Elixir Supplier - ตอนที่ 894 คนงามมาถึงท่ามกลางพายุหิมะ
894 คนงามมาถึงท่ามกลางพายุหิมะ
“พวกเขาทําไปเพื่ออะไร?” กั๋วเจิ้งเหอถาม “เพียงแค่เพราะสัตว์ประหลาดตัวนี้ที่ไม่รู้ว่ามันคือตัวอะไรงั้นเหรอ?”
“เรื่องนั้นผมไม่รู้ ผมคงต้องถามคนคนนั้นดู” เสวี่ยซินหยวนพูด
“ดีครับ แต่ลุงต้องใส่ใจและระวังเรื่องความปลอดภัยของตัวเองด้วย ครั้งนี้ หยางกวนเฟิงกับลูกน้องของเขาเจออุปสรรคในตอนที่ไปสืบเรื่องคดีที่หุบเขาพันโอสถ และอุปสรรคที่ว่าก็คือทางเบื้องบนของจังหวัด ผมคิดว่า หุบเขาพันโอสถไม่ใช่สรวงสรรค์อย่างที่ทุกคนเห็น
“ครับ ผมเข้าใจแล้ว”
“รอเดี๋ยวครับ คุณชาย หรือเราจะโทรถามเขาตอนนี้เลยครับ?”
เสวี่ยซินหยวนโทรหาชายที่หลบหนีออกมาจากหุบเขาพันโอสถต่อหน้ากั๋วเจิ้งเหอ เขาถามหลากหลายค่าถาม และเน้นไปที่เรื่องทะเลสาบฝังเทพเจ้า
“อะไรนะ? เขาหายตัวไป? นายแน่ใจนะ?” ในระหว่างบทสนทนาของพวกเขา เสวี่ยซินหยวนได้รับรู้อีกข่าวหนึ่ง
“ได้ ฉันเข้าใจแล้ว นายอยู่ทางนั้นก็ระวังเรื่องความปลอดภัยของตัวเองด้วย ได้ ได้ โอเค” หลังจากวางสาย เสวี่ยซินหยวนก็สูดลมหายใจลึกอยู่สักพัก
“มีเรื่องอะไรเหรอครับ?”
“ในเขตหลินเซียน มีคนหนึ่งที่หนีออกมาจากหุบเขาพันโอสถหายตัวไปเมื่อสองวันก่อนครับ” “สองวันก่อน?” กั๋วเจิ้งเหอตกตะลึง “อืม เมื่อวานซืน ที่เขตหลินเซียนมีประกาศจับคน บอกว่ามีผู้ต้องสงสัยลักพาตัวคนไป!”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา สายตาของทั้งสองก็เลื่อนไปทางรูปภาพที่วางอยู่บนโต๊ะ
บนพื้นผิวทะเลสาบ…
บนแพไม่ไผ่…
ชายคนหนึ่งที่นอนอยู่บนนั้น
หรือเขาจะกลายเป็นอาหารของสัตว์ประหลาดไปแล้ว?
“หรือจะเป็นเขา?”
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
“หรือจะเป็นการลงโทษคนทรยศ?” เสวี่ยซินหยวนถาม “ทั้งที่เขตเหอเพิ่งเกิดเหตุฆาตกรรมขึ้น แล้วทําไมพวกเขาถึงได้เลือกลงมือในช่วงเวลาวิกฤตแบบนี้ด้วย?”
