Elixir Supplier - ตอนที่ 937 มนุษย์สุดท้ายก็จะตายลง
937 มนุษย์สุดท้ายก็จะตายลง
หนึ่งในพวกเขาโงนเงนแล้วรีบหลบไปที่หลังต้นไม้
“เทคโนโลยีเปลี่ยนโลก” เดี่ยวเทียนชวนพูดเสียงแหบต่ำ“แกก็ต้องเปลี่ยนความคิดได้แล้ว” “ใช่เลิกพูดไร้สาระได้แล้วผสานผิวหนังเข้ากับตัวยาและทําให้มันแข็งราวกับเหล็ก ถ้าแกยัง ทําแบบนั้นไม่ได้ ก็อย่าหวังว่าจะได้สู้กับเมี่ยวซีเหอเลย” เมี่ยวชิงเฟิงพูดไปทางป่าก่อนจะโยน บางอย่างไปทางนั้น
เมี้ยวเทียนชวนกระโดดหลบ
“อาวุธลับ?”
วูซ! บูม!
เกิดการระเบิดขึ้นจนฝุ่นคละคลุ้งไปหมด
แค่ก แค่ก
ชิง! แสบวาบผ่านไปในความมืด มันคือแสงของดาบ
เคร่ง! เกิดกระกายขึ้น
“ทีนี้ พอจะแสดงฝีมือที่แกมีได้รึยัง?” เมี่ยวเฉิงเฟิงพูดเสียงเย็น
เมี่ยวเทียนชวนที่อยู่ห่างจากอีกฝ่ายอยู่หลายก้าวได้เสียปืนไปแล้ว
“ได้อยู่แล้ว!” เมี่ยวเทียนชวนยิ้มเยาะ กริชที่ยาวประมาณหนึ่งฟุตปรากฏขึ้นในมือของเขา ทั้งสองปะทะกันภายใต้แสงจันทร์ พวกเขาพุ่งเข้าใส่กันและแยกออกจากกันด้วยความเร็วสูง เสียงของเหล็กที่กระทบกันดังให้ได้ยินอย่างชัดเจน
บูม! เกิดเสียงระเบิดขึ้น จนฝุ่นกระจายไปทั่วอีกครั้ง หนึ่งที่คนที่ปะทะกันเอามือกุมหน้าท้อง และกําลังคิดหนี อีกฝ่ายไล่ตามหลังเขาไปราวกับเสือดาว
“แกหนีไม่รอดหรอก”
ความมืดของค่าคืนค่อยๆถูกแสงแรกของวันเข้ามาแทนที่
พบร่างที่โชกไปด้วยเลือดอยู่ภายในป่า
มีคนมาพบศพในเวลาประมาณ 10 โมงเช้า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถูกแจ้งไปถึงคนที่อยู่ภายใน หุบเขา ทําให้มีหลายคนเดินทางมาเพื่อมาดูจุดเกิดเหตุ เมี่ยวซีเหอก็มาด้วยเช่นกัน เขาตรวจสอบ
ร่างนั้นอย่างละเอียดและมีสีหน้าเคร่งขรึม
“เขาได้รับบาดเจ็บหนัก เป็นบาดแผลที่เกิดจากดาบ”
เมื่อดูจากรอยเลือดแล้ว พวกเขาก็สามารถรู้จุดที่เริ่มเกิดการต่อสู้ได้ไม่ยาก
มีการพบกระสุนตกอยู่ด้วย
“น่าจะเป็นคนเดียวกันกับครั้งก่อน” เมี่ยวซีเหอพูด
“เฉิงเฟิงเป็นคนมีฝีมือคนหนึ่ง แต่กลับถูกฆ่าอย่างง่ายดาย” ชายวัยกลางคนพูด “อีกฝ่ายจะ
ต้องฝีมือสูงมากแน่
“ใช่” เมี่ยวซีเหอพยักหน้าแล้วมองดูที่พื้น ไม่รู้ว่าเขากําลังคิดอะไรอยู่
“คนคนนั้นกลับมาที่นี่อีกครั้งเพื่อมาตรวจสอบดูถ้ําตรงนั้นแน่ๆ” เขามองไปทางถ้ําที่ถูกผิดตาย
เอาไว้แล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่มีทางเข้าไปด้านในไ
“ไม่จําเป็นต้องใหใครเฝ้าที่นี่เอาไว้แล้ว”
“คนคนนี้เป็นใครกัน?” ชายวัยกลางคนถาม
“กลับกันเถอะ” เมี่ยวซีเหอพูด
“ครับ ผู้นํา”
คนในหุบเขาสามคนเสียชีวิตไปในเวลาแค่สั้นๆ มันเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้นมานานมากแล้ว
“ผู้นําครับ ช่วงนี้คนในหุบเขากําลังพูดเรื่องนี้กันอยู่” ชายวัยกลางคนพูด
“เราจะรอไปก่อน” เมี่ยวซีเหอพูด
“ครับ”
“เสี่ยวเหอเป็นยังไงบ้าง?”
