Elixir Supplier - ตอนที่ 875 เคาะหมากรุก
หยางกวนเพิ่งกระจกบังลมหน้ารถ ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหุบเขาพันโอสถเล่นอยู่ในหัวของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เจอแล้ว!
ภาพหนึ่งถูกหยุดเอาไว้
มันเป็นประโยคคําพูดระหว่างเมี่ยวชิงชานกับเมี่ยวซีเหอที่อยู่ภายในบ้าน
ในเวลานั้น สีหน้าของเมี่ยวชิงชานคือความประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่าเขาคิดไม่ถึงมันเป็นเพราะคําพูดของเมี่ยวซีเหอหรือเพราะมือข้างนั้นถูกพบภายในบ้านของเขา?
“หัวหน้า พวกเราจะไปที่ไหนกันต่อครับ?” ชายหนุ่มขัดจังหวะความคิดของเขาถึงแม้จะมีเรื่องน่าสงสัยอยู่มากมายแต่ตอนนี้คงต้องพักไว้ก่อน
“ไปที่เขตเหอกัน”
“ครับ”
ในที่สุดรถก็ขับมาถึงถนนลาดยางจบการเดินทางไปบนถนนที่ขรุขระ
“ในที่สุดก็เจอถนนดีดีสักที!”
ตลอดการเดินทาง ทั้งสองพบเจอกับการขับรถจนตัวโยก ทั้งที่พวกเขายังไม่หายป่วยและร่างกายยังอ่อนเพลียอยู่เล็กน้อย
ไกลออกไปหลายพันไมล์ ในหมู่บ้านกลางเขา จงหลิวชวนกําลังเล่นหมากรุกอยู่กับเจี้ยจื้อจาย
กระดานหมากรุกเป็นแนวตั้งและแนวนอน มีหมากรุกที่ขาวดําวางสอดแทรกกันอยู่
“นายนี่เก่งจริงๆนะ” จงหลิวชวนพูดอย่างเหลืออด
“ทําไม? ศิษย์พี่ก่าลังชมฉันอยู่ใช่ไหม?” เจี้ยจื้อจายคิดอยู่นาน ก่อนจะวางหมากรุกลงบนกระดาน
“นายรีบร้อนมาหาฉันก็เพื่อเล่นเกมส์เรียงห้าเนี้ยนะ?”
“เกมส์เรียงห้าก็ถือว่าเป็นหมากรุกเหมือนกัน”เจี้ยจื้อจายพูด
“ตรงนี้”
จงหลิวชวนใช้มือหยิบหมากรุกสีดําและวางลงไป
“ศิษย์พี่”
“นายจะแพ้แล้วนะ”จงหลิวชวนพูด
“หา?”
เมื่อหมากสีดําถูกวางลงไป หมากทั้งห้าก็เรียงต่อกันเป็นแถวเดียว
“ฉันแพ้อีกแล้ว!”เจี้ยจื้อจายถอนหายใจขนาดเล่นมาได้ถึงครึ่งวันแล้วจบไปหลายตาเขาก็ยังไม่เคยชนะสักรอบ
“ฉันโดนนําเรื่องการฝึกฝนก็ช่างเถอะ เพราะเรื่องนี้ต้องใช้เวลา ระยะเวลาในการฝึกของฉันถือว่ายังน้อยแต่การที่ฉันแพ้เกมส์เรียงห้าแถมยังไม่เคยชนะเลยสักตาฉันไม่อยากยอมรับความพ่ายแพ้นี้เลยหรือจะเป็นเพราะการบ่มเพาะของศิษย์พี่สูงกว่าก็เลยทําให้ความสามารถในการเล่นหมากรุกสูงกว่าด้วย?”
