวังเย้าพูด “บนเขายังมีอีกเยอะ เก็บมาแล้วก็กินคนเดียวไม่หมดอีกไม่นานมันก็จะเสียคาต้น”
“ก็ได้” พันจวินไม่ได้อยู่นาน หลังจากรับถุงใส่ผลไม้มาแล้ว เขาก็ขับรถกลับเข้าตัวเมืองเหลียนชาน
คืนนั้น เจี้ยจื้อจายกับหูเหมยก็กลับมาถึงที่บ้านของพวกเขาด้วยสีหน้าเหนื่อยอ่อน
“ฟ้ว ฉันอยากพักแล้ว เหนื่อยจริงๆ”
“ฉันจะทําอาหารให้กิน นายอย่างกินอะไร?”
“แค่บะหมี่ก็ได้”
หลังจากกินบะหมี่เสร็จ พวกเขาก็เข้านอนทันที ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในค่ําคืนนั้น
เช้าวันต่อมา ฟ้าครึมเล็กน้อย พยากรณ์อากาศบอกเอาไว้ว่าจะมีฝนตกลงมา
จงหลิวชวนขึ้นเขามาฝึกกับหวังเย้าแต่เช้าตรู่
“เชียนเชิง เจี่ยจื้อจายกับหูเหมยกลับมาเมื่อคืน พวกเขาน่าจะจัดการเรื่องนั้นเรียบร้อยแล้ว” เขาพูด
“อืม ผมเข้าใจแล้ว” หวังเย้าพยักหน้า
“บ่ายนี้ต้องไปทําอะไรไหมครับ?” เขาถาม
“ไม่มีครับ”
“นัดพวกเขาเอาไว้ที่นะครับ” หวังเย้าพูด “ผมจะเลี้ยงข้าวกลางวันเพื่อเป็นการขอบคุณพวกเขา
“ได้ครับ”
ฝนเริ่มตกลงมาหลัง 10 โมงเล็กน้อย ฝนฤดูใบไม้ผลิเบาบางและเย็น ยังมีลมพัดเบาๆ ให้ร่างกายรู้สึกถึงความเย็น
ในวันที่อากาศแบบนี้ หากไม่มีเรื่องด่วน ก็ไม่มีใครคิดจะมารักษาที่คลินิก
11 โมง หวังเย้าปิดประตูคลินิก เขาไปพบกับกลุ่มที่นัดกันเอาไว้ที่หน้าหมู่บ้าน
ภายในรถ เจี่ยจื้อจายถอนหายใจทั้งๆที่ยังคาบบุหรี่เอาไว้ในปาก “ฤดูใบไม้ผลิหนาวจริงๆ!”
“สูบให้น้อยหน่อย” หูเหมยพูด “มันไม่ดีต่อสุขภาพของนาย นายยังอยากมีลูกอยู่ไหม?”
“เอ่อ ได้ ฉันจะเลิกสูบ!” เจียจื้อจายโยนบุหรี่ในมือออกไปจากตัวรถ
วันนี้เป็นวันที่ฝนตกทั้งวัน เมื่อทั้งสี่คนไปถึงที่ร้านอาหาร พวกเขากลายเป็กลูกค้าเพียงโต๊ะเดียวของที่ร้าน
“ถ้าวันนี้พวกคุณไม่มา ผมคงไม่เปิดร้านแล้ว” เจ้าของร้านยิ้ม
“วันฝนตกแบบนี้ คงไม่ค่อยมีลูกค้าสินะครับ” หวังเย้าพูด เขาสั่งอาหารมาหลายจานส่วนเหล้าเขาเอามาเอง
เพราะพวกเขาเป็นลูกค้าเพียงโต๊ะเดียวของที่ร้าน อาหารจึงถูกนําออกมาเสริฟอย่างรวดเร็ว
“มาครับ ดื่ม เพื่อขอบคุณทั้งสอง” หวังเย้าพูด
“ผมไม่กล้ารับหรอก เขียนเชิง แค่เชียนเชิงไม่โทษพวกเราก็ดีมากแล้ว” เลี้ยจื้อจายพูดเขาดื่มเหล้าหมดแก้ว
“สําหรับแก้วที่สองนี้ ให้ถือว่าเรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้ผ่านไป ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปเราคือคนหมู่บ้านเดียวกัน เราควรสนิมสนมกันเอาไว้นะครับ”
“อ้อ ได้ครับ”
แก้วนี้ถูกดื่มจนหมดในครั้งเดียว
ด้านนอกฝนยังคงตกอยู่
“มา กินปลาสักหน่อย” อาหารจานปลาถูกนําออกมาเสริฟเป็นจานสุดท้ายเพราะต้องใช้เวลาในการตื่นนาน
“จําๆ กลิ่นหอมดีจริงๆ”
ทุกคนต่างพอใจกับมื้ออาหาร โดยเฉพาะเลี้ยจื้อจายกับหูเหมยไม่ว่าหวังเย้าจะรับเขาเป็นศิษย์หรือไม่กลับไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกต่อไปที่สําคัญไปกว่านั้นพวกเขาชอบหมู่บ้านกลางเขาแห่งนี้ มันเป็นเรื่องยากในการหาที่อยู่ที่เหมาะสมสักแห่ง ดังนั้นพวกเขาก็ไม่อยากไปจากที่นี่