“บางที คนในหุบเขาพันโอสถอาจรู้เรื่องการฆาตกรรมที่เกิดขึ้นในเขตเหอแล้วก็ได้ และพวกเขาก็รู้ว่าตัวเองกลายเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีนี้” กั๋วเจิ้งเหอพูด “ในเมื่อพวกเขาไม่ได้ทํา พวกเขาก็ต้องคิดได้ว่าตัวเองถูกใส่ร้าย พวกเขาจึงสงสัยว่าเป็นฝีมือของคนที่หนีออกจากหุบเขาไป พวกเขาเลยส่งคนออกไปน่าตัวคนพวกนั้นกลับมาสอบถาม และลงโทษพวกเขาด้วยวิธีการอย่างในภาพถ่าย”
การคาดเดาฟังดูสมเหตุสมผลมาก
“มันมีความเป็นไปได้มากเลยครับ” เสวี่ยซินหยวนเห็นด้วย
“ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็แสดงว่าสองคดีแรกแทบไม่มีความเกี่ยวข้องกับพวกเขาเลย และจากที่ผมได้คุยกับคนพวกนั้น พวกเขาก็ดูไม่เหมือนคนที่ท่าเรื่องพวกนั้น ความจริง ในตอนแรกพวกเขาก็มีความคิดที่จะแก้แค้น แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็เปลี่ยนใจและแค่อยากใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเท่านั้น เพราะพวกเขากลัวว่าจะถูกทางหุบเขาพันโอสถตามล่าสังหาร พวกเขาหลายคนเลยไปอยู่ที่จังหวัดอื่นกัน”
“แล้วได้ถามเรื่องผู้ชายคนนั้นไหมครับ?”
“ครับ ผมถามแล้ว เขาบอกว่า ตอนอยู่ในหุบเขา เขาเป็นคนที่ซื่อสัตย์และซื่อตรงมาก เขาไม่เคยศึกษาเรื่องแมลงพิษและพิษเลย”
“คนนี้ไม่ได้ทํา ส่วนคนนั้นก็ไม่ได้ทํา แต่ผู้ชายคนนั้นกลับต้องตาย” กั๋วเจิ้งเหอพูด “พวกเขามีมากกว่าหนึ่งคน แล้วใครล่ะที่เป็นคนทํา?”
“เรื่องนี้…”
“หุบเขาพันโอสถคือผู้ต้องสงสัยรายใหญ่ เพราะคนที่พวกเราสงสัยทั้งหมดล้วนแล้วแต่มาจากที่นั่น อาจจะมีคนแสดงละครทําตัวว่าไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ก็ได้”
“ใช่”
“ทําไมลุงไม่ลองไปคุยกับเขาดูล่ะครับ?” กั๋วเจิ้งเหอพูด “ผมคิดว่า เขาอาจมีเรื่องที่ยังไม่ได้บอกกับลุง ลุงให้เงินเขาไปเท่าไหร่เหรอครับ?”
“เราให้เขาไป 2 ล้านครับ”
“เอาเงินให้เขาอีก 2 ล้าน แล้วเอารูปพวกนี้ให้เขาดูด้วย บอกกับเขาว่าเรารับประกันความปลอดภัยในอนาคตให้กับเขา แล้วยังจะหางานในพื้นที่ที่เขาอยู่ให้ด้วย แต่ถ้าเขาไม่ให้ความร่วมมือกับพวกเขา จุดจบของเขาอาจจะเป็นเหมือนคนในรูปก็ได้
“ได้ครับ ผมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”
“พวกเขาคิดว่าที่นี่มีไว้เพื่ออะไร? หรือคิดว่ามันเป็นที่ที่พวกเขาอยากจะมาก็มา และอยากจะฆ่าใครก็ได้อย่างนั้นเหรอ? พวกเขาคิดว่าผู้คนในเขตนี้เป็นอะไร? ดินโคลน? หรือเป็นแค่ของประดับตกแต่ง?
กริ๊ง!กริ๊ง!กริ๊ง! มือถือส่งเสียงดัง
“ฮัลโหล ผมเอง อะไรนะครับ? ผมจะไปที่นั่นเดี๋ยวนี้ครับ!” หลังจากวางสาย สีหน้าของกั๋วเจิ้งเหอก็กลายเป็นหน้าเกลียดในทันที
“มีเรื่องอะไรเหรอครับ คุณชาย?”