“มันก็แค่ความบันเทิงในยามว่างเท่านั้น นายไม่เห็นต้องใส่ใจเรื่องแพ้ชนะให้มากเลย”จงหลิวชวนพูดด้วยรอยยิ้ม
“เฮ้อ ฉันก็แค่รู้สึกไม่ดีก็เท่านั้น มันไม่เห็นจะสนุกตรงไหนเลย” เจี่ยจื้อจายพูด
“ดื่มชาสักหน่อยสิ” จงหลิวชวนรินชาเขียวที่มีกลิ่นหอมให้เขา
“ขอบคุณ” เจี้ยจื้อจายจิบชา
“ยินดีกับการเริ่มต้นนะ” จงหลิวชวนพูด
“ศิษย์พี่มองเห็นด้วยเหรอ?” เจี้ยจื้อจายถามอย่างแปลกใจ
เขาอยู่ในจุดเริ่มต้นแล้ว พูดให้ชัดก็คือ ภายในร่างกายของเขาสัมผัสถึงพลังฉีได้เพียงเล็กน้อยสําหรับการฝึกแบบนี้แค่เริ่มต้นก็ถือว่ายากมากแล้วเขาต้องใช้ความอดทนในการฝึกมันถือเป็นการทดสอบตัวเขาด้วย และเป็นเรื่องยากในการปรับตัวแต่ตราบใดที่เขายังมีใจเขาก็ยังไปต่อได้
“ฉันมองไม่เห็น แต่ฉันสัมผัสได้” จงหลิวชวนพูด “ถึงยังไงเราก็เรียนจากอาจารย์เดียวกันสิ่งที่เราเรียนรู้ก็เป็นวิธีการเพิ่มพลังฉีที่ได้มากจากเชียนเชิงเหมือนกันหลังจากที่พวกเราเริ่มพลังของเราก็จะเปลี่ยนไปการเปลี่ยนแปลงนี้คนอื่นอาจไม่สังเกตเห็นแต่ฉันสามารถตรวจจับมันได้แล้วก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยด้วย”
“ตอนที่ฉันรู้สึกถึงพลังฉีได้ ฉันแทบอยากจะร้องไห้ออกมาเลยล่ะ” เจี้ยจื้อจายพูด
“ร้องไห้เพราะความสุขน่ะเหรอ?”
“บอกความจริงกับฉันหน่อยสิ ตอนนั้นศิษย์พี่รู้สึกยังไงบ้าง?”
“ตอนนั้นฉันรู้สึกยังไงเหรอ?ฉันจะบอกยังไงดีล่ะ?”จงหลิวชวนคิดเรื่องนั้น
“มีความสุขมาก”
“แค่มีความสุขเหรอ?”
“อึม ใช่ มันเหมือนกับฉันได้เปิดบานประตูและค้นพบโลกใบใหม่ มันทําให้ฉันตื่นเต้นมาก”
ในตอนเริ่มแรกของการได้สัมผัสพลังฉีจงหลิวชวนมีความสุขมาก ในเวลานั้นสภาพจิตใจและจิตวิญญาณของเขาต่างจากปัจจุบันอยู่มากดังนั้นเขาจึงแสดงความสึกอย่างที่ใจต้องการออกมาได้
หูเหมยก็มีความสุขเช่นกัน
“ยังมีเรื่องอื่นอีกใช่ไหม?” จงหลิวชวนถามด้วยรอยยิ้ม
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่งเรื่องนี้ศิษย์พี่ก็ยังมองออกดูเหมือนการบ่มเพาะพลังฉีของฉันยังแย่อยู่มาก!”
“ฮาฮานายยังอยู่อีกไกล”จงหลิวชวนพูด
“พูดมาสิ ว่าเรื่องอะไร?”
“หเหมยก็อยากเรียนกับเชียนเชิงเหมือนกันน่ะสิ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปถามเชียนเชิงดูสิ” จงหลิวชวนพูด
“แล้วเชียนเชิงจะตกลงรึเปล่า?”
