Elixir Supplier - ตอนที่ 861 ไม่อาจรับได้
ภายในรถที่จอดอยู่ด้านนอกคลินิก
“เสี่ยวหนาน ลูกรู้สึกเป็นยังไงบ้าง?” ชายวัยกลางคนถามอย่างอ่อนโยนเขาหวังว่าการรักษาจะได้ผลและลูกชายของเขาจะหายดีและแข็งแรงในเร็ววัน
“พ่อ ผมไม่เป็นไรครับ” เด็กหนุ่มพูด
คําพูดของเขาทําให้คนเป็นพ่อยิ้มได้
เมื่อก่อน เขาไม่เคยตอบคําถามที่คนเป็นพ่อถาม ไม่ว่าพ่อของเขาจะถามอะไรออกไปก็ตามราวกับว่าเขาคิดว่าค่าพูดของเขานั้นล้ำค่ายิ่งกว่าทองคําแต่ตอนนี้เขากลับยอมตอบคําถามมันอาจเป็นแค่เรื่องบังเอิญแต่เรื่องบังเอิญแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“เพื่อนเก่าของฉันคนนี้จากไปแล้ว เหลือหลายชายเอาไว้แค่คนเดียว”ซางกู้ซื้อพูด“เขาขอให้ฉันพามาหาเธอที่นี่ถ้าไม่อย่างนั้น ฉันก็ไม่มารบกวนเธอหรอก”
“โถ ผมยินดีต้อนรับคุณเสมอ ถ้าต้องการให้ผมช่วยอะไรในอนาคตก็บอกผมได้เลยนะครับ”หวังเย้าพูด
“ในเมื่อเธอพูดแบบนี้ ฉันก็มีอีกเรื่องที่อยากจะถามพอดี” ซางกู้ลื่อพูด
“ถามมาได้เลยครับ”
“เธออยากได้ลูกศิษย์สักคนไหม?” ซางคู่จื่อถาม
“อะไรนะครับ?!” หวังเย้าตกใจอยู่ครู่หนึ่ง
“ลูกศิษย์? ลูกศิษย์แบบไหนเหรอครับ?”
“ก็ให้มาเรียนการรักษากับเธอน่ะสิ” ซางภู่จื่อพูด
“ผมขอไม่ปิดบังนะครับ” หวังเย้าพูด “ผมมีลูกศิษย์แล้วคนหนึ่ง เขาเป็นหมออยู่ที่โรงพยาบาลประจําเขต”
“แล้วเธออยากได้เพิ่มอีกคนไหมล่ะ? ฉันขอพูดตามตรง ฉันมีหลานชายอยู่คนหนึ่งที่กําลังเรียนแพทย์แผนจีนอยู่เขาถือว่าฉลาดมากตอนนี้ฉันก็แก่มากแล้วในฐานะที่เป็นปู่ของเขาฉันกลัวว่าฉันจะสอนเขาได้ไม่ดีพอแล้วความสามารถของพ่อกับอาของเขายังมีข้อจํากัดอยู่ถ้าเธออยากได้ลูกศิษย์อีกสักคนช่วยบอกฉันด้วยฉันจะได้พาเขามาเรียนกับเธอ
“ได้ครับ ผมคงต้องขอคิดเรื่องนี้ให้ดีดีก่อน” หวังเข้าตอบ
“ไหนๆคุณก็มาถึงที่นี่แล้ว อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนดีไหมครับ?” หวังเย้าถาม
“คงไม่ได้ ฉันมากับสองพ่อลูก ก็เลยต้องกลับไปพร้อมกับพวกเขา ยังมีเรื่องให้ต้องกลับไปจัดการที่บ้านด้วย”
“ถ้าอย่างนั้นผมเดินออกไปส่งนะครับ”
เขาเดินออกมาส่งซางกูจอที่รถ เขายังให้ชาไปหนึ่งถุง ซึ่งเป็นใบชาที่เขาเก็บมาจากบนเนิน
เขาหนานชาน
“ลองชิมชาดูนะครับ ผมปลูกเอง”
“ได้สิ ขอบใจนะ”
เด็กหนุ่มที่ชื่อเสี่ยวหนาน เอาแต่จดจ้องหวังเย้าอยู่ภายในรถ
“เป็นอะไรไป เสี่ยวหนาน?” พ่อของเขาถาม
“ลาก่อน” เด็กหนุ่มโบกมือให้หวังเย้า
“ลาก่อน” หวังเย้าตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
ชายวัยกลางคนประหลาดใจกับสถานการณ์ตรงหน้า
ภายในรถ ชายวัยกลางคนเอ่ยชม “หมอซาง หมอหวังเป็นหมอที่เก่งจริงๆ”
“ความสามารถในการรักษาของเขาเหนือชั้นมาก” ซางคู่จื่อพูด