“ทางจังหวัดส่งคนมาตรวจสอบและแนะแนวทางการทํางานครับ!”
ในช่วงเวลาวิกฤตแบบนี้ เขาจะอธิบายให้หัวหน้าของเขาฟังยังไงดี?
“ลุงเสวี่ย ช่วยจัดการเรื่องนี้ก่อนเลยนะครับ ระวังตัวด้วย อย่าให้พวกเขาจับได้”
“ครับ คุณชายก็ระวังตัวด้วยนะครับ”
ไกลออกไปหลายพันไมล์ หวังเย้าอยู่ในคลินิกของเขา และกําลังฝังเข็มให้กับเด็กชายคนหนึ่งอยู่ ครั้งนี้ เด็กชายมีสติดี หวังเย้าใช้วิธีการพิเศษเพื่อไม่ให้เด็กชายขยับตัวสุ่มสี่สุ่มห้า และทําให้การฝังเข็มยากขึ้น
“ดีมาก!”
เด็กคนนี้เชื่อฟังเป็นอย่างมาก มันราวกับว่า เขาไม่หวาดกลัวเข็มเงินที่ทิ่มแทงลงบนร่างกายของเขาเลยแม้แต่น้อย มันอาจเป็นเพราะเขานอนอยู่และมองไม่เห็นพวกมันก็เป็นได้
“เป็นเด็กดีจริงๆ!”
สองสามีภรรยาจับมือเด็กไว้คนละข้าง
“เสี่ยวหลาน ไม่ต้องกลัวนะ แม่กับพ่ออยู่ตรงนี้”
การรักษาไม่ได้ใช้เวลานานนัก แต่มันกลับยาวนานในความคิดของสองสามีภรรยา เด็กชายดูปกติดี แต่พวกเขาสองคนกลับวิตกกังวลจนเหงื่อซึม
หลังจากหวังเย้าเก็บเข็มเรียบร้อยแล้ว เขาก็พูดขึ้นมาว่า “เรียบร้อยครับ ให้เขาลุกได้เลย”
ผู้เป็นแม่รีบสวมเสื้อผ้าให้ลูกของเธอและกอดเขาเอาไว้ในอ้อมแขน
“เสี่ยวหลาน ไม่ต้องกลัวนะ” เธอยังคงกลัวว่า ลูกชายของเธออาจเกิดความกลัวจากการรักษาได้ และทิ้งเศษเสี้ยวความกลัวเอาไว้ในจิตใจของเขา
“แม่ ผมไม่กลัวหรอกครับ” เด็กชายพูดอย่างน่าเอ็นดู
หลังจากปล่อยให้เด็กได้ผ่อนคลายลงสักพัก หวังเย้าก็เอายาให้เขากิน
“เรียบร้อย อีกสองวันให้กลับมาอีกครั้งนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ หมอหวัง”
“ยินดีครับ เดินทางระวังด้วยนะครับ” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม
“ลาก่อนครับ คุณอา” เด็กชายพูด
“ลาก่อน”
ครอบครัวเต็มไปด้วยความอบอุ่น
“เสี่ยวหลาน เมื่อกี้นี้ลูกไม่กลัวเหรอจ๊ะ?”
