Elixir Supplier - ตอนที่ 953 ช่วยเหลือในยามยาก
953 ช่วยเหลือในยามยาก
หลังจากที่ได้ยินแบบนั้นหวังเย้าก็ยิ้มและมองเจี๋ยจื้อจาย
“มีอะไรเหรอครับ เชียนเชิง?”
“คุณชอบดูผู้หญิงสวยๆด้วยเหรอ?”
“เอ่อ มันเป็นนิสัยที่ติดมาจากอาชีพเก่าน่ะครับ”เจี๋ยจื้อจายตอบพร้อมกับเกาหัว “ผมว่าคุณคงไม่ทําแบบนั้นต่อหน้าหูเหมยหรอกใช่ไหม?”
“ถ้าเธออยู่ด้วยเธอจะเป็นคนคอยสังเกตผู้หญิงส่วนผมก็ดูผู้ชายแทนครับ” เจี๋ยจื้อจายพูด“คืนนี้อย่าลืมมานะครับเชียนเชิง!”
“ได้ ผมไม่ลืมหรอก”หวังเย้าพูด
“จริงสิ ชวนพ่อของเชียนเชิงมาด้วยสิครับ”เจี๋ยจื้อจายพูด“ผมได้ยินมาว่าเขาชอบดื่มใช่ไหมครับ?”
“ใช่ ไว้ผมจะถามเขาให้”หวังเย้าตอบแต่เขารู้ว่าพ่อของเขาคงไม่มาด้วยแน่เขาเคยถามหลายครั้งแล้วแต่พ่อของเขาก็ปฏิเสธทุกครั้ง
เจี๋ยจื้อจายอยู่ต่ออีกสักพักก่อนจะกลับไป
หวังเย้านั่งคิดไปถึงหญิงสาวที่เพิ่งจากไปเขาอยากรักษาให้กับเธอ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบคนไข้แบบนี้หมอหลายคนให้ความสนใจในโรคที่รักษาได้ยากและเขาก็เป็นหนึ่งในนั้น
ด้วยความสามารถในการรักษาที่สูงขึ้นของเขาทําให้โรคทั่วๆไปไม่สามารถดึงดูดความสนใจของเขาได้อีกต่อไปน่าเสียดาย!
ถึงผู้หญิงคนนั้นจะปฏิเสธการรักษาจากเขาแต่เขาก็ยังบันทึกรายละเอียดอาการของเธอเอาไว้เขามีแผนการรักษามากมายอยู่ในหัว การผ่าตัดที่ว่าไม่ได้น่ากลัวอย่างที่สองแม่ลูกคู่นั้นคิดอากาศที่หนาวเย็นในวันนี้ทําให้แทบไม่มีคนไข้มาเลย
เมื่อกลับไปบ้านในตอนกลางวันหวังเย้าก็ได้เอ่ยเรื่องที่เจี๋ยจื้อจายชวนไปทานอาหารเย็นที่บ้านของเขาและอย่างที่คาดไว้พ่อของเขาไม่สนใจ
พ่อของเขาถือว่าตัวเองแก่แล้วและคงเข้ากับคนหนุ่มสาวไม่ได้ เขาคิดว่าเมื่อไปอยู่กับกลุ่มคนหนุ่มสาวแล้วเขาจะทําตัวไม่ถูก และความสนใจของพวกเขาก็ต่างกันด้วย
เมื่อตะวันตกดินหวังเย้าก็น่าเหล้าสองขวดติดมือไปที่บ้านของเจี๋ยจื้อจายด้วย“เชิญนั่งเลยครับเชียนเชิง”
ปลาตัวโตที่มีไอความร้อนลอยอยู่ถูกนําขึ้นโต๊ะปลาถูกนําไปทําเป็นอาหารตั้งแต่ตอนกลางวันซุปปลาสีขาวน้ำนมส่งกลิ่นหอมน่าทาน มันทําให้คนที่ได้กลิ่นเกิดความอยากอาหารขึ้นมาทันที
ซุปปลาใส่เต้าหู้จําเป็นต้องใช้เวลาตุ๋นค่อนข้างนานก่อนที่พวกเขาจะสามารถนํามาทานได้
หูเหมยยังทําอาหารมาอีกหลายจานเธอมีฝีมือในการทําอาหารสูงมาก
พวกเขาทั้งสี่คนหนึ่งอาจารย์และศิษย์สามคนต่างนั่งรวมตัวอยู่ที่โต๊ะตัวเดียวกันพวกเขาทานปลา, ดื่มเหล้า, และพูดคุย
อากาศภายนอกเย็นเฉียบส่วนภายในบ้านกลับอบอุ่นพร้อมกับอาหารร้อนๆ
“ปีใหม่ใกล้จะมาถึงแล้วพวกคุณไม่มีใครคิดจะกลับบ้านเกิดกันเลยเหรอครับ?”