ชายวัยกลางคนมองไปที่ลูกชายของเขา แววตาของเขาเต็มไปด้วยความรักนี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่เขาเห็นลูกชายของเขาเป็นฝ่ายเริ่มพูดกับคนอื่นก่อน
เด็กหนุ่มนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างรถเงียบๆ ไม่มีใครรู้ว่าเขากําลังคิดอะไรอยู่
เขาไม่ชอบพูดคุย ตั้งแต่ที่แม่ของเขาเสียไป เขาก็รู้สึกว่าโลกใบนี้มืดมิดเมื่อโลกมืดลงเขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะสื่อสารกับโลกใบนี้อีกต่อไปเขาจึงปิดกั้นตัวเองและไม่ยินดีที่จะพูดคุยกับคนอื่นเขาเป็นแบบนั้นแม้แต่ตอนที่อยู่กับพ่อและคนในครอบครัว
แล้วเขาก็ค่อยๆค้นพบว่า ความเงียบเป็นสิ่งที่ดีสําหรับเขา เขามองดูโลกใบนี้เงียบๆ มองดูผู้คนรอบกายเขา เขารู้ทุกอย่าง แต่เขาไม่พูดเขาคิดว่าเป็นแบบนี้ก็ดีแต่ครอบครัวของเขาเป็นห่วงเขา เขาจะเติบโตขึ้นไปโดยที่ไม่พูดหรือสื่อสารกับคนอื่นได้ยังไง?อย่างน้อยๆ เขาก็ควรตอบคําถามของคุณครูบ้างแต่น่าแปลกที่คะแนนของเขากลับดีมากเขาเป็นหนึ่งในสามอันดับแรกของห้องเรียน ทําให้ครูหลายคนยอมรับความจริงที่ว่าเขาไม่ยอมพูดตราบใดที่คะแนนของเขามากพอเขาจะไม่ยอมพูดก็ไม่เป็นไรถึงยังไงการสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็ไม่มีการสอบพูดและท่องจําอยู่แล้วแต่ครอบครัวของเขากลับไม่คิดแบบนั้นพวกเขาพาเขาไปรักษากับหมอหลายคนแต่ก็ไม่ได้ผลสําหรับเรื่องนั้นเสียวหนานเคยพูดกับเขาของเขาแล้วว่าเขาไม่ได้มีปัญหาอะไรแต่พ่อของเขากลับไม่คิดแบบนั้น หลังจากนั้นเขาก็ไม่คิดที่จะอธิบายอะไรอีกแม้แต่กับพ่อที่รักเขามากที่สุดในโลก
การกินยาและรับการรักษาทางกายภาพ รวมไปถึงการรักษาด้วยวิธีการพิเศษ เขาทํามาหมดแล้วไม่มีการรักษาไหนที่เห็นผลได้อย่างชัดเจน จนกระทั่งเขาได้มาพบกับหวังเย่าหลังจากกินยาของอีกฝ่าย เขาก็รู้สึกถึงความเย็นในหัวที่สําคัญไปกว่านั้นการที่อีกฝ่ายแตะที่หน้าผากของ เขามันดูเหมือนการแตะหน้าผากเฉยๆ แต่หวังเย้าได้พบกับกําแพงรวมไปถึงแผงป้องกันที่เด็กหนุ่มสร้างขึ้นมาภายในจิตใจเพื่อโดดเดี่ยวตนเองจากโลกภายนอกหวังเย้าได้สร้างรอยร้าวให้มันเด็กหนุ่มรู้สึกอยากพูดคุยกับคนรอบตัวเขามันเป็นความรู้สึกที่ไม่ได้เกิดขึ้นกับเขาเป็นเวลานานมากแล้ว
ทําไม? เขาเฝ้าถามตัวเองอยู่หลายครั้ง เขาถึงขั้นอยากถามหมอหวัง แต่ก็ระงับความอยากนั้นเอาไว้
ชายวัยกลางคนขับรถและมองดูลูกชายของเขาเป็นครั้งคราว
“เสี่ยวหนาน ลูกกําลังคิดอะไรอยู่เหรอ?”
“ไม่ได้คิดอะไรครับ” เสียวหนานตอบออกไปอย่างเผลอตัว
ชายวัยกลางคนคิด เขาได้มาอีกหนึ่งประโยคแล้ว! รอยยิ้มยินดีปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
นี่หมายความว่ามันได้ผลและเริ่มมีหวัง! เขาอารมณ์ดีมาก จนคิดไปว่า ภาพบรรยากาศในฤดูใบไม้ร่วงนั้นงดงามมาก
“ที่นี่เป็นที่ที่ดีจริงๆ!”