“เป็นไปได้ด้วยดีครับ” ชายวัยกลางคนพูด “ตอนนี้ ทุกอย่างราบรื่นดี”
“ดีมาก” เมี้ยวซีเหอพูด “ดูแลครอบครัวของเขาให้ดี เสี่ยวเหอเป็นเด็กดี”
“ครับ ผู้นํา”
ในเขตหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยไมล์
“มีคนตายอีกคนงั้นเหรอ?”
“ใช่” เคี่ยวเนียนชวนพูด
“คราวนี้เป็นใครล่ะ?” เดี่ยวชิงชานถาม
“เมี่ยวเฉิงเฟิง” เมี่ยวเทียนชวนยกชาขึ้นจิบและพูดเรื่องการตายของคนคนหนึ่งราวกับไม่ใช่ เรื่องร้ายแรงอะไร
“การที่นายฆ่าคนไปเรื่อยๆแบบนี้มันจะดีเหรอ?”
“พวกมันเป็นลูกน้องของเมี่ยวซีเหอ” เมี่ยวเทียนชวนพูด “ทุกคนต่างก็มีส่วนในการตายของพ่อ แม่ฉัน พวกมันสมควรตายแล้ว”
“นายคิดจะหาอะไรกันแน่? คิดจะล้างบางเลยเหรอ?”
“ถ้าที่นั่นจะต้องตกต่ำลงเพราะเรื่องนี้ ก็ปล่อยให้มันเป็นไป” เมี่ยวเทียนชวนพูด “ถ้าที่นั่นยังคงอยู่มันก็เป็นได้แค่พื้นที่ส่วนตัวของเมี่ยวซีเหอเท่านั้นน่าเสียดายก็แต่ไม่มีใครที่รู้เรื่องการต่อสู้เลย”
“คนที่กล้าเรียนรู้เรื่องการต่อสู้ก็มีแค่ตายกับหนีออกไปเท่านั้น” เมี่ยวชิงชานพูดในขณะที่เขามองออกไปนอกหน้าต่าง
เขาไม่ได้อยากจากที่นั่นมานั่นที่สถานที่ที่เขาเกิดและเติบโตนั่นคือบ้านของเขา เขายังไม่ล้มเลิกความคิดที่จะกลับไปอยู่ที่นั่นอีกครั้งหนึ่ง
“นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันพูดว่า ที่นั่นไม่จําเป็นต้องมีอยู่อีกต่อไปยังไงล่ะ” เมี่ยวเทียนชวนพูด“แต่ที่นั่นยังมีคนอื่นอยู่อีกเป็นร้อยเลยนะ!”