“บ้านเกิด?” เจี๋ยจื้อจายถามในขณะที่เขากําลังเคี้ยวอาหารอยู่
“ถ้าเชียนเชิงไม่พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาผมคงจะลืมไปแล้วว่าบ้านเกิดของผมอยู่ที่ไหนตอนที่ผม
จากมาเมื่อนานมาแล้ว ที่นั่นมีแต่บ้านผุพังอยู่เต็มไปหมดคงมีแค่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าตอนนี้มันยังอยู่ดีรึเปล่าพวกมันดูใกล้พังอยู่รอมร่อ แล้วผมก็ไม่ค่อยมีญาติพี่น้องอยู่ที่นั่นด้วยถ้ากลับไปมันก็ คงไม่ต่างจากการไปเยือนต่างถิ่นมันไม่มีความรู้สึกอะไรหลงเหลืออยู่แล้ว ผมอยู่ที่นี่ยังจะดีซะกว่า”
พวกเขานั่งอยู่ที่โต๊ะและพูดคุยกันถึงเรื่องปีใหม่กับเรื่องบ้านเกิดของแต่ละคนเจี๋ยจื้อจายพูด
ถึงเรื่องอดีตที่มืดมนของเขาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่เขาไม่อยากพูดถึงมัน
“เทียบกับชีวิตตอนนี้แล้วช่วงเวลานั้นมันมืดมนมาก”เขาพูด
“แล้วคุณล่ะ? คุณไม่กลับบ้านเกิดเหรอ?”หวังเย้าหันไปถามจงหลิวชวนที่นั่งอยู่ข้างเขา“บ้านเกิด?ผมจําไม่ได้แล้วว่าบ้านเกิดของผมหน้าตาเป็นยังไง” หลังจากนึกย้อนความหลังอยู่ครู่หนึ่งจงหลิวชวนก็ตอบออกไป
สําหรับเรื่องนั้น เขาก็ไม่ได้ต่างจากเจี๋ยจื้อจายมากนักเขาออกจากบ้านเกิดมานานหลายปีแล้วเขาเคยกลับไปที่นั่นแค่ครั้งเดียวเท่านั้นมันแทบไม่มีคนเหลืออยู่แล้วการกลับไปจึงไร้ความหมายสําหรับเขา
“เชียนเชิงตั้งแต่นี้เป็นต้นไปหมู่บ้านนี้ก็คือบ้านเกิดของพวกเรา” เจี๋ยจื้อจายพูด
พวกเขาปักหลักและตั้งรกรากอยู่ที่หมู่บ้านนี้พวกเขาถึงขนาดย้ายทะเบียนบ้านมาอยู่ที่นี่เป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วย
“พวกเราถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วใช่ไหมครับเขียนเชิง?”
“แน่นอนอยู่แล้ว”หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม
“มา ชนแก้ว”
“ชน!”