“ผมไม่กลัวครับ” เด็กชายกระซิบ
“ดี ดี ไม่กลัวก็ดีแล้ว เสี่ยวหลานเป็นชายหนุ่มที่กล้าหาญมาก!” เธอกอดลูกชายเอาไว้แน่น
ผู้เป็นพ่อขับรถออกจากหมู่บ้าน
คลินิกกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง วันนี้มีคนไข้ไม่มาก
ภายในสวนเล็กๆ ครึ่งหนึ่งขมครึ่งหนึ่งมีชีวิตชีวา
ใบไม้ร่วงหล่นและพืชพันธุ์เหี่ยวเฉา แต่บางต้นยังคงเขียวขจีและมีชีวิตชีวา
หวังเย้ายืนมองท้องฟ้าอยู่ในสวนเล็กๆแห่งนั้นเพียงลําพัง เขาค่อยๆหลับตาลงในขณะที่ยืนนิ่งอยู่ตรงจุดเดิม
เขาได้ยินเสียงสุนัขวิ่งอยู่ด้านนอก เสียงนกร้องอยู่บนท้องฟ้า เสียงกิ่งก้านของต้นไม้ส่ายไปมาเบาๆ เสียงใครบางคนตะโกน และน้ําไหลในแม่น้ํา ถึงเขาจะหลับตาอยู่ แต่เขากลับสัมผัสทุกสิ่งรอบตัวของเขาได้ มันก่อตัวเป็นภาพขึ้นในหัวของเขา ราวกับว่าเขาได้เห็นมันด้วยตาตัวเอง ที่ไม่ใช่แค่ดวงตาคู่เดียว มันเป็นภาพที่ชัดเจนมาก
มันเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยม
อีกด้านหนึ่งของหมู่บ้าน
“นี่มันไม่สมเหตุสมผล!” เจี๋ยจื้อจายมองภรรยาของตัวเองด้วยความประหลาดใจ
“แล้วแบบไหนที่เรียกว่าไม่สมเหตุสมผลล่ะ?” หูเหมยถามด้วยรอยยิ้ม
“เธอแน่ใจนะ?”
“ฉันแน่ใจ 100%” หูเหมยพูด
เธอเพิ่งบอกกับสามีว่า เธอรู้สึกได้ถึงพลังฉี ซึ่งก็หมายความว่าเธอรวบรวมพลังฉีได้แล้ว เรื่องนี้ทําให้เจี๋ยจื้อจายประหลาดใจมาก เพราะมันเพิ่งผ่านมาได้ไม่กี่วันเท่านั้น
“เอ่อ เธอรู้สึกยังไงบ้าง?”
“อืม มันรู้สึกเหมือนมีบางอย่างเพิ่มเข้ามาในร่างกายของฉัน ประสาทสัมผัสทั้งห้าของฉัน
แม่นยําามากขึ้น มีเท่านี้”
เจี๋ยจื้อจายรู้ว่า ภรรยาของเขาอาจรวบรวมพลังฉีได้แล้วจริงๆ
“นี่มันไม่สมเหตุสมผลเลย!” เขาตะโกนเสียงดังลั่น
เขาฝึกหนักเป็นเวลานานก่อนที่เขาจะสามารถรวบรวมพลังฉีได้ แต่ภรรยาของเขากลับทําได้ในเวลาไม่นาน เมื่อเอาตัวเองไปเทียบกับเธอแล้ว ก็มีแต่จะทําให้เขาโมโหมากขึ้น
“เป็นอะไรไป? นายไม่ยินดีที่ฉันพัฒนาขึ้นเหรอ?”
“ไม่ใช่ แต่ในฐานะที่ฉันเป็นศิษย์พี่และสามีของเธอ มันทําให้ฉันรู้สึกกดดันมาก!” “ทําไมต้องรู้สึกกดดันด้วยล่ะ?” หูเหมยถาม “เชียนเชิงพูดไว้แล้วไม่ใช่เหรอว่า เราฝึกตามใจปรารถนา เราใส่ใจกับธรรมชาติ ยิ่งเราดิ้นรน ยิ่งยากต่อการพัฒนา”
“อืม ใช่”
สองสามีภรรยาพูดคุยกันได้สักพัก วู้ว! อยู่ๆลมก็เริ่มพัดแรง
“โอ้ ลมเริ่มพัดแรงขึ้นแล้ว” เจี๋ยจื้อจายมองดูท้องฟ้า
“หรือเชียนเชิงจะเรียกลม?”