“มนุษย์เราสุดท้ายก็ตายลงไป”เมี่ยวเทียนชวนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบน้ำเสียงที่เขาใช้พูดราวกับว่าจํานวนคนนับร้อยในหมู่บ้านไม่ได้ต่างไปจากมดร้อยกว่าตัวเลยสักนิดเดียว
ในความเป็นจริง ตั้งแต่ที่พ่อแม่ของเขาเสียชีวิตไปในเหตุการณ์เมื่อสิบกว่าปีก่อนนั้นเขาก็อยู่เพื่อการแก้แค้นมาโดยตลอดพูดให้ชัดก็คือความคิดเดียวที่เขามีก็คือการแก้แค้นแทนพ่อแม่ของเขาโดยการฆ่าเมี่ยวซีเหอแต่เป้าหมายของเขาแข็งแกร่งเกินไปและยังมีฐานที่มั่นที่เป็นประโยชน์ต่ออีกฝ่ายดังนั้นเขาจึงเดินทางไปอยู่ทางเหนือนานหลายปีและเสียหยาดเหงื่อไปกับการสร้างองค์กรจากใต้ดินแล้วก็ค่อยๆขึ้นมาอยู่เบื้องบนจากนั้นก็รวบรวมผู้คนที่ร้ายกาจเอาไว้ในที่เดียวกันเป้าหมายของเขาก็คือการแก้แค้นแต่โชคชะตากลับทําให้องค์กรของเขาต้องถูกทําลายลงไปทั้งหมดที่เขาได้ทุ่มเทลงไปหลายปีกลับต้องสูญเปล่าที่ยิ่งไปกว่านั้นเขายังบาดเจ็บหนักจากพิษร้ายเวลาที่เขาจะมีชีวิตอยู่ได้เหลือน้อยลงไปทุกทีเขาจึงคิดจะกลับไปยังสถานที่ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นบ้านของเขาก่อนจะจากโลกนี้ไป
ที่น่าขันก็คือมันยังเป็นสถานที่ที่เขาต้องการทําลายด้วยเช่นกัน
เมื่อประตูบานหนึ่งปิดลงก็มักจะมีประตูอีกบานหนึ่งที่เปิดออก จุดจบของเขายังมาไม่ถึงเขาก็สามารถหากล้วยไม้สีเลือดมาได้ มันไม่เพียงแต่จะจัดการกับพิษร้ายในร่างกายของเขาเท่านั้นแต่ มันยังเพิ่มความสามารถให้กับเขาด้วยตั้งแต่นั้นมาเขาก็เริ่มคิดแผนการแก้แค้นขึ้นมาใหม่ นั่นไม่ใช่การฆ่าคนครั้งแรกของเขามันจึงไม่ได้มีผลทางจิตใจกับเขา แต่กับเมี่ยวชิงชานั้นต่างออกไป เพราะเขาเป็นคนจิตใจดีที่จะทําเรื่องพวกนี้ได้ลงดังนั้นเรื่องที่เมี่ยวเทียนชวนทําลงไปจึงส่งผลต่อจิตใจของเมี่ยวชิงชานด้วยส่วนหนึ่ง จนถึงตอนนี้อีกฝ่ายก็ยังคงรู้สึกผิดอยู่ไม่หาย
เขามาจนสุดทางแล้วมีแต่ต้องลงมืออย่างไร้ปราณีเท่านั้น
“ผู้นําาแข็งแกร่งขนาดไหนเหรอ?”
“แข็งแกร่งมาก” เดี่ยวเทียนชวนพูด
ความจริงเขาไม่รู้เลยว่าผู้นําแข็งแกร่งมากแค่ไหนตอนที่เขาหนีออกไปผู้นําทําให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสด้วยการโจมตีเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นมันคือวิชากังฟูที่เหนือชั้นและไม่ได้ใช้พิษที่เขาเชี่ยวชาญเลยด้วยซ้ำนั่นทําให้ชายชราคนนี้น่าหวาดเกรงเห็นได้ชัดว่าผู้นําไม่เคยแสดงความสามารถทั้งหมดที่เขามีอยู่ในตอนนั้นออกมาจนถึงตอนนี้เดี่ยวเทียนชวนก็ยังคงไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของอีกฝ่ายตลอดเวลา 16 ปีที่ผ่านมาเมี่ยวเทียนชวนจึงทําได้เพียงเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตัวเองให้มากที่สุด
“นายมีความมั่นใจแค่ไหนว่าจะสามารถล้มเขาได้?”
“ความมั่นใจ? ไม่มีเลย”เมี่ยวเทียนชวนส่ายหน้า
“ถ้านายไม่มีความมั่นใจ แล้วนายจะแก้แค้นได้ยังไง?”
