Elixir Supplier - ตอนที่ 984 ใกล้หาย
984 ใกล้หาย
“ฉันบอกนายแล้วว่าอย่ามาที่นี่ป่ากับหุบเขานั่นมันแปลกเกินไป!” ชายหนุ่มอีกคนที่ยังมีสติดีพูดด้วยน้ำตาที่ใกล้จะไหลลงมาอยู่รอมร่อ
“มาพูดตอนนี้จะไปมีประโยชน์อะไร?รีบคิดหาทางออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดดีกว่า”ชายหนุ่มผู้นํากลุ่มก็มีท่าทีวิตกกังวลเหมือนกัน เขาทั้งกังวลและเสียใจกับการตัดสินใจมาในครั้งนี้ของพวกเขา
พวกเขาตัดสินใจมาที่นี่ด้วยอารมณ์ชั่ววูบแต่มันก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาทําแบบนี้เขาเคยท่องไปในป่าเขาหมู่บ้านร้างที่ถูกลืมและสถานที่อื่นๆที่ว่ากันว่ามีผีอยู่แต่ก็ไม่เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้นเลยต่างจากที่นี่ที่คนในกลุ่มของพวกเขาหมดสติไปถึงสามคน
พวกเขาต่างสวดอ้อนวอนพระเจ้าและพูดบทสวดไม่เป็นศัพท์ “พระพุทธเจ้าคุ้มครองเราด้วยพระพุทธเจ้าคุ้มครองเราด้วย”
บางทีคําอธิษฐานของเขาอาจได้ผลเพราะพวกเขาสามารถออกมาจากป่าได้อย่างปลอดภัย
จากนั้นพวกเขาก็รีบไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดเพื่อพาเพื่อนที่หมดสติทั้งสามคนไปรักษา“สัญญาณชีพของพวกเขาปกติดี”หมอพูด “แต่อุปกรณ์ของเราไม่พร้อมเราคงไม่สามารถรักษาพวกเขาได้ พวกคุณรีบไปที่โรงพยาบาลที่ใหญ่กว่านี้ดีกว่านะ”
“หมอ แสดงว่าตอนนี้เพื่อนทั้งสามคนของเราไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม?” “สําหรับตอนนี้น่ะใช่แต่ถ้านานกว่านี้ผมก็บอกไม่ได้เหมือนกัน” หมอพูด
“ผมเข้าใจแล้ว ขอบคุณมากครับ”หลังจากที่ได้ยินแบบนั้นแล้วเขาก็รีบติดต่อไปหาโรงพยาบาลขนาดใหญ่เพื่อที่จะพาเพื่อนของเขาไปรักษาที่นั่นมีข่าวใหม่เกี่ยวกับหุบเขาพันโอสถถูกโพสในอินเตอร์เนต
[คนที่อยู่ที่นั่นไม่เข้าใจภาษาของคนภายนอกพวกเขายังใช้ภาษาท้องถิ่นพูดคุยกันทําให้เราไม่สามารถสื่อสารกับพวกเขาได้]
[มันเป็นสถานที่ที่อันตรายหลังจากที่เข้าไปแล้วกลุ่มของพวกเราก็มีคนที่ป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุเราเลยต้องยกเลิกการเดินทางในครั้งนี้ไปกลางคันแต่ทิวทัศน์ของที่นั่นสวยมากจริงๆ]
[เราไปที่นั่นได้ไหม?]
[ถ้าไม่กลัวตาย ก็ลองดูได้นะ]
มีการสร้างฟอรัมขึ้นมาเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับหุบเขาพันโอสถโดยเฉพาะ
คนที่รู้สึกสงสัย รู้สึกเบื่อหน่าย หรือชื่นชอบการผจญภัยไม่คิดที่จะหยุดการสํารวจของพวกเขาเพียงเพราะมีการโพสเรื่องพวกนี้แต่มันกลับยิ่งทําให้พวกเขารู้สึกสนใจมากขึ้นไปกว่าเดิมด้วยซ้ำ
ดังนั้นจึงเริ่มมีคนออกเดินทางเพื่อค้นหาหุบเขาพันโอสถมากขึ้นเรื่อยๆมันต่างจากก่อนหน้านี้ที่การเดินทางเป็นไปด้วยความลําบากเพราะในครั้งนี้การเดินทางราบรื่นกว่าเดิมมากเพราะคนที่เคยมาก่อนหน้านี้ได้ทําเครื่องหมายนําทางเอาไว้ให้แล้ว
“ผู้นํา?”