จงหลิวชวนยิ้มและชูแก้วน้ำผลไม้ขึ้น
ภายในบ้านเต็มไปด้วยความอบอุ่นและทุกคนต่างก็รู้สึกอบอุ่นที่หัวใจใบหน้าของแต่ละคนล้วนเต็มไปด้วยความสุข
พวกเขานั่งคุยกันจนถึงสามทุ่มก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน
หวังเย้าขึ้นไปบนเนินเขาหนานชานภายใต้ค่ําคืนที่เย็นเยียบ พระจันทร์เสี้ยวแขวนตัวอยู่บน
ท้องฟ้า ดูโดดเดี่ยวและอ้างว้าง
บนเนินเขา หนานชานนั้นอบอุ่นราวกับอยู่ในฤดูใบไม้ผลิ
ค่าคืนผ่านพ้นไปโดยไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น
เช้าวันต่อมาหวังเย้าที่เพิ่งลงมาจากเขาก็ได้พบกับใบหน้าคุ้นเคยรอเขาอยู่ที่ด้านหน้าคลินิก“พี่เหอไม่ได้เห็นหน้าพี่นานเลยนะครับ เข้ามาสิครับ”คนที่รออยู่นั้นก็คือเหอฉีเชิงมันนาน
มากแล้วจริงๆที่เขาไม่ได้มาที่นี่
“ช่วงนี้ฉันยุ่งมาก ก็เลยไม่มีเวลาแวะมาที่นี่เลย”เหอฉีเชิงพูดด้วยรอยยิ้ม
หลังจากเชิญเขาเข้ามาด้านในแล้วหวังเย้าก็รินน้ำชาให้เขา
“ฉันได้ยินมาว่านายตั้งบริษัทผลิตยาขึ้นมา”
“ใช่ครับ”หวังเย้าพูด“มันอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองเท่าไหร่แล้วพี่เป็นยังไงบ้างครับ?”
“ฉันสบายดี” เหอฉีเชิงพูด
ที่เขามาที่นี่ก็เพราะใกล้จะถึงวันส่งท้ายปีเก่าแล้วมันเป็นธรรมเนียมที่เขาทําเป็นประจําทุกปีเขามาที่นี่ในฐานะตัวแทนของตระกูลถั่ว และกั่วซือหรงก็กําชับเรื่องนี้กับเขาเป็นพิเศษ
“แค่พี่มาหาถึงที่นี่ก็มากพอแล้วไม่เห็นต้องเอาของขวัญมาด้วยเลยนะครับ”
“ปีใหม่ใกล้เข้ามาแล้ว” เหอฉีเชิงพูด“มันไม่ได้มากมายอะไรเลย รับไปเถอะนะไม่อย่างนั้นฉันจะนําบากเอาได้
“ก็ได้ครับ ผมจะรับเอาไว้แต่ผมไม่ปล่อยให้พี่ต้องกลับไปมือเปล่าหรอกนะครับ”หวังเย้าเอาชาชั้นดีให้เขาหนึ่งกระปุกมันไม่ได้มากมายอะไรแต่ก็ถือเป็นการแสดงความขอบคุณจากเขา
เหอฉีเชิงนั่งอยู่ประมาณหนึ่งชั่วโมงทั้งสองพูดคุยกันเรื่อยเปื่อย รวมไปถึงข่าวคราวของตระกูลถั่วที่รวมอยู่ในนั้นด้วย
หวังเย้าเดินออกมาส่งเขาที่ประตู“เดินทางปลอดภัยนะครับ”
เขารู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายมีเรื่องบางอย่างอยู่ในใจ
“เขาคงเหนื่อยใจน่าดู” หวังเย้าถอนหายใจ
ตอนเช้า มีคนไข้คนหนึ่งที่มาด้วยอาการปวดหัวสาเหตุนั้นเป็นเรื่องทั่วไปนั่นก็คืออากาศที่หนาวเย็นและคนไข้ไม่สนใจเรื่องอุณหภูมิเมื่อนั่งอยู่ภายในรถแล้วก็เป็นสาเหตุที่ทําให้เป็นหวัดหวังเย้านวดให้กับคนไข้จนเริ่มมีเหงื่อออกจากนั้นก็ให้ยาไปกิน
“กลับบ้านไปก็กินยาตามที่บอกไปนะครับ”
“ขอบคุณครับ”
คนไข้คนนี้บ่นถึงเรื่องงานในตอนที่หวังเย้ารักษาให้กับเขาเขาพูดถึงเรื่องความยากของงานและใกล้สิ้นปีแล้วแต่เจ้านายก็ยังไม่ยอมจ่ายเงินเดือนให้
ชีวิตนั้นไม่ง่ายเลย
หวังเย้าท่าเพียงแค่ยิ้มให้ในตอนที่คนไข้บ่นให้เขาฟังเขาเพียงพูดปลอบใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มอีก มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้
คนเราหลังจากที่ได้บ่นออกมาแล้วก็มักจะอารมณ์ดีขึ้น
ภายในตัวเมืองที่ห่างจากหมู่บ้านออกไปไม่ไกล
“สวัสดีครับ ประธานเจิ้ง”
“โอ้ ทําไมถึงว่างมาที่นี่ได้ครับประธานพัน?”
การมาถึงของพวกเขาทําให้เจิ้งเหว่ยจวินต้องประหลาดใจ
“ประธานเจิ้ง ช่วงนี้กิจการกําลังไปได้ดีเลยนะครับ”ประธานพันพูดด้วยรอยยิ้ม
“มีออเดอร์เพิ่มเข้ามา ก็เลยมีงานให้ต้องทําเยอะน่ะครับแต่ตอนนี้ก็ใกล้สิ้นปีแล้ว เราก็จะได้หยุดพักกันบ้าง”
“เรามาเพราะมีเรื่องอยากปรึกษากับคุณเราต้องการออเดอร์ล็อตใหญ่ครับ”
“ใหญ่ขนาดไหนครับ?”เจิ้งเหว่ยจวินถาม
“เท่านี้ครับ” ประธานพันชูขึ้นมาห้านิ้ว
“50%?”
“หาเท่า”
“ห้าเท่า?”เจิ้งเหว่ยจวินตะลึง
“ยิ่งไปกว่านั้น ผมยังหวังว่าจะได้รับสิทธิพิเศษในการเป็นผู้จัดจําหน่ายในมณฑลเจียงซูและเจ้อเจียงแต่เพียงผู้เดียวด้วย”ประธานพันพูด“ผมไม่ได้พูดแค่เฉพาะแค่ยาเพียงตัวเดียวนะครับแต่เป็นสินค้าทั้งหมดของบริษัทหนานชานเภสัช”
ในความเป็นจริงเขาไม่ได้เชื่อมั่นในบริษัทยาที่เพิ่งตั้งขึ้นมาได้ไม่นานเท่าไหร่ที่เขาตกลงช่วยเจิ้งเหว่ยจวินเป็นเพราะพวกเขาเคยมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก่อนในตอนแรกยาไม่ได้รับความนิยมมากนักเขาจึงปล่อยเอาไว้อย่างนั้นแต่พอผ่านไปได้สองอาทิตย์ ร้านค้าปลีกหลายร้านที่รับสินค้าจากบริษัทของเขาต่างก็สั่งซื้อยาตัวนั้นในจํานวนที่มากขึ้นมันเป็นปริมาณการสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติเขาจึงประหลาดใจมากและได้ให้คนของเขาทําการตรวจสอบเรื่องนี้ผลออกมาว่าตัวยานั้นมีประสิทธิภาพสูงและมีตลาดขนาดใหญ่รองรับการซื้อการบอกต่อกันปากต่อปากคือการโฆษณาที่มีประสิทธิภาพที่สุดมันทําให้เขามองเห็นความสําคัญของยาตัวนี้ และเดินทางมาติดต่อธุรกิจด้วยตัวเอง
“คําขอที่สองผมสามารถตกลงได้ครับ”เจิ้งเหว่ยจวินพูด
ในตอนที่เริ่มต้นธุรกิจใหม่เจิ้งเหว่ยจวินได้ไปขอความช่วยเหลือจากคนที่เขาเรียกว่าเพื่อนเพื่อกระจายสินค้าล็อตแรกออกไปในหมู่คนที่เขาไปขอความช่วยเหลือมีเพียงชายตรงหน้าเขาเท่านั้นที่ตอบตกลงช่วยเหลือโดยไม่พูดอะไรให้มากความถึงเขาจะรับไปในปริมาณที่ไม่มากแต่มันก็ถือเป็นบุญคุณที่ทําให้บริษัทของเขาอยู่ได้ มันเป็นเรื่องที่เขาให้ความสําคัญเสมอมาดังนั้นเขาจึงตอบตกลงข้อเสนอของอีกฝ่ายแต่ข้อเสนอแรกนั้นกลับเป็นปัญหา
“แล้วข้อเสนอแรกล่ะครับ?”ประธานพันถาม
“อย่างมากที่สุดผมให้คุณได้แค่ 2.5 เท่าเท่านั้นครับ”เจิ้งเหว่ยจวินพูด“มากกว่านี้คงไม่ได้”
“ทําไมล่ะครับ?”