“บางครั้งความแข็งแกร่งก็ไม่ใช่ทุกอย่างเสมอไปหรอกนะ”
เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดประโยคนั้นออกมาเขานึกไปถึงชายหนุ่มที่กดเขาจนแทบจะจมดินคนนั้น
“บางทีเขาอาจจะจัดการกับเมี้ยวซีเหอได๋”เขาพูดพึมพํากับตัวเอง
“อะไรนะ?”
“ไม่มีอะไร นายแค่ทําให้ฉันนึกถึงคนคนหนึ่งที่แข็งแกร่งมากขึ้นมาได้เท่านั้นเอง”เขาไม่คิดอะไรอย่างอื่นนอกจากความเกลียดชังเมี่ยวซีเหอที่ฝังลึกอยู่ในหัวใจส่วนชายหนุ่ม
คนนั้นเขามีแต่ความรู้สึกไร้หนทางและหวาดกลัวเท่านั้นความหวากลัวนั้นมาจากความจริงที่ว่าเขาไม่สามารถต่อต้านอีกฝ่ายได้เลย
บางที เขาอาจจะสามารถใช้อีกฝ่ายมาจัดการกับเมี่ยวซีเหอแทนก็ได้!
ถ้าเขาต้องการใช้ชายหนุ่มคนนั้นสิ่งแรกที่เขาต้องทําก็คือเรียนรู้เรื่องของอีกฝ่ายให้มากขึ้นแต่อีกฝ่ายอยู่ที่จังหวัดฉีดจะดีกว่าถ้าเขายังไม่ไปที่นั่นในตอนนี้ในเขตเล็กๆที่ห่างไกลออกหลายร้อยไมล์
“พวกคุณจะกลับกันแล้วเหรอ?”
“ผมอยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา”เมี่ยวชิงเฟิงพูด“ต้องขอโทษด้วยนะครับที่เราช่วยอะไรไม่ได้มาก
เมี่ยวชิงเฟิงกับเมี่ยวฉางหงบอกลาหยางกวนเฟิงและคนในทีมของเขาก่อนจะเดินทางออก
จากเขตและเตรียมเดินทางกลับหุบเขาพันโอสถ
“คุณช่วยพวกเราไว้มากต่างหากล่ะครับ” หยางกวนเฟิงพูด “อย่างน้อยเราก็เจอผู้ต้องสงสัยแล้วจริงไหมล่ะครับ?”
เดี่ยวชิงเฟิงท่าเพียงแค่ยิ้มและไม่ได้พูดอะไร
“เราไปกินข้าวกันก่อนที่พวกคุณจะกลับดีไหม?”หลู่ซิ่วเฟิงถาม “ผมจัดการเรื่องนี้เอง”
“ขอบคุณคร้บ แต่ผมคงต้องกลับแล้ว”เมี่ยวชิงเฟิงตอบ
“หึม เจ้าบ้านก็ต้องดูแลแขกสิแล้วพวกคุณก็เป็นแขกของเรากินข้าวด้วยกันก่อนดีกว่านะ
ครับ”หลู่ซิ่วเฟิงดึงดัน
“ก็ได้ครับ”
เมื่อเห็นว่าเขาไม่สามารถปฏิเสธค่าเชิญของหลู่ซิ่วเฟิงได้ทั้งสองจึงอยู่ทานอาหารกลางวันกับพวกเขาก่อนหลังจากทานเสร็จได้ไม่นานพวกเขาก็จากไป
“ผมมีลางสังหรณ์ว่าต้องมีเรื่องเกิดขึ้นในหุบเขาแน่ๆ”หลู่ซิ่วเฟิงพูด
“ใช่ ผมไปพักก่อนนะ” หยางกวนเฟิงพูด
ช่วงหลังมานี้เขารู้สึกเหนื่อยล้าอยู่ตลอดคดีนี้หนักหนาเกินไปมันมักจะมีเรื่องเกิดขึ้นในช่วงจังหวะเวลาสําคัญเสมอเมื่อไหร่ก็ตามที่คล้ายจะมีความหวังเกิดขึ้นแต่แล้วความพยายามที่ผ่านมาของพวกเขาก็กลายเป็นไร้ความหมายไปในทันที