“เขาต้องตกลงอยู่แล้ว สภาพจิตใจและจิตวิญญาณของหูเหมยเหนือกว่านายเขาตกลงแน่”จงหลิวชวนพูด
“ศิษย์พี่ ถ้ายังพูดขวานผ่าซากอยู่แบบนี้จะหาเพื่อนไม่ได้เอานะ” เจี้ยจื้อจายพูด
“ฮาฮา ไปคุยกับเชียนเชิงซะสิ”
“อืม ได้”
ด้านนอกคลินิก ลมเย็นพัดโชยมา
ท้องฟ้ายังคงสดใส
ภายในคลินิก มีผู้หญิงวัยประมาณห้าสิบนั่งอยู่
“หมอหวังมีแฟนแล้วรึยัง? ฉันรู้จักผู้หญิงสวยมากอยู่คนหนึ่ง ให้ฉันแนะนําเธอให้ดีไหม?”เธอที่มาเพื่อรับการรักษากําลังพยายามแนะนําคู่ให้กับหวังเย้า
“ขอบคุณนะครับ แต่ผมมีแฟนแล้ว” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาพบเจอกับสถานการณ์แบบนี้
“อย่างนั้นเหรอ? น่าเสียดายจริงๆ” เธอแสดงท่าทีว่าเสียดาย
“ยังมีเรื่องอื่นอีกไหมครับ?”
“ไม่มีแล้ว ขอบใจนะ”
“ยินดีครับ เดินทางปลอดภัย
หลังจากที่เธอออกไปได้ไม่นาน เจี้ยจื้อจายก็เข้ามาในคลินิก
“เชียนเชิง”
“ครับ มานั่งสิ มีเรื่องอะไรให้ผมช่วยเหรอ?”
“มีครับ มีอยู่เรื่องหนึ่ง”
“ถ้ามีก็พูดมาได้เลย”
“หูเหมยอยากเป็นลูกศิษย์และเรียนกับเชียนเชิงครับ”
“ได้สิครับ” หวังเย้าพูดอย่างยินดี
“หา เชียนเชิงยอมตกลงเหรอเนี่ย” เจี้ยจื้อจายตกตะลึง เขาไม่คิดว่าหวังเย้าจะตอบตกลงง่ายขนาดนี้
“ใช่ครับ ผมตกลง ทําไมเหรอครับ?” หวังเย้าถาม
“เอ่อ ผมแค่รู้สึกว่า ความสุขมาถึงอย่างกะทันหันเกินไปก็เท่านั้น” เจี่ยจื้อจายพูด
“ผมจะไปพาเธอมาคาราวะอาจารย์อย่างเป็นทางการนะครับ”
“ไม่จําเป็นเลยครับ ไม่ต้องทําอะไรที่เป็นทางการแบบนั้นหรอก คุณสามารถสอนสิ่งที่ผมสอนให้กับเธอได้เลย
“ผมจะทําแบบนั้นได้ยังไงกันครับ เชียนเชิง?”
เจี้ยจื้อจายรีบออกไปและกลับมาด้วยความเร่งรีบเขาไม่ได้มาแค่คนเดียวแต่ยังมีภรรยาของเขาหูเหมยติดตามมาด้วย
“เชียนเชิง”
“ผมบอกแล้วว่าไม่จําเป็น”
ถึงเขาจะพูดแบบนั้นออกไปแล้ว แต่หูเหมยก็ยังดึงดันที่จะทําการคาราวะอาจารย์อย่างเป็นทางการอยู่ดี
“คุณมีหน้าที่ส่งต่อความรู้ให้กับเธอ” หวังเย้าพูดกับเจี๊ยซื้อจาย
“ไม่มีปัญหาครับ”
เจียจือจายกับภรรยาของเขาต่างจากไปอย่างมีความสุข
“เธอรู้สึกยังไง?”
“ดีมาก” หูเหมยตอบ
“พอกลับไปถึงที่บ้านแล้ว ฉันจะสอนขั้นพื้นฐานให้กับเธอเอง”
“ได้”
“จริงด้วย ฉันยังต้องบอกเรื่องนี้กับศิษย์พี่ เธอก็ไปกับฉันด้วยสิ”
ทั้งสองพากันไปที่บ้านของจงหลิวชวน
“เชียนเชิงตกลงไหม?”