“ตอนนี้ มีออเดอร์เข้ามาเยอะมากครับ”เจิ้งเหว่ยจวินพูดเขาไม่ได้โกหกเขาได้รับออกเดอร์เพิ่มจากลูกค้าห้ารายแต่เขาไม่สามารถทําอะไรได้มากนักกับปริมาณสินค้าที่มีอยู่เขามีพร้อมทั้งคนและเครื่องจักรในการผลิตสินค้าออกมาในปริมาณมากแต่ไม่ใช่กับวัตถุดิบความต้องการของหวังเย้าคือสมุนไพรป่าอย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นสมุนไพรที่เพาะปลูกขึ้นในป่าเขาจึงบอกให้ฝ่ายจัดซื้อดูแลเรื่องนี้อย่างเข้มงวดหากเกิดปัญหาขึ้นคนที่เกี่ยวข้องจะต้องถูกไล่ออกทั้งหมด
เพื่อสร้างความมั่นใจในเรื่องนี้เขาจึงได้สั่งการให้คนที่เขาไว้ใจนําตัวอย่างสมุนไพรที่ได้มาไปทําการตรวจสอบเป็นประจําก่อนที่จะนําตัวอย่างส่งไปให้ห้องแล็ปภายนอกตัวสอบอีกรอบบริษัท
เข้มงวดกับเรื่องนี้มากวัตถุดิบทั้งหมดจึงเป็นของที่ดีที่สุดที่หาได้จากประเทศนี้
“ได้เท่านี้จริงๆเหรอครับ?”
“ผมก็อยากจะเพิ่มปริมาณสินค้าเหมือนกันครับแต่ผมทําได้เท่านี้จริงๆ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด “ทุกขั้นตอนการผลิตเป็นไปอย่างเข้มงวด การลดทอนส่วนใดส่วนหนึ่งนั้นไม่ได้เด็ดขาดไม่อย่างนั้น มันจะทําลายชื่อเสียงที่เราสร้างขึ้นมา”
“ก็ได้ครับ เอาตามนี้แล้วกัน”ประธานพันพูด
ทั้งสองเซ็นสัญญาในตอนนั้นเลย
“ยินดีที่ได้ทําธุรกิจร่วมกับคุณเหมือนอย่างเช่นเคย”
“เช่นกันครับ”
ทั้งสองต่างพอใจกันทั้งสองฝ่ายเจิ้งเหว่ยจวินจึงพาประธานพันไปเลี้ยงข้าวในระหว่างที่ทานอาหารกันอยู่นั้นพวกเขาก็ได้พูดคุยกันไปด้วย เขาจึงได้รู้ว่าประธานพันได้เดินทางไปปักกิ่งเพื่อ
ตามหาหมอให้มารักษาแม่ของเขา
“แม่ของคุณไม่สบายเหรอ?”เจิ้งเหว่ยจวินถาม
“ใช่ เธอปวดขามาได้สักพักแล้วล่ะโดยเฉพาะปีนี้เธอแทบไม่กล้าลุกออกจากเตียงเลยด้วย
ซ้ํา เราไปหาหมอมาหลายคนแล้ว แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนักผมก็เลยอยากพาเธอไปรักษาที่ปักกิ่งดู”
“ผมรู้จักหมอเก่งๆอยู่คนหนึ่ง”เจิ้งเหว่ยจวินพูดด้วยรอยยิ้ม
“จริงเหรอ? แล้วหมออยู่ที่ไหนครับ?”ประธานพันถาม
“ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่ครับ”
“ดีเลย คุณช่วยแนะนําหมอให้ผมรู้จักได้ไหมครับ?”“ไม่มีปัญหาครับ!”