“ชิงเฟิง คนด้านนอกพูดอะไรกันบ้าง?”
“มันจัดการได้ยากมากครับ ครั้งนี้เห็นได้ชัดว่ามีคนด้านนอกที่คอยยุงยงอยู่อาจมีคนที่คอยบงการเรื่องนี้อยู่เบื้องหลังก็ได้ครับ”
“ใครเหรอ?”
“เรายังหาตัวคนทําไม่ได้ครับ”เมี่ยวชิงเฟิงพูด“การสืบเรื่องนี้ไม่ง่ายเลย”
“แต่เป้าหมายของเขาก็ถือว่าสําเร็จแล้ว”เมี่ยวซีเหอพูด“โลกได้รับรู้การมีตัวตนอยู่ของพวก
เรา เราไม่ได้ลึกลับและปลีกตัวจากโลกภายนอกอีกต่อไปแล้ว”
ความพยายามและความดึงดันที่ผ่านมาทั้งหมดของเขา ขนบธรรมเนียมและประเพณีที่ถูกส่งต่อกันมาในหุบเขานานนับร้อยปี ดูเหมือนจะถูกทําลายลงไปภายในเวลาเพียงแค่ไม่กี่วันเท่านั้น เขาคิดหาทางที่จะหยุดยั้งมันไม่ได้เลย
“เราจะทํายังไงกันดี?”
“คนด้านนอกกําลังพยายามหาทางกันอยู่ครับแต่ตอนนี้การกระจายข่าวสารในอินเตอร์เนตนั้นเร็วมาก”
“ฉันเข้าใจแล้ว ออกไปได้”
“ครับ”
เดี่ยวชิงเฟิงเดินออกไป
หลังจากที่เขาเดินออกมาแล้วเขาก็เดินต่อไปเรื่อยๆแล้วเขาก็เห็นชายหนุ่มที่มีใบหน้า
ซีดเซียว
“หยิงหาว นายกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ผมเพิ่งกลับมาเดี๋ยวนี้เอง”ชายหนุ่มพูด“ข้างนอกดูคึกคักกันมากเลยนะ!”
“ใช่ มันคึกคักมาก”เดี่ยวชิงเฟิงพูด “สายลมพัดผ่านหอสูงพายุฝนโปรยปรายบนภูเขาสูง”เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นเกินความคาดหมายและเริ่มควบคุมได้ยากขึ้น
เรื่อยๆ สิ่งที่พวกเขากําลังพยายามทําอยู่ในตอนนี้ไม่ต่างจากการนํากระดาษไปห่อไฟพวกเขาทําได้แค่หยุดมันไว้ได้ระยะหนึ่งแต่ไม่ใช่ตลอดไปแล้วไฟก็อาจจะลุกลามไปมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ“มีเรื่องอะไรให้ฉันทําเหรอ?”จ้าวหยิงหาวถาม
“นายเหรอ?ตอนนี้ยังไม่มีหรอก”เมี่ยวชิงเฟิงตอบด้วยรอยยิ้ม
“เรื่องนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุมันจะต้องมีคนคอยบงการอยู่เบื้องหลังแน่เราต้องหาคนคนนั้นให้เจอ”
จ้าวหยิงหาวไม่ได้พูดอะไรเขามองไปรอบๆหุบเขา“ที่นี่ดีจริงๆ” เขานับที่นี่เป็นบ้างหลังที่สองของเขาไปแล้ว
“อืม!”
เมี่ยวชิงเฟิงจุดบุหรี่สูบ
พวกเขาคุ้นชินกับชีวิตที่สงบสุขไม่มีใครต้องการให้คนนอกเข้ามารบกวนยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาไม่ใช่แค่ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขที่นี่เท่านั้น มีอีกหลายเรื่องที่ไม่สามารถเปิดเผยออกไปได้เป็นเรื่องที่คนนอกไม่ควรรับรู้แต่คนนอกที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเหล่านั้นยากที่จะควบคุมหรือหยุดยั้งอันตรายที่คืบคลานเข้ามานี้จําเป็นต้องถอนรากถอนโคนให้หมดไปแต่โชคร้ายที่ยิ่ง
พวกเขาพยายามจะหยุดยั้งมันเท่าไหร่ผลสะท้อนกลับก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
ปักกิ่งที่ห่างออกไปหลายพันไมล์
หวังเย้ามาอยู่ที่นี่ได้เกือบหนึ่งอาทิตย์แล้วในระหว่างนี้มาแขกมากมายที่เดินทางมาเยี่ยมตระกูลซูจุดประสงค์ที่แท้จริงของพวกเขาก็เพื่อให้ได้พบกับหวังเย้าพวกเขาไม่ได้มาเพื่อขอรับการรักษา แต่เพียงแค่ต้องการทําความรู้จักกับเขาเท่านั้นมันคือวิธีการสานสัมพันธ์ในแบบของพวกเขา
มหาวิทยาลัยของซูเสี่ยวซวีใกล้เปิดเรียนอีกครั้งแล้วและเธอคงจะยุ่งมากมันได้เวลาที่หวังเย้าต้องกลับแล้วเช่นกันไป
“เชียนเชิง เดินทางปลอดภัยนะคะ”
“อืมเธอกลับไปเถอะถ้ามีเวลาผมจะมาหาอีก”หวังเย้ากอดซูเสี่ยวซวีเอาไว้ก่อนที่เขาจะจากทั้งสองแยกจากกันโดยไม่เต็มใจ
คืนนั้น หวังเย้ากลับไปถึงที่บ้าน
วันต่อมาคลินิกก็กลับมาเปิดทําการเพื่อรับคนไข้ตามปกติ
ในวันแรกของการเปิดคลินิกหญิงวัยกลางคนได้มาที่หมู่บ้านกลางหุบเขาพร้อมกับลูกชายของเธอเพื่อรักษากับหวังเย้า
“ช่วงนี้รู้สึกเป็นยังไงบ้าง?”หวังเย้าถาม
“ผมรู้สึกดีมากครับ”เหอเสี่ยวรุ่ยยิ้มพูด
ตั้งแต่ที่เขาเริ่มรับการรักษาที่นี่เด็กหนุ่มรู้สึกได้ว่าร่างกายของเขาแข็งแรงขึ้นมากสภาพจิตใจของเขาสว่างสดใสราวกับแสงอาทิตย์ และเขาเริ่มพูดมากขึ้นเรื่อยๆ
“ร่างกายของเขาแข็งแรงขึ้นมากค่ะ”แม่ของเขาพูด“ตอนนี้เขาเริ่มกล้าขยับตัวมากขึ้นและอารมณ์ดีขึ้นเขายังชอบกินมากด้วยค่ะ”
“ดีครับ วันนี้เราจะมารักษากันต่อเลยนะครับ”
หลังจากกินยา และฝังเข็มลงไปในผิวหนังของเขาอยู่นั้นอยู่ๆก็มีคนเดินเข้ามาจากด้านนอก“ลุงมีเรื่องอะไรรึเปล่าครับ?”ชายที่เดินเข้ามาในคลินิกก็คือหวังยี่หลง
“อ่าเธอมีคนไข้อยู่เหรอ”หวังยี่หลงรีบพูด“เธอรักษาคนไข้ต่อเถอะ ไว้ฉันจะกลับมาใหม่”“ไม่เป็นไรครับลุงบอกมาได้เลยว่ามีเรื่องอะไร”
“ก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรมากหรอกไว้ฉันจะกลับมาใหม่แล้วกัน”หวังยี่หลงโบกมือและยิ้ม ก่อนจะเดินออกไปจากคลินิก
การแช่น้ำยานั้นใช้เวลาค่อนข้างนานมันใช้เวลามากกว่าสามชั่วโมงหวังเย้าจึงไม่ได้กินข้าวกลางวัน
“ดื่มน้าสักหน่อยนะ”
การแช่น้ำยานั้นค่อนข้างร้อนร่างกายจะสูญเสียน้ำไปจํานวนหนึ่ง ดังนั้น มันจึงจําเป็นต้องดื่มน้ำเพื่อเติมเต็มส่วนที่เสียไป
กว่าที่เขาจะรักษาเสร็จก็เป็นเวลาเกือบบ่ายสองโมงแล้ว
“หมอหวังต้องขอโทษที่ทําให้ต้องกินข้าวกลางวันช้านะคะ”
“ไม่เป็นไรเลยครับ”หวังเย้ายิ้มพูด“ผมไม่กินข้าวสักมื้อก็ไม่เป็นอะไรหรอกครับ”
มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรถ้าหากเทียบกับหมอศัลยกรรมที่ต้องยืนอยู่หน้าเตียงผ่าตัดหลายชั่วโมงแล้วล่ะก็ ความหิวเพียงเท่านี้นับว่าน้อยนิดมาก
หลังจากจ่ายเงินค่ารักษาแล้วสองแม่ลูกก็แสดงความขอบคุณก่อนจะกลับเข้าไปในตัวเมืองเวลาประมาณบ่ายสี่โมงหวังยี่หลงก็กลับมาที่คลินิกอีกครั้ง
“ลุงมีเรื่องอะไรเหรอครับ?”อีกฝ่ายมาที่นี่สองครั้งแล้วหวังเย้าคิดว่าชายชราคงมีเรื่องที่ต้องการให้เขาช่วย
“ไม่มีอะไรหรอกฉันแค่จะเอาของมาให้เท่านั้น”หวังยี่หลงยิ้มพูด
“อะไรเหรอครับ?”
