Elixir Supplier - ตอนที่ 983 ปล่อยให้พวกเขามาเนต
983 ปล่อยให้พวกเขามาเนต
“มันเป็นเรื่องจริงเหรอ?”
“จริงแท้แน่นอนในวิดีโอเป็นของจริง!”
“แล้วมันอยู่ตรงไหน?”
“ดูสิ มันมีเขียนอยู่ในแผนที่ด้วย”
“พี่ เราเข้าไปดูกันไหม?”
“ไปสิ!”
หลายวันที่ผ่านมาสถานที่ที่ถูกเรียกว่าหุบเขาพันโอสถอยู่ๆก็เริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาในอินเตอร์มันตั้งอยู่ในป่าลึกเป็นสรวงสวรรค์ที่หลีกหนีจากโลกภายนอกทางเข้าออกเดียวคือต้องข้ามสะพานไม้ที่ด้านล่างเป็นแม่น้ำเชี่ยวกราดจากตรงนั้นไปพวกเขายังต้องเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางเล็กๆเพื่อเข้าสู่ตัวหุบเขา
นี่ไม่ใช่ข้อมูลที่มีแค่ตัวหนังสือเท่านั้น แต่มันยังมีรูปถ่ายที่เพิ่มความน่าเชื่อถือเข้ามาด้วยมีคนมากมายที่ชื่นชอบการบุกตะลุยเข้าไปในพื้นที่ห่างไกลดังนั้นจึงเริ่มมีคนพากันเดินทางเข้าไปในหุบเขาพันโอสถมากขึ้นเรื่อยๆระหว่างทางพวกเขาได้พบเจอเรื่องราวแปลกประหลาดมากมายเช่นยางรถที่อยู่ๆก็ระเบิด,คนที่อยู่ๆก็หมดสติ,มีคนเลือดท่วมตัวร่วงลงมาจากฟ้าและอีกหลายๆอย่างสิ่งผิดปกติเหล่านี้ถูกโพสลงบนอินเตอร์เนตโดยคนที่ต้องการไปหุบเขาพันโอสถแต่กลับไปไม่ถึงมันจึงทําให้เรื่องยิ่งร้อนระอุขึ้นกว่าเดิม
บางคนคาดเดาว่าสถานที่แห่งนั้นมีเทพคอยปกป้องและเป็นสรวงสวรรค์ที่ไร้มลทินบางคน
พูดว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพียงอุบัติเหตุในขณะที่บางคนคิดว่าทั้งหมดเป็นฝีมือของคนในหุบเขาพันโอสถที่จงใจสร้างเรื่องเพื่อไม่ให้คนนอกเข้าไปในหุบเขา
ยิ่งนานวันก็ยิ่งทําให้ผู้คนเกิดความอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นเรื่อยๆ ทําให้จํานวนคนที่เดินทางเข้าไปในหุบเขาพันโอสถที่ควรจะลดลงกลับเพิ่มมากขึ้นแทนแล้ว
“อะไรนะ? มีคนเข้ามามากขึ้นอย่างนั้นเหรอ?”
“ครับ ผมกลัวว่าถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปคงแย่แน่!”
“มันมีแต่จะทําให้คนสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆ”เมี่ยวซีเหอจิบชา
“เราคงห้ามไม่ให้พวกเขาเข้ามาไม่ได้แล้ว”
“แล้วเราจะปล่อยให้พวกเขาเข้ามาอย่างนั้นเหรอครับ?”
“ปล่อยให้พวกเขาเข้ามา” เมี่ยวซีเหอพูด
“หา?”
“ให้พวกเขาเข้ามาแล้วพวกเขาจะต้องเสียใจที่มาที่นี่”เมี่ยวซีเหอพูด
“ครับ” เมี่ยวชิงเฟิงพูด
เขาไม่รู้ว่าผู้นําคิดจะทําอะไรแต่ฟังจากคําพูดของอีกฝ่ายแล้วดูเหมือนว่าเขาจะตัดสินใจได้
“ให้คนของเราตรวจสอบเรื่องนี้ดู มันดูไม่ชอบมาพากลเท่าไหร่”
“ได้ครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้”
“อืม” เมี่ยวซีเหอส่งเสียงรับและโบกมือ“ไปเถอะๆ”
ภายใต้แสงอาทิตย์ที่กําลังตกดินกลุ่มคนทั้งหมดห้าคนบุกฝ่าผ่านความยากลําบากและในที่สุดพวกเขาก็มองเห็นสะพานไม้ข้ามแม่น้ำกับภาพของหุบเขาที่อยู่อีกด้านหนึ่งของสะพาน“มันคือหุบเขาพันโอสถ!ในที่สุดพวกเราก็เจอแล้ว!”
