Elixir Supplier - ตอนที่ 887 รอแล้วรอเล่า
887 รอแล้วรอเล่า
“ช่วยมีจิตสํานึกเวลาพูดหน่อยได้ไหม?” เจี้ยจื้อจายถาม “อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะคุณไม่ระวังเอง แล้วผมก็ดันผ่านไปตอนนั้นพอดี จากนั้น คุณก็ลุกขึ้นมาตะคอกใส่ผม ผมเถียงกับคุณไปได้สักพัก คุณก็เริ่มลงไม้ลงมือ ผมก็แค่สู้กลับง่ายๆแค่นี้ อย่าสับสนผิดถูกสิ คุณจะทําผิดกฎ เพราะแค่คุณขับบีเอ็มไม่ได้หรอกนะ จริงไหมครับคุณตํารวจ?”
“แก” หลังจากได้ฟังแล้ว ผู้อํานวยการเจ๋งก็สูดลมหายใจเข้าลึกและไม่พูดอะไรอีก เขาเงียบปาก เขาพบว่าฝีปากของชายคนนี้ไม่ต่างจากพวกนักพูดในเทียนเฉียว ฝีปากของเขาเหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไป
“อืม ไม่มีทั้งภาพจากกล้องวงจรปิดหรือพยาน” ตํารวจนายหนึ่งพูด “คุณเจิ้ง พอจะคิดหารายละเอียดอย่างอื่นเพิ่มได้ไหมครับ?”
พวกเขาลังเลที่จะมาอยู่แล้ว เรื่องนี้เป็นแค่คดีทะเลาะวิวาทเท่านั้น มันไม่ใช่คดีอาชญากรรม แต่เพราะผู้อํานวยการเจ๋งมีความสัมพันธ์กับหัวหน้าของพวกเขา เจ้าหน้าที่ตํารวจเลยถูกสั่งให้มาทําการสืบสวนที่หมู่บ้านแห่งนี้ พวกเขาเลยต้องถ่อขับรถมาที่หมู่บ้านกลางเขาเพื่อจัดการกับคดีทะเลาะวิวาท ใครมันจะไปอยากทําแบบนั้นกัน? ถึงแม้พวกเขาจะไม่พูดอะไร แต่พวกเขาก็คิดอยู่ในใจ พวกเขาจึงไม่ยินดีช่วยเหลือเขาเท่าไหร่นัก
“เอ่อ ผมไม่มีอะไรเพิ่มเติมแล้ว” ผู้อ่านวยการเพิ่งพูด
ในตอนที่พวกเขากําลังคุยกันอยู่นั้น หวังเย้าก็เดินออกมาจากคลินิก
“เชียนเชิง”
“หมอหวัง” ตํารวจนายหนึ่งรู้จักหวังเย้า ในเมื่อสมาชิกครอบครัวสามารถป่วยไข้ได้ทุกเมื่อ เขาจึงได้ยินเรื่องของหวังเย้าจากญาติและเพื่อนของเขาอยู่บ่อยครั้ง พวกเขาล้วนชื่นชมฝีมือการรักษาของหมอหวัง ตราบใดที่ไปรักษากับเขา ก็ไม่มีโรคไหนที่เขารักษาไม่ได้ เขาสามารถรักษาโรคยากๆที่โรงพยาบาลประจําเขตรักษาไม่ได้ หวังเย้าจึงเป็นคนดังของเขตเหลียนชาน
“มีเรื่องอะไรกันเหรอครับ?” หวังเย้าได้ยินบทสนทนาของพวกเขาตั้งแต่ตอนที่อยู่ด้านในแล้ว
“ไม่มีอะไรครับ ผมแค่ทะเลาะกับผู้ชายคนนี้นิดหน่อยเท่านั้น แล้วผมก็ก่าลังให้ความร่วมมือกับคุณตํารวจอยู่” เจี่ยจื้อจายพูด
“คุณนี่เอง!” หวังเฝ้ามองไปทางผู้อ่านวยการเจิ้ง “ผมไม่เจอคุณแค่วันเดียว ทําไมหน้ากับจมูกของคุณถึงได้บวม ทั้งยังเขียวชําแบบนั้นได้ล่ะครับ?”
มันฟังดูเหมือนเขากําลังตอกย่าลงไปในแผลของอีกฝ่าย
พวกแกต้องเป็นพวกเดียวกันแน่! เมื่อคิดได้แบบนั้น ผู้อํานวยการเจิ้งก็หยุดพูด และเมื่อมองไปทางเจ้าหน้าที่ตํารวจสองนายที่ยืนอยู่ข้างกัน เขาไม่คิดเลยว่า ท่าทีที่พวกเขาแสดงออกต่อหวังเย้าจะมีทั้งความอ่อนน้อมและเคารพได้ขนาดนี้
นี่มันเรื่องอะไรกัน? พวกเขารู้จักกันมาก่อนเหรอ? แต่ฉันเป็นคนจ่ายเงินนะ!
“เอาล่ะครับ เราควรพอแค่นี้ ขอโทษที่ต้องรบกวนคุณนะครับ” หลังจากสอบถามพอเป็นพิธีแล้ว เจ้าหน้าที่ตํารวจก็จบการสืบสวนของพวกเขา
“จบแล้วเหรอ?” ผู้อ่านวยการเจ๋งไม่ยินยอมที่จะปล่อยเรื่องนี้ไป ผลลัพธ์มันต่างไปจากที่เขาคิดเอาไว้มาก
“มันจบเท่านี้ครับ คุณเจ๋ง” ตํารวจพูด “การสืบสวนและเก็บหลักฐานเสร็จสิ้นแล้ว หลังจากนี้ไม่กี่วัน เราจะรายงานผลการสืบสวนของวันนี้และส่งไปให้ทางหน่วยงานนะครับ ส่วนเรื่องที่ว่าคุณจะทํายังไงต่อไปนั้น คุณสามารถรอการแจ้งจากเราได้”
“แก…แก…” ผู้อ่านวยการเพิ่งได้แต่อึ้ง
เขามองเจ้าหน้าที่ตํารวจที่จากไป ถึงแม้ว่าเขาไม่ยินยอม แต่เขาก็ทําได้เพียงขับรถกลับไปกับพวกเขา เขาไม่กล้าอยู่ที่นี่ต่อด้วยกลัวว่า เขาอาจจะโมโหจนป่วยหรือโดนอีกฝ่ายทุบตี
“ขอโทษด้วยนะครับ เขียนเชิง”
“ไม่เป็นไรครับ” หวังเย้าหัวเราะ
ช่วงบ่ายคล้อย ฝนเริ่มโปรยลงมาเล็กน้อยและลมเย็นพัดโชยมา ทําให้อุณหภูมิลดลง
ท้องฟ้าเริ่มมืดลง
ในตอนที่กําลังทานอาหารอยู่นั้น จางซิวหยิงก็พูดขึ้นมาว่า “อากาศเย็นลงแล้ว ตอนอยู่บนเขา ลูกต้องใส่เสื้อผ้าเพิ่มด้วยนะ”
“แม่ บนเขาอากาศไม่ต่างจากฤดูใบไม้ผลิเลยนะครับ” หวังเย้าพูด “มันไม่เป็นอะไรหรอก”
หลังทานอาหาร หวังเย้าก็นวดให้พ่อแม่ของเขา ในทุกครั้งที่นวด เขาจะส่งพลังฉีเข้าไปในร่างกายของทั้งสองเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงให้ร่างกายของพวกเขา ผลที่ออกมานั้นเห็นได้อย่างชัดเจน ผมขาวได้กลับมาเป็นสีดํา ผิวพรรณเป็นประกาย ทั้งสองดูกระฉับกระเฉงตลอดเวลา
“เสี่ยวซวีอยู่ที่ปักกิ่งสบายดีไหมจ๊ะ?” แม่ของเขาถาม
“เธอสบายดีครับ” หวังเย้าพูด “ผมเพิ่งคุยกับเธอไปเมื่อวาน”
“แม่เพิ่งได้ดูพยากรณ์อากาศไป” แม่ของเขาพูด “อุณหภูมิในปักกิ่งลดลงเร็วมาก บอกเสียวซวีด้วยว่าให้ใส่เสื้อผ้าอุ่นๆเข้าไว้จะได้ไม่เป็นหวัด” ถึงพวกเขายังไม่ได้แต่งงานกัน แต่เธอก็ใส่ใจลูกสะใภ้ในอนาคตคนนี้มาก
“ได้ครับ ไว้ผมจะบอกเธอวันนี้เอง” หวังเย้าพูด
“อย่ามัวอยู่แต่ในหมู่บ้านแบบนี้สิ” จางซิวหยิงพูด “ลูกควรไปอยู่เป็นเพื่อนเสี่ยวซวีที่ปักกิ่ง เราเป็นผู้ชายก็ต้องลงมืออะไรบ้าง”
“ครับ” หวังเย้าตอบเสียงเบา
“เรื่องที่บ้านก็ไม่ได้มีอะไรอยู่แล้ว” จางซิวหยิงพูด “สมุนไพรบนเขาก็ปล่อยให้พ่อกับลูกศิษย์สามคนของลูกช่วยดูแลให้ก็ได้”
“ครับ อีกสักสองวันหลังจากนี้ ผมกําลังคิดว่าจะไปหาเสี่ยวซวีอยู่พอดี” หวังเย้าพูด
“ไปเถอะ” หวังเฟิงฮวาที่กําลังดูทีวีแต่ก็ฟังพวกเขาคุยกันไปด้วยพูดขึ้นมา
เมื่อหวังเย้าเดินออกมาจากบ้านก็เป็นเวลาสามทุ่มแล้ว เขามองเห็นชายคนหนึ่งกําลังขี่มอเตอร์ไซด์มาจากทางทิศเหนือของหมู่บ้าน
“กําลังจะขึ้นไปบนเขาเหรอ?”
“ครับ พี่เพิ่งกลับมาเหรอ?”
หวังเจ๋อเชิงขี่มอเตอร์ไซด์ในสภาพอากาศที่หนาวเย็นอย่างมาก เขาสวมใส่เพียงเสื้อตัวเก่า และดูเหนื่อยล้าอย่างมาก
“มีงานต้องทําที่โรงงาน ฉันก็เลยต้องทํางานล่วงเวลาน่ะ” หวังเจ๋อเชิงพูด ช่วงนี้ทางโรงงานได้รับออเดอร์เข้ามามาก เขาจึงต้องอยู่ทํางานล่วงเวลาอยู่บ่อยครั้ง
ภรรยาของเขาไม่ได้ทํางาน และเขาก็ต้องรับผิดชอบความเป็นอยู่ของคนทั้งบ้าน มันจึงเป็นเรื่องยากที่เขาต้องแบกรับทุกอย่างไว้คนเดียว
“สุขภาพเป็นเรื่องสําคัญที่สุดนะครับ” หวังเย้าพูด “หาเวลาพักบ้าง พี่เหนื่อยเกินไปแล้ว”
แค่มองไปที่ตาของหวังเจ๋อเชิง เขาก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายเหนื่อยล้าแค่ไหน เขาต้องทํางานมาอย่างน้อย 12 ชั่วโมง และเป็นงานที่ใช้แรงอย่างหนัก
“อืม รอให้งานไม่ยุ่งมากแล้วฉันค่อยพัก” หวังเจ๋อเชิงพูด
เป็นคําว่า “รอ” อีกครั้งแล้ว รอเขามีเงิน…รอให้เขามีเวลา..รออีกสองวัน…รอให้แก่กว่านี้…
“รอ” มีหลายรูปแบบ เช่นรอจนกระทั่งดอกไม้ร่วงโรยหรือใบไม้ร่วงหล่น หลังจากนั้นไม่นานหนึ่งปีก็ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเรามองย้อนกลับไป ก็จะเห็นว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว
ไม่มีใครรู้อนาคต ดังนั้น การคว้าจับปัจจุบันเอาไว้คือสิ่งสําคัญที่สุด
“ฉันกลับก่อนนะ ที่บ้านกําลังรอฉันอยู่” หวังเจ๋อเชิงพูด
“กลับเถอะครับ จริงสิ โรงงานผลิตยากําลังจะเริ่มการผลิตแล้วนะครับ” หวังเย้าพูด “ถ้าพี่อยากไปทํางานที่นั่นก็ไปบอกพวกเขาได้เลยว่าผมแนะน่ามา”
“อ่อ ได้ ขอบคุณนะ” หวังเจ๋อเชิงพูด “หลังจากนี้ฉันจะเชิญนายมากินข้าวที่บ้านนะ”
“ไม่จําเป็นหรอกครับ” หวังเย้าพูด “รีบกลับเถอะครับ ที่บ้านรอพี่อยู่”
“งั้นฉันไปล่ะ”
หวังเจ๋อเชิงขี่มอเตอร์ไซด์ไปทางทิศใต้ของหมู่บ้าน
เมื่อหวังเย้าเดินมาถึงทางที่หวังเจ๋อเชิงขี่มอเตอร์ไซด์ไป เขาก็ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบและหัวเราะของเด็กๆ พวกเขามีความสุขกันอย่างเห็นได้ชัด เขาหันหน้าไปทางที่ได้ยินเสียง เสียงนั้นดังมาจากบ้านของหวังเจ๋อเชิง พร้อมแสงไฟที่อบอุ่น
อะไรที่จะทําให้คนมีความสุขที่สุดในโลกได้มากกว่าการได้อยู่กับครอบครัวอย่างมีความสุข และสุขภาพแข็งแรง?
ดี!!
หวังเย้ายิ้มและเดินไปบนถนนขึ้นเขาที่มืดมิด แสงไฟปรากฏขึ้นบนเนินเขาหนานชาน หากมีคนมองขึ้นไป ก็จะเห็นแสงไฟได้จากที่ไกลๆเป็นครั้งคราว
หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีเสียงท่องคัมภีร์ดังขึ้นบนเขา
สุนัขก่าลังนอนหูตั้งอยู่ในบ้านสุนัข อินทรีย์กระพือปีกเป็นครั้งคราวอยู่บนยอดไม้ มีเสียงซวบซาบดังขึ้น งูสีดําเลื่อยออกมาและห้อยตัวอยู่ที่ชายคากระท่อม พวกมันฟังเสียงท่องคัมภีร์ที่ดังออกมาจากด้านในกระท่อม
กลางดึก เมื่อเสียงท่องคัมภีร์เงียบไป สุนัขนอนหลับ อินทรีย์หลับตา และงูดําก็เลื้อยกลับเข้าไปในภูเขา
ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในคืนนั้น
เช้าตรู่ของวันถัดมา สภาพอากาศมืดมัว สายลมเย็นเยียบ
หลังการฝึกเสร็จสิ้น ลูกศิษย์ทั้งสามของหวังเย้าก็มาที่คลินิก พวกเขาดื่มยาไปหนึ่งถ้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาทําติดต่อกันมาหลายวันแล้ว
“เอาล่ะ มันน่าจะได้ผลบ้างแล้ว” หวังเย้าพิมพ์
“เชียนเชิงพูดว่าอะไรนะครับ?”
“อ่อ ไม่มีอะไรครับ พวกคุณไปได้แล้ว” หวังเย้าโบกมือให้ด้วยรอยยิ้ม เมื่อพวกเขากลับออกไปเจิ้งเหว่ยจวินก็เดินเข้ามา
“เลือกวันได้แล้วนะครับ” เขาพูด “เป็นวันที่ 26 พฤศจิกายน เป็นวันมงคล ทําให้ทุกอย่างราบรื่นครับ”
“ได้ครับ ผมจะไปวันนั้น” หวังเย้าพูด
“วันนั้น เรามีแผนจะทดลองเครื่องจักรและผลิตยาตามสูตรที่เชียนเชิงให้มาด้วยครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด
“ได้ครับ สมุนไพรจะต้องเป็นสมุนไพรป่าและไม่มีสารเคมีปนเปื้อนนะครับ” หวังเย้าพูด “ผมพอมีอยู่บ้าง คุณเอาไปใช้ได้เลย”
“ครับ ผมเข้าใจแล้ว” เจิ้งเหว่ยจวินพูด “ผมรับประกันคุณภาพของวัตถุดิบทํายา เชียนเชิงวางใจได้เลยครับ”
ตระกูลเจิ้งมีธุรกิจเกี่ยวกับการจัดหาวัตถุดิบทํายา พวกเขาจึงมีช่องทางให้ได้สมุนไพรระดับสูงมาไว้ในมือ
“ดีครับ” หวังเย้าพูด
หลังจากแจ้งวันกับหวังเย้าเรียบร้อยแล้ว เจิ้งเหว่ยจวินก็กลับไป
บริษัทหนานชานเภสัชที่กําลังจะเริ่มการผลิต ล้วนเกิดจากน้ําพักน้ําแรงของเขา เขาเหน็ดเหนื่อยกับการต่อสู้กับคนในตระกูลและสละสิทธิ์ที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่ในกํามือของเขาไป ตอนนี้ เขามีแค่บริษัทนี้เท่านั้น ในเมื่อเขาได้มันมาอย่างชอบธรรม เขาก็อยากทําให้มันออกมาดี
ยังมีงานให้ทําอีกมากก่อนที่การผลิตจะเริ่มขึ้น นี่คือการลงทุนก้อนใหญ่ในเขตเหลียนชาน และเป็นบริษัทผลิตยาแห่งแรกในเขตเล็กๆแห่งนี้ ชีวการแพทย์คืออุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ดังนั้น ทางเขตจึงให้ความสําคัญเป็นอย่างมาก มีเจ้าหน้าที่จากทั้งในเขตและเมืองเดินทางมาเพื่อตัดริบบิ้น มีหลายเรื่องที่ต้องเตรียมและพิจารณาให้รอบคอบ
ตั้งแต่นี้ไป เราจะหยั่งรากลงที่นี่ เจิ้งเหว่ยจวินคิด
การปล่อยสินค้าล็อตแรกก็เป็นเรื่องสําคัญเช่นเดียวกัน เขาเชื่อในฝีมือของหวังเย้า ดังนั้น เขาจึงมั่นใจในตัวยาตัวนี้มาก
หลังมือเที่ยง หวังยหลงก็มาที่คลินิก
เมื่อเห็นชายชราเดินเข้ามา หวังเย้าก็รีบเอ่ยทักทายเขา “คุณลุง มาหาผมเหรอครับ?”
“อืม อยากรู้ว่าโรคนี้จะหายเมื่อไหร่เหรอ?” หวังยหลงถาม
ยังคงเป็นปัญหาเดิม
“โรคนี้ต้องใช้เวลารักษาช่วงระยะหนึ่ง ขั้นตอนมันอาจจะช้าสักหน่อยนะครับ”
“เธอช่วยรีบหน่อยไม่ได้เหรอ?” ชายชราถาม “ถึงจะส่งผลเสียกับฉันสักหน่อยก็ไม่เป็นไร”
“ทําไมอยู่ๆลุงถึงได้คิดแบบนั้นล่ะครับ? หรือลุงมีปัญหาอะไร?”
“หลายวันมานี้ เจ๋อเชิงต้องทํางานล่วงเวลาทุกวัน น้ําหนักของเขาลดลงไปมาก” ชายชราพูด “ฉันช่วยอะไรไม่ได้เลย แล้วยังต้องเสียเงินเพื่อรักษาฉันอีก”
ลูกชายของเขาทํางานนอกบ้านทุกวัน กว่าเขาจะกลับเข้าบ้านก็สามทุ่มกว่าแล้ว เขาทําแบบนี้มาได้เดือนกว่าแล้ว เขาที่เป็นพ่อรู้สึกเหนื่อยแทนลูกชายมาก เขาจึงคิดว่า ถ้าเขาหายเร็วขึ้น พวกเขาก็ไม่ต้องเสียเงินมากมายไปกับค่ายา ยิ่งเขาหายเร็วเท่าไหร่ ก็จะเหลือเงินไว้ใช้ในบ้านมากขึ้นเท่านั้น