“เขาตกลง
“ศิษย์พี่”
“ศิษย์น้อง”
และอย่างที่เห็น หวังเย้าก็ได้มีลูกศิษย์เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน
คืนนั้น ฝนเริ่มตกลงมาและตกไปตลอดทั้งคืน พอถึงตอนเช้าก็ยังคงตกปรอยๆ
“เฮ้อ อากาศแบบนี้” เจี้ยจื้อจายยืนมองท้องฟ้ามืดครึมอยู่ตรงประตู เดิมเขาอยากออกไปออกกําลังกายและฝึกฝนข้างนอกแต่เมื่อมองดูท้องฟ้าแล้วเขาก็ต้องทิ้งความคิดนั้นไป
ภายในบ้านอีกหลังหนึ่ง จงหลิวชวนกางร่มและเดินขึ้นไปบนเนินเขาตงชาน
ฝนเบาบางและตกลงมาเป็นพักๆ ลมที่พัดมาเย็นเล็กน้อย หลังจากฝนตกตลอดทั้งคืนถนนจึงกลายเป็นดินโคลนจงหลิวชวนเดินขึ้นเขาโดยไม่ได้รับผลกระทบนั้นเลย
บนเนินเขาตงชานมีจุดหนึ่งที่ยุบลงไป มันเป็นถ้ำธรรมชาติที่ประกอบขึ้นมาจากหินถึงด้านนอกจะมีลมฝนแต่ภายในถ้ำก็ยังคงแห้ง จงหลิวชวนจึงเข้าไปฝึกฝนอยู่ด้านในนั้น
สภาพแวดล้อมของบ้านหลายหลังที่บริเวณตีนเขาก็ไม่อาจเทียบได้กับสภาพแวดล้อมบนเขา
ที่มากไปกว่านั้น ฝนและลมแค่นี้ไม่ได้นับเป็นอะไรเลย
บนเนินเขาหนานชาน หวังเย้ากําลังฝึกหมัดมวยท่ามกลางลมฝน
“ดูเหมือนว่าฝนจะยังตกต่อไปอีกหลายวัน”
เมื่อฝนตก คนก็มารักษาน้อยลง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีใครมาเลยบางคนยังคงขับรถมาเพื่อรับการรักษา
“หมอหวังช่วยดูขาข้างนี้ของฉันให้หน่อยได้ไหม? มันเป็นอะไรกันแน่?”
เช้าวันนี้ หญิงวัยห้าสิบมาที่คลินิก ลูกชายของเธอได้เดินทางมาเป็นเพื่อนด้วยขาของเธอมีสีออกเทาและมีบางส่วนที่หลุดลอกออกมาสภาพของมันดูคล้ายกับโรคสะเก็ดเงิน
“เริ่มเป็นมานานรึยังครับ?”
“เอ่อ ตั้งแต่เริ่มเข้าฤดูใบไม้ร่วง ตอนแรกฉันก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่ แต่มันก็เริ่มแย่ลงเรื่อยๆ”
“มันเริ่มแย่ลงหลังจากที่คุณอาบน้ำใช่ไหมครับ?”
“โอ้ ใช่ๆ”
“ฮาฮา มันไม่ได้เป็นอะไรหรอกครับ แค่ผิวแห้งเท่านั้น กลับไปก็ใช้น้ำอุ่นล้างจากนั้นก็ใส่ครีมบํารุงผิวลงไป ไม่กี่วันก็ดีขึ้นเองครับ”
“แค่นั้นเหรอ?ง่ายๆแค่นั้นจริงเหรอ?” เธอถามอย่างแปลกใจ
“ใช่ครับง่ายๆแค่นั้น ไม่ได้เป็นอะไรมากเลยครับ”
“อ้อ ขอบคุณมากนะ”
“ยินดีครับ เดินระวังๆนะครับ” หวังเฝ้าพูด
ชายหนุ่มที่มาด้วยกันยิ้มและพูดกับแม่ของเขาว่า “เห็นไหม ผมบอกแม่แล้วว่าไม่ได้เป็นอะไร”
“เฮ้อ ในเมื่อไม่ได้เป็นอะไรแม่ก็โล่งอก” เธอพูด “มันไม่เจ็บไม่คันเลยสักนิด แม่ก็เลยกลัวว่าจะเป็นโรคผิวหนังน่ะสิ”