พวกเขาพากันข้ามสะพานไม่จากนั้นก็ไปยืนอยู่ตรงปากทางเข้าหุบเขาและได้เห็นภาพที่อยู่
ด้านในนั้น
ภาพของถนนโบราณที่ถูกปูด้วยหินชนวนมีควันลอยออกมาจากบ้านที่ทําขึ้นจากไม้ไผ่และภูเขาเขียวขจีประกบอยู่ทั้งสองฝากของหุบเขามันเป็นภาพของสรวงสวรรค์ที่แสนสงบสุข
“สวยจริงๆ!”
“ใช่ มันเหมือนอย่างในรูปที่โพสเลย”
พวกเขาไม่ลืมที่จะโพสลงไปในหน้าแอคเคาท์ของแต่ละคน
“เราพบหุบเขาพันโอสถในตํานานแล้ว มันสวยเหมือนภาพวาดเลย”
“มันคือสรวงสวรรค์”
“เดินทางนับพันลี้ หนึ่งวันที่เร่งรีบ และถนนที่เต็มไปด้วยดินโคลน มันคุ้มค่าแล้วจริงๆ!”“เข้าไปดูข้างในกันเถอะ”
ทั้งห้าเดินเข้าไปในหุบเขาพวกเขาเห็นผู้คนในหุบเขาใส่เสื้อผ้าทอมือและกําลังเดินไปมาอย่างไม่รีบร้อน
“สวัสดี” พวกเขาเดินเข้าไปทักชาวบ้าน
เมื่อได้ยินเสียงทักทายของพวกเขาชายวัยสี่สิบก็หันไปมองคนทั้งห้าและเปิดปากพูดอะไรบางอย่างแต่พวกเขาไม่เข้าใจค่าพูดของเขาเลย
“มันหมายความว่าอะไรเหรอ?”
“หรือจะเป็นภาษาท้องถิ่น?”
“ต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ!”
ทั้งห้าท่าอะไรไม่ถูกไม่มีใครเข้าใจที่ชายคนนั้นพูดและอีกฝ่ายก็ไม่เข้าใจค่าพูดของพวกเขาเช่นกันไม่มีทางไหนที่พวกเขาจะสามารถสื่อสารกันได้เลย
“เราจะเอายังไงกันดี?”
“เราลองเดินดูรอบๆกันก่อนดีกว่า”
“รอก่อนตอนนี้ก็ใกล้ค่ำแล้วทําไมเราไม่หาที่พักสําหรับคืนนี้กันก่อนล่ะ?”
“จริงด้วย ไปเร็วเข้า”
พระอาทิตย์ใกล้จะตกดินแล้ว
“เราคงต้องเดินหาที่เหมาะๆกันก่อน”
คนนอกทั้งห้าเดินไปรอบๆหุบเขาและได้พบกับชาวบ้านนับสิบคน แต่พวกเขากลับไม่สามารถสื่อสารกับชาวบ้านได้เพราะปัญหาในเรื่องของภาษาถิ่น
“คืนนี้ เราคงต้องนอนเต้นท์กันแล้วล่ะ!”
“ดูสิ ตรงนั้นมีทะเลสาบด้วย!”
พวกเขาหันไปเห็นทะเลสาบอันเฉินน้ำในทะเลสาบเป็นประกายล่อแสงภายใต้แสงอาทิตย์ที่กําลังตกดิน มันดูสงบไร้คลื่นลม
“สวยมาก!”
พวกเขารีบถ่ายรูปและโพสลงโซเชียล
“การเดินทางครั้งนี้คุ้มค่ามากดูทะเลสาบสิมันสวยมากแค่มองก็มึนเมาได้แล้ว!”
“มันเป็นการเดินทางที่คุ้มค่าจริงๆ!”
ค่าคืนมาเยือนพวกเขายังคงหาที่ตั้งเต้นท์ไม่ได้มีคนเดินเข้ามาถามพวกเขาแต่พวกเขาก็ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายพูดว่าอะไร
“เราตั้งเต้นท์กันตรงทะเลสาบดีไหม?”