ในหมู่บ้าน หวังเย้าจดบันทึกอาการของเด็กหนุ่มเอาไว้
การรักษาของเขาควรได้ผลลัพธ์ที่ดี
ตอนที่เขาเดินออกไปนอกคลินิกและเห็นเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ภายในรถ เขาก็รู้ได้จากแววตาของอีกฝ่ายว่าการรักษานั้นได้ผลเพราะดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจครั้งแรกที่เขาเห็นเด็กหนุ่ม แวว ตาของเขากระจ่างใส เขาระมัดระวังกับผู้คนและโลกใบนี้มันจะเหมาะสมกว่า ถ้าหากจะพูดว่าเด็ก หนุ่มพูดปิดกั้นเอาไว้เขาได้สร้างเมืองสําหรับตัวเองและผนึกตัวเองเอาไว้ด้านในนั้นเขาเลิกติดต่อกับผู้คนที่อยู่ด้านนอกเขาเพียงออกมาผ่อนคลายเป็นครั้งคราวเท่านั้น แต่เมื่อกี้หวังเย้าเห็นว่าประตูเมืองบานนั้นถูกเปิดออกในตอนที่เด็กหนุ่มเป็นฝ่ายเริ่มพูดกับเขาก่อนถ้าเขามีเวลามากกว่านี้เขาคงจะพูดมากขึ้น
ยาเป็นเรื่องรอง พลังฉีคือตัวหลัก
เขาส่งพลังเข้าสู่จิตใจของเด็กหนุ่มด้วยวิธีการพิเศษ และกระแทรกมันใส่บานประตู
แล้วเรื่องที่หมอซางพูดกับเขาล่ะ? หรือฉันจะรับลูกศิษย์อีกคนดี?
ภายในบ้านของเจียจื้อจาย
เจี้ยจื้อจายกําลังนั่งหลับตาอยู่บนเบาะรองนั่ง หลังจากนั้นสักพัก อยู่ๆเขาก็กระโดดผลุง
“แปลก ทําไมฉันถึงเข้าถึงมันไม่ได้?” เขาขมวดคิ้ว
จงหลิวชวนได้สอนวิธีการหายใจของหวังเย้าให้กับเขา การฝึกฝนของเจียจื้อจายไม่ได้ราบรื่นเหมือนอย่างจงหลิวชวนเขาไม่สามารถแตะถึงขอบเขตนั้นได้การฝึกการหายใจดูเหมือนเป็นเรื่องง่ายแต่กลับเข้าถึงได้ยากที่สุดกระบวนการทั้งหมดขึ้นอยู่กับจิตใจและความคิด แทนที่จะเป็นเรื่องของสติปัญญาเมื่อพวกเขาเริ่มฝึก ความยากก็ได้เริ่มขึ้นแต่คนที่ไม่ได้มีพรสวรรค์สูงหรือถึงขั้นโง่เล็กน้อยในบางครั้งคนเหล่านี้กลับสามารถเริ่มต้นได้เร็วกว่า
ไม่ ไม่ได้!
เขาเดินกลับไปกลับมาอยู่ภายในห้อง
“นายเป็นอะไรไป?” หูเหมยเดินเข้ามาในห้องและเอ่ยถามออกไปเมื่อได้ยินเสียงบ่นพึมพําของเขา
“ฉันฝึกมาตั้งหลายวันแล้ว แต่ฉันก็ผ่านประตูบานนั้นไม่ได้สักที” เจี้ยจื้อจายพูด
“เป็นเพราะนายรีบร้อนเกินไปรึเปล่า?” หูเหมยถาม
“ฉันจะไปถามศิษย์พี่” เจี้ยจื้อจายจริงจังเรื่องการฝึกของเขามาก เห็นได้จากการที่เขาเรียกจงหลิวชวนว่าศิษย์ แม้จะเป็นตอนที่พวกเขาอยู่กันแค่สองคนแต่เขาก็ยังคงเรียกอีกฝ่ายว่าศิษย์พี่จงหลิวชวนไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้แต่เขาสนมันเป็นเกียรติที่ได้เรียนจากอีกฝ่ายและเขายังนับถืออีกฝ่ายเป็นเหมือนอาจารย์อีกคนของเขา เขาต้องทําตามกฏอย่างเคร่งครัดถึงคนอื่นจะไม่ใส่ใจก็ตามแต่
“ได้ ไปถามเขาดูเถอะ”
เจี้ยจื้อจายไปที่บ้านของจงหลิวชวน
“ศิษย์พี่”
“นายมีเรื่องอะไรเหรอ?” จงหลิวชวนถามด้วยรอยยิ้ม
“หลังจากที่พยายามอยู่หลายครั้ง ฉันก็ล้มเหลวตลอด” เจี้ยจื้อจายบอกเรื่องของเขาออกไป
“นายไม่พอใจและหงุดหงิด ก็เป็นธรรมดาที่นายจะเริ่มต้นได้ไม่ราบรื่นนัก” จงหลิวชวนชี้ให้เห็นถึงสาเหตุได้อย่างรวดเร็ว
“อย่างที่เขียนเชิงเคยพูดเอาไว้ว่า การฝึกของเราขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจ” จงหลิวชวนเทน้ําใส่แก้วให้เจี้ยจื้อจาย
“ในตอนเริ่มต้น การฝึกของฉันก็ช้ามาก แต่หลังจากที่ได้ฟังคําพูดของเชียนเชิงแล้วฉันก็เริ่มท่องคัมภีร์เตจากนั้นฉันก็เริ่มชอบมันและจิตใจของฉันก็เริ่มสงบลงทําให้การฝึกของฉันเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว”