Elixir Supplier - ตอนที่ 932 ยาซึมเข้าสู่ผิวหนัง กระดูกเหล็กผิวทองแดง
932 ยาซึมเข้าสู่ผิวหนัง กระดูกเหล็กผิวทองแดง
“ฉันคิดไม่ออกเลยว่า เขาจะยังมีชีวิตอยู่ได้ยังไง” เมี่ยวชิงเฟิงพูด อย่างที่เขาได้พูดไป ทั้งพิษร้ายหรือการที่ตกลงไปจากที่สูงขนาดนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นหนทางที่นําไปสู่การตายโดยไม่ต้องสงสัยเขาควรจะตายไปแล้ว
“ผู้นําาต้องไม่พอใจเรื่องนี้มากแน่นอน” เมี่ยวชิงเฟิงพูด “ฉันว่าเขาคงจะกําลังคิดหาทางอยู่ เราจะรอฟังข่าวอยู่ที่นี่กันก่อนไหม?”
ในหมู่บ้านที่ห่างออกไปหลายพันไมล์ หลังจากที่หิมะตกหนัก อากาศก็เย็นลงกว่าเดิม มันเป็นช่วงเวลาที่หนาวที่สุดของปี
ตอนนี้ เพราะอากาศที่หนาวเย็นลง ทําให้คนไม่อยากออกจากบ้านกัน มันจึงทําให้คนมาที่คลินิกน้อยลงไปด้วย ยกตัวอย่างเช่น วันนี้ ในตอนเช้ามีคนไข้มาที่คลินิกแค่หนึ่งคนเท่านั้น เธอเป็นคนในหมู่บ้าน และมาเพราะเป็นหวัด หวังเย้าจึงจ่ายยาให้ไป แล้วก็ไม่มีใครมาอีก
อืม วันนี้ฉันจะได้ปิดคลินิกเร็วหน่อย
เขาคิดอยากจะปิดคลินิกก่อนเวลา แต่ตอนบ่าย หญิงชรากับหลานของเธอก็มาที่คลินิก “คุณป้า อากาศหนาวขนาดนี้มีเรื่องอะไรรึเปล่าครับ?” หวังเย้าถาม
นี่เป็นเด็กหญิงที่มักจะมาอยู่กับปู่ย่าของเธอที่หมู่บ้าน เธอถูกน้ําร้อนลวกไปเมื่อไม่กี่วันก่อน หวังเย้าไม่ใส่ยาผงซ่อมแซมกล้ามเนื้อไปที่แผลให้เธอ
“เอ่อ ฉันยังกังวลเรื่องแผลของเธออยู่น่ะสิ” เธอพูด “ช่วยตรวจดูนีนีอีกทีเถอะนะ” เธอหอบเล็กน้อยในตอนที่พูดอยู่ เธอเดินแบกหลานเอาไว้ที่หลัง มันจึงทําให้เธอเหนื่อย “ได้สิครับ ผมจะดูให้” หวังเย้าพูด
หลังจากตรวจดูแผลของเด็กแล้ว เขาก็เห็นว่า แผลบนแขนของเธอใกล้หายแล้ว มันไม่มีการเน่าหรือบวมเลย
“ยังเจ็บอยู่ไหม?” หวังเย้ากดเบาๆที่แผล
“ไม่เจ็บเลย” นีนีตอบ
“อืม ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะครับ” หวังเย้าพูด
“ไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆเหรอ?” หญิงชราถาม
“จริงครับ คุณป้าก็น่าจะเห็นแบบนั้นเหมือนกันนี่ครับ” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันก็แค่ยังไม่หายกังวลน่ะสิ” หญิงชราพูด เมื่อเห็นลองเปิดดูผ้าพันแผลที่บ้าน เธอก็รู้ว่าแผล ที่แขนของหลานสาวไม่เป็นอะไรแล้ว แต่ถึงจะไม่มีปัญหาอะไร เธอก็ยังไม่วางใจอยู่ดี เธอจึงตัดสินใจแบกหลานสาวไปที่คลินิก ในสภาพอากาศที่หนาวเย็นแบบนี้ ทั้งสองจึงตัวเย็นเฉียบ
“ขอบใจนะ”
“ไม่เป็นไรครับ คุณป้า” หวังเย้าพูด “คุณป้าควรดูแลสุขภาพร่างกายของตัวเองด้วยนะครับ ช่วงนี้คุณป้ารู้สึกแน่นในอกบ้างไหมครับ?”
“อืม นิดหน่อย พอคนเราแก่ตัวลง ก็เริ่มมีปัญหานั่นนิดนี่หน่อยเรื่อยๆ “ปกติ คุณป้าไม่ค่อยชอบดื่มน้ําใช่ไหมครับ?” หวังเย้าถาม “อืม เมสิ แต่ไม่บ่อยเท่าไหร่”
“ถ้าคุณป้าไม่มีอะไรให้ทําเวลาอยู่ที่บ้าน การดื่มน้ําก็เป็นสิ่งที่ดีกับสุขภาพนะครับ” หวังเย้าพูดการเต้นของหัวใจของหญิงชราไม่ค่อบสม่ําเสมอ และการหายใจก็ไม่สอดคล้องกับจังหวะปกติ ทั้งยังไม่ราบรื่น เมื่อดูจากสีหน้าของเธอก็ดูซีดเล็กน้อย แสดงให้เห็นว่า หัวใจของเธอไม่แข็งแรง พูดให้ถูกก็คือ ภายในร่างกายของเธอมีเส้นเลือดบางจุดที่อุดตันอยู่ และทําให้การไหล
เวียนโลหิตไม่ปกติ
“ทําไมเธอไม่จ่ายยาให้ฉันเลยล่ะ?” หญิงชราถาม
“ได้สิครับ” หวังเย้าพูด
“นั่งก่อนรอก่อนนะครับ”
หวังเย้าเดินไปที่ตู้เก็บยาสมุนไพร เพื่อเตรียมยาให้กับเธอ
หม่าฮวง, ตังกุย, โสมซานซี, ปายเฉา…
สูตรยาถูกคิดขึ้นเดี๋ยวนั้น ยาที่หวังเข้าให้เธอ มีสรรพคุณในการลดการอุดตันของเส้นเลือด มีสมุนไพรอยู่สองชนิดที่มีหน้าที่ในการบํารุงร่างกาย เพราะหญิงชราอายุมากแล้ว ในช่วงอายุของเธอ จึงจําเป็นต้องได้รับการบํารุงด้วยสารอาหารที่เพียงพอ
“นี่เป็นยาทั้งหมดหกชุดนะครับ ให้กินหนึ่งชุดต่อหนึ่งวัน กินติดต่อกันหกวันแล้วให้กลับมาอีกที” หวังเย้าพูด
“โอ้ ได้ เสี่ยวเย้า ตอนที่มาที่นี่ ฉันลืมเอาเงินมาด้วย” หญิงชราพูดแล้วตบไปที่กระเป๋าของเธอ “ไม่เป็นไรครับ ไว้วันอื่นก็ได
“ได้ๆ ขอบใจมากนะ”
หญิงชรารับยาลัแบกหลานสาวของเธอออกไปจากคลินิก ด้านนอกยังคงมีลมพัดแรง ทําให้อากาศเย็นเยียบยิ่งกว่าเดิม
“คุณป้า เดินช้าๆและระวังด้วยนะครับ ทีหลังพยายามอย่าออกมาข้างนอกในช่วงอากาศแบบนี้อีกจะดีกว่านะครับ” หวังเย้าตะโกนตามหลังเธอ
ในช่วงฤดูหนาว ผู้สูงอายุหลายคนมีแนวโน้มที่จะป่วยได้ง่าย โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมอง เมื่ออากาศเย็นลงและคนที่อยู่ในที่อุ่นต้องออกไปเจอกับสภาพอากาศหนาวเย็นด้านนอกนั้น มันเป็นการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิที่ฉับพลันเกินไป ร่างกายมนุษย์จ่าเป็นต้องใช้เวลาในการปรับตัว การปรับเปลี่ยนนั้นอาจทําให้คนที่ไม่แข็งแรงเจ็บป่วยได้ นั่นก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทําไมผู้สูงอายุที่ป่วยอยู่แล้วมักเสียชีวิตในช่วงฤดูหนาว
การกักตุนในฤดูหนาว ก็คือการที่ผู้คนควรกักตุนสิ่งของและเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านในช่วงฤดูหนาว
วู้ว…ลมดูเหมือนจะเริ่มพัดแรงขึ้น
“โอ้ ลมแรงจริงๆ” เจี๋ยจื้อจายกับหูเหมยออกมาจากบ้านในตอนเย็น ไม่นาน พวกเขาก็มาถึงเนินเขาตงชาน
มันเป็นเรื่องจริงที่ว่า ลมบนเขานั้นพัดแรงกว่าด้านล่าง แต่เพราะมีพลังที่ถูกส่งมาจากเนินเขาหนานชาน จึงทําให้ไม่หนานมากนัก
“ฉันได้ยินมาจากศิษย์พี่ว่า บนเนินเขาหนานชานมีค่ายกลอยู่ด้วย” เจี๋ยจื้อจายพูด “นอกจากป่าที่เป็นค่ายกลอยู่ตรงตีนเขาแล้ว บนเขายังมีค่ายกลอยู่อีกสองอันเพื่อไว้กันคนนอกเข้าไปข้างใน”
“ทําไมอยู่ๆนายถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะ?” หูเหมยถาม
“ในเมื่อเชียนเชิงรู้เรื่องพวกนี้ตั้งแต่อายุยังน้อยแบบนี้ แล้วเขาไปเรียนมาจากที่ไหนล่ะ? เธอเคยสงสัยไหมว่าใครที่เป็นอาจารย์ปู่ของพวกเรา?” เจี๋ยจื้อจายถาม
“เชียนเชิงเคยบอกกับเราแล้วไม่ใช่เหรอว่า พวกเราคือ แพทย์ปรุงยา น่ะ?” หูเหมยถาม
ครั้งหนึ่ง เจี๋ยจื้อจายเคยถามไปว่าพวกเขาอยู่ในกลุ่มของอะไร ในเวลานั้น คําตอบของหวังเย้าก็คือ แพทย์ปรุงยา
“ฉันเข้าใจว่า แพทย์ปรุงยาคือคนที่สามารถรักษาและช่วยคนใกล้ตายได้” เจี๋ยจื้อจายพูด “เรื่องนั้นฉันก็พอรู้อยู่บ้าง แต่แพทย์ปรุงยาที่เชี่ยวชาญกังฟูและการสร้างค่ายกล มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ?”
“นายรู้ไหมว่าทําไมการบ่มเพาะของนายถึงได้ช้ากว่าฉันกับศิษย์พี่?” หูเหมยถามกลับ
“หาไมเหรอ?”
“ก็เพราะนายคิดมากเกินไปยังไงล่ะ” หูเหมยพูด
“นอกจากการท่องคัมภีร์ในแต่ละวันแล้ว สิ่งที่ศิษย์พี่ทําก็คือการนั่งทําสมาธิและฝึกฝนอยู่บนเขา ส่วนฉันก็อยู่กับการอ่านหนังสือ, ฝึกฝน และท่าอาหาร มันทําให้ชีวิตเรียบง่ายและเราไม่คิดอะไรมาก นายชอบเอาแต่คิดถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา นายมีความคิดอยู่ในหัวมากเกินไป และมันก็ยุ่งเหยิงไปหมด จนทําให้การฝึกฝนของนายล่าช้าไปด้วย”
“ฉันก็แค่สงสัยเท่านั้นเอง”
“พอเถอะ มาเริ่มกันได้แล้ว”
ทั้งสองนั่งอยู่บนก้อนหิน พวกเขาหลับตาและตั้งจิต แล้วเริ่มต้นการบ่มเพาะพลังฉี ปล่อยให้ลมเย็นพัดผ่านตัวพวกเขาไป
หวือ…วู้ว…
นอกจากลมแล้ว ก็ดูคล้ายกับจะมีเพียงเสียงลมหายใจของพวกเขาเท่านั้นที่เหลืออยู่บนโลกนี้
“เริ่มกันแล้วเหรอ?” เมื่อเห็นนั่งอยู่ท่ามกลางลมพัดแรง จงหลิวชวนก็เดินไปนั่งอยู่อีกจุดหนึ่ง
หลังจากนั้นไม่นาน ชายอีกคนก็มาถึง
ไม่ว่าจะฝนตกหรือลมแรง พวกเขาก็จะมาฝึกฝนอยู่เสมอ
ภายในหุบเขาพันโอสถที่ห่างออกไปหลายพันไมล์
“ฉางชุน คอยจับตาดูเรื่องราวภายในหุบเขาให้ดี” เมี่ยวซีเหอพูด “ถ้าต้องการอะไรจากด้านนอกก็ให้ติดต่อไปที่ชิงเฟิง ฉันจะไม่อยู่สักสามวัน ในระหว่างสามวันนี้จะต้องไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเด็ดขาด”
“ได้ครับ อาจารย์”
“เอาล่ะ ฉันต้องไปแล้ว”
เมี่ยวซีเหอเดินทางออกจากหุบเขา และเข้าไปในป่า
หนึ่งวันต่อมา ภายในหมู่บ้านกลางป่าที่ห่างออกไปเกือบหนึ่งพันไมล์
“หวูซาน ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ!”
“เมี่ยวซีเหอ? เป็นแขกที่หาได้ยากจริงๆ! ฉันไม่คิดเลยว่านายจะออกมาได้”
เมี้ยวซีเหอ ผู้นําแห่งหุบเขาพันโอสถได้เดินทางมายังที่พักของราชายาแห่งเผ่าเมี่ยวหวูซาน
ทั้งสองรู้จักกันเป็นอย่างดี
“ดื่มชาสิ” หวูซานรินชาให้กับเขา
“ขอบคุณ”
“นายยังยุ่งเหมือนเดิมเลยนะ ฉันเห็นข้างนอกมีคนอยู่ตั้งเยอะ” เมี่ยวซีเหอพูด
“ฉันชินแล้วล่ะ” หวูซานพูด
“ตลอด 20 ปีตั้งแต่ที่พวกเราแยกย้ายกันไป นายไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิดเดียว” เขาพูด “สมแล้วที่เป็นอัจฉริยะแห่งหุบเขาพันโอสถ”
“ฮาฮา! นายก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเท่าไหร่เหมือนกัน!” เมี่ยวซีเหอพูด “ตอนที่อดีตผู้นําขอให้นายอยู่ นายก็ไม่ยอมอยู่ นายกลับอยากออกไปข้างนอกเพื่อแสดงความสามารถของตัวเอง แล้วเกิดอะไรขึ้น?”
“ข้างนอกมันสกปรกโสมมเกินไป ด้วยนิสัยของนายแล้ว ก็คงจะมาหลบซ่อนตัวอยู่ที่นี่และท่าตัวเกลียดชังโลกภายนอกใช่ไหมล่ะ?” เมี่ยวซีเหอจิบชา
“เอาล่ะ ตัดเรื่องพิธีการอะไรพวกนั้นไปซะ” หวูชานพูด “มีอะไรให้ฉันช่วยเหรอ?” เขารู้และเข้าใจนิสัยของคนตรงหน้าดี ถ้าเป็นในเรื่องของยา, พิษ, และแมลงแล้ว เขาก็คือผู้ที่มีพรสวรรค์ในทั้งสามเรื่องที่ว่ามา เมื่อก่อน อาจารย์ได้เคยยกย่องว่าเขาคือที่สุดในรอบ 150 ปี ของหุบเขาพันโอสถ คำพูดนั้นเป็นการยกย่องอย่างที่สุดแล้ว
“ลองดูนี่สิ” เมี่ยวซีเหอโยนกล่องใบหนึ่งไปทางหวูซาน
หวูซานรับมา เขาลองส่ายกล่องดูก่อนที่จะเปิดออก
หรือปล่อยแมลงใส่นายล่ะ?”