“อย่านอนใกล้ทะเลสาบเลยลมมันแรงแล้วที่นี่ก็อาจจะมีกฎหรือธรรมเนียมปฏิบัติที่เราไม่รู้อยู่ก็ได้ดูสิตรงทะเลสาบมีรูปปั้นอยู่ด้วย” ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นผู้นํากลุ่มชี้ไปที่รูปปั้นหินตรงทะเลสาบมันเป็นรูปของชายคนหนึ่งกับปลาขนาดใหญ่
“แล้วเราจะไปที่ไหนกันดีล่ะ?”
“เราไปนอนกันที่ตรงปากทางเข้าหมู่บ้านกันเถอะตอนที่เราเข้ามา ฉันเห็นมันมีที่ว่างอยู่”
“ได้ งั้นพวกเราไปที่นั่นกัน”
กลุ่มคนทั้งห้าพากันเดินไปที่ปากทางเข้าหุบเขา พวกเขามองหาพื้นที่ว่างที่ค่อนข้างเรียบอยู่ไม่ห่างจากหน้าผา
“เอาเป็นที่นี่แล้วกัน”
พวกเขาเอาเต้นท์ออกมาตั้งและช่วยกันก่อไฟ
การเดินทางในครั้งนี้ทําให้แต่ละคนล้วนเหนื่อยล้าหลังจากกินอะไรกันเรียบร้อยแล้วพวกเขา
ก็ตกลงเรื่องเวรยามโดยแบ่งออกเป็นสองกลุ่มคนที่เหลือก็แยกย้ายกันไปนอนค่ำคืนผ่านพ้นไปอย่างเงียบเชียบ
วันต่อมาเมื่อพวกเขามารวมตัวกันอีกครั้งพวกเขาก็พบว่ามีคนหายไปหนึ่งคน
“เสี่ยวหมิงล่ะ?”
“เขาเข้าไปนอนในเต้นท์ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว!”
“ตอนกี่โมง?”
“ตีสาม ตอนที่พวกเราเปลี่ยนเวรกันฉันเห็นกับตาเลย!”
“ลองดูอีกทีสิ!”
พวกเขาเริ่มกังวลเล็กน้อย
“เสี่ยวหมิง!”
พวกเขาแยกย้ายกันตามหาและตะโกนเรียกชื่อเพื่อนไปรอบๆ
“เขาอยู่ตรงนี้!”
ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ตรงปากทางเข้าหุบเขาพวกเขาพบเพื่อนที่หายตัวไปนอนหมดสติอยู่
“ทําไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?”
“เกิดอะไรขึ้นกับเขา?เขาหมดสติเหรอ?”
หนึ่งในพวกเขาเข้าไปดูอาการของเขาและพูดว่า“เขายังหายใจอยู่และหัวใจก็เต้นปกติดี”“ถ้าอย่างนั้นรีบพาเขาไปโรงพยาบาลกันดีกว่า”
“เวรเอ้ย!”
ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงที่นี่กันแล้วแต่พวกเขากลับไม่มีเวลาได้ชื่นชมทิวทัศน์ที่สวยงามของที่นี่ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ยินยอมแค่ไหน แต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกชีวิตของเพื่อนสําคัญที่สุดพวกเขาจึงช่วยกันพยุงตัวเขาและพากันข้ามสะพานไม้จากนั้นพวกเขาก็กลับไปที่รถและขับออกไป
หลังจากที่พวกเขาขับรถออกไปได้ไม่นานก็มีหลายคนโผล่ออกมาที่ปากทางเข้าหุบเขา
“เขาตายแล้วเหรอ?”
“ไม่ตาย เขาแค่ไม่ได้สติไปสองสามวันเท่านั้น”
“ดี”
“ถ้าเป็นฉัน คงจัดการให้ตายไปสักสองสามคนปัญหานี้ผ่านไปแต่ก็มีปัญหาใหม่เข้ามาเรื่อยๆเมื่อไหร่มันจะจบสักที?”
“มันเป็นค่าสั่งของผู้นํา”เมี่ยวชิงเฟิงพูดเสียงเย็น“เราต้องทําตามที่เขาสั่ง”
เรื่องนี้ไม่มีทางจบในเร็ววันนี้อย่างแน่นอน
ในตอนที่คนทั้งห้ากําลังขับรถออกจากป่าก็มีเพื่อนในกลุ่มอีกสองคนที่หมดสติไป
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” อีกสองคนที่เหลือทําอะไรไม่ถูกถ้าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีพวกเขาทั้งหมดอาจจะนอนหมดสติอยู่ภายในป่านี้มันไม่มีร้านค้าหรือชาวบ้านให้เห็นในบริเวณนี้เลย