“ไม่มีเหตุผลที่เชียนเชิงจะอยากเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ถ้าดูจากขนาดแล้วก็น่าจะไม่ใช่ฝีมือมนุษย์หรอก”
ท้องฟ้าเปลี่ยนไป ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง อากาศก็เย็นลงไปหลายองศา
“โอ้ หิมะกําาลังตกล่ะ!”
เกล็ดหิมะร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า
หีม?
หวังเย้าที่ยืนอยู่ในสวนภายในคลินิกเงยหน้าขึ้นมองดูการเปลี่ยนแปลงของท้องฟ้า
หิมะตกเวลานี้น่ะเหรอ?
มีคนกําลังมา
แกร็ก! ประตูเปิดออกและคนคนหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอก
“เสี่ยวซวี ท่าไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?”
เธอที่อยู่ภายใต้ลมหนาวดูสวยสดงดงาม
“ฉันคิดถึงคุณค่ะ เชียนเชิง ฉันก็เลยมาที่นี่ยังไงล่ะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูดด้วยรอยยิ้ม
หลังจากได้ยินคําพูดนั้น หวังเย้าก็ตกตะลึง เขาเดินเข้าไปหาซูเสี่ยวซวีและโอบกอดเธอเอาไว้ เขาไม่พูดอะไรทั้งนั้น และทําเพียงกอดเธอไว้นิ่งๆเท่านั้น “มาเถอะ เข้าไปข้างในกัน”
เมื่อซูเสี่ยวซวีมาถึง หวังเย้าตัดสินใจที่จะไม่ทําอะไรนอกจากอยู่เป็นเพื่อนเธอ เขาโพสลงบน
หน้าเวยป๋อว่าเขาจะไม่รับคนไข้ในสองสามวันนี้
“ที่ปักกิ่งหนาวไหม?”
“หนาวค่ะ แต่ก็ไม่ถือว่าหนาวมาก” ซูเสี่ยวซวียิ้มอย่างอ่อนโยน
“แล้วเรื่องเรียนล่ะ?”
“ฉันไม่ค่อยยุ่งเท่าไหร่ค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด เธอไม่เพียงหน้าตาดีเท่านั้น แต่การเรียนของเธอก็ยังยอดเยี่ยมมากด้วย หลังจากที่ได้เข้าเรียนแค่ครั้งเดียว เธอก็สามารถทําความเข้าใจบทเรียนที่อาจารย์สอนได้ทั้งหมดแล้ว
“แล้วเชียนเชิงล่ะคะ?”
“ผมสบายดี โอ้ จริงสิ ผมรับลูกศิษย์เพิ่มอีกสองคน ผมเคยบอกเรื่องนี้กับเธอแล้ว”
“สองสามีภรรยาคู่นั้นใช่ไหมคะ?”
“ใช่” หวังเย้าพูด เขาพูดคุยผ่านทางโทรศัพธ์กับซูเสี่ยวซวีในทุกๆเรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านแทบทุกวัน
“แล้วยังมีเรื่องน่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งด้วยนะ” หวังเย้าพูด
“เรื่องอะไรเหรอคะ?”
“ผมคิดว่า ผมรักษาโรคมะเร็งได๋” หวังเย้าพูด “จริงเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีประหลาดใจมาก เพราะนั่นถือเป็นโรคที่รักษาแทบไม่ได้เลย! “จริงครับ ผมรักษาคนไข้โรคนี้สําเร็จคนหนึ่งแล้ว ถึงเขาจะยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แต่อาการของเขาก็เริ่มดีขึ้นแล้ว ภายในเวลาสองเดือน ผมมั่นใจว่าผมจะสามารถรักษาเขาให้หายได้ “คุณน่าประทับใจมากค่ะ เชียนเชิง” ซูเสี่ยวซวีพูดพร้อมกับปรบมือ พวกเขาพูดคุยกันเป็นเวลานาน ทุกเรื่องที่พวกเขาพูดล้วนไม่สลักสําคัญ แต่พวกเขากลับมีความสุขกับมัน