เมื่อเห็นท่าทีของเขา เมี่ยวซีเหอก็ยิ้ม “ฮาฮา นายจะกลัวอะไร? นายคิดว่าฉันจะวางพิษนาย
“อืม ตอนที่ฉันอยู่ในหุบเขา ฉันโดนนายแกล้งมาเยอะเกินไป ฉันเลยยังระแวงอยู่จนถึงตอนนี้น่ะสิ” หวูซานพูด
“นี่มัน?!” เขาตกตะลึงเมื่อได้เห็นสิ่งที่อยู่ด้านใน
“กล้วยไม้สีเลือด!”
เขาเห็นดอกกล้วยไม้สีเลือดที่ถูกแช่แข็งเอาไว้วางอยู่ภายในกล่อง
“ใช่แล้วล่ะ กล้วยไม้สีเลือด” เมี่ยวซีเหอพูด
“ฉันไม่คิดเลยว่า มันจะมีอยู่ในชีวิตจริง! ทั้งหมดที่เขียนอยู่บนบันทึกของอาจารย์เป็นเรื่องจริงทั้งหมดเหรอ?”
“อย่างน้อยๆ เรื่องของกล้วยไม้สีเลือดก็เป็นความจริง” เมี่ยวซีเหอพูด
“มันสามารถปัดเป่าโรคภัยและยืดอายุได้ ถือเป็นหนึ่งในหกสมุนไพรวิเศษของเขตเดี่ยว” หวูซานมองดูดอกไม้ด้วยความรู้สึกที่ปนเปกันไปหมด
“นายคงไม่ได้เอาของดีแบบนี้มาเพื่อแบ่งให้ฉันหรอกใช่ไหม?”
“แน่นอนว่าไม่ใช่ ฉันมีเรื่องอยากจะถามนาย”
“นายมีเรื่องอยากจะถามฉัน?” หวูซานประหลาดใจ “นายกําลังล้อเล่นอยู่ใช่ไหม?”
“ฉันอยู่ในหุบเขาพันโอสถมานานกว่า 20 ปีและไม่เคยได้ออกไปไหนเลย” เมี่ยวซีเหอพูด
“นายคิดว่า ฉันเดินทางไกลมาเพื่อพูดคุยล้อเล่นกับนายเท่านั้นเหรอ?”
“บอกมาสิว่าเรื่องอะไร?”
“ลองดูฉันสิ”
“ดู?” หวูซานอึ้ง แต่เขาก็เข้าใจขึ้นมาในทันที เขาจึงสังเกตดูอีกฝ่ายอย่างละเอียด
“ฉันขอเลือดสักหน่อยไดไหม?”
“ได้สิ”
เมี่ยวซีเหอกรีดข้อมือและหยดเลือดลงไปในถ้วย สีของเลือดกลับไม่ใช่สีแดงสด แต่กลับเป็นสีแดงเข้ม พร้อมกับกลิ่นที่เฉพาะตัวเป็นอย่างมาก มันไม่ใช่กลิ่นคาวเลือดทั่วไป แต่เป็นกลิ่นที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคําพูดได้ หลังจากนั้นสักพัก บาดแผลที่ข้อมือของเขาก็เริ่มรักษาตัวเอง โดยไม่ทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้เลย
“ยาซึมเข้าสู่ผิวหนัง, กระดูก, และกล้ามเนื้อ จนทําให้มีผิวหนังทองแดงและกระดูกเหล็ก” หวูซานพึมพําา เขาจุ่มนิ้วลงไปในเลือด แล้วนําเข้าปาก
แหวะ! เขารีบคายทิ้งทันที เขานําชามาล้างปากและท่าอยู่หลายรอบ
“เมี่ยวซีเหอ โอ้ เมี่ยวซีเหอ!” มีประกายวาบผ่านในแววตาของเขา “ฉันไม่คิดเลยว่า จะมาถึงขั้นนี้แล้ว!”