“นี่ ฉันจับมาได้จากบนเขาเป่ยชาน”หวังยี่หลงดึงไก่ป่าออกมาจากย่ามของเขา
“โอ!” หวังเย้าตะลึง
“ลุงมาที่นี่ก็เพราะเรื่องนี้น่ะเหรอครับ?”
“ใช่ มันรสชาติไม่เลวเลยนะแต่เนื้อมันอาจจะแห้งไปสักหน่อยต้องเอาไปตุ๋นให้ดีก็ใช้ได้แล้ว”
“ไม่ได้ครับ ลุงไม่ต้องเอามาให้ผมหรอกเอากลับไปกินเองเถอะครับ”
“ฉันเอามาให้เธอ” หวังยี่หลงดึงดันที่จะเอาให้เขา
“ก็ได้ๆ ผมจะรับไว้”หวังเย้าพูด“ลุงดูแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆเลยนะครับ” เขาจับชีพจรของอีกฝ่ายไปเมื่อไม่กี่วันก่อนร่างกายของชายชราดีขึ้นมากเนื้อร้ายในร่ายกาย
ของชายชราหายไปแล้วการรักษาของหวังเย้านั้นได้ผลอย่างเห็นได้ชัด
“ใช่ ฉันแข็งแรงขึ้นมาก”หวังยี่หลงยิ้มพูด“เมื่อไหร่ที่มีเวลาฉันก็จะออกไปเดินเล่นข้างนอก
เมื่อวานฉันยังขึ้นไปบนเนินเขาเป่ยชานและเจอไก่ป่าตั้งสองตัว ฉันก็เลยขว้างก้อนหินใส่พวกมันแล้วบังเอิญมากที่มันดันไปโดนไก่ป่าตัวหนึ่งเข้าพอดี”
“ถ้าจับมาได้อีกลุงก็เก็บเอาไว้กินเองเถอะนะครับยังไงลุงก็ต้องบํารุงร่างกายของตัวเองด้วย”ไก่ป่านั้นมีรสชาติดีและช่วยบํารุงร่างกายได้เป็นอย่างดีมันคือสมบัติจากธรรมชาติอย่างแท้จริงมันคือยาบํารุงชั้นดีไก่ป่าชนิดนี้ได้มีการนําไปเลี้ยงและขยายพันธ์ในหลายที่หลังจากพูดคุยได้ไม่นานหวังยี่หลงก็จากไปด้วยอารมณ์ชื่นมื่น
หวังเย้ามองดูไก่ป่าในมือและพึมพํากับตัวเองว่า“คงต้องเอากลับไปที่บ้านแล้วล่ะ”
“ไปเอาไก่ป่ามาจากที่ไหนเหรอจ๊ะ?”
“ลุงยี่หลงเอามาให้ที่คลินิกเมื่อบ่ายนี้เองครับ”
“แล้วทําไมลูกถึงรับมาล่ะ?” จางซิวหยิงถาม
“เอ่อผมก็ไม่ได้อยากรับไว้หรอกรับแต่ผมปฏิเสธเขาไม่ได้จริงๆ”
“เอาเถอะในเมื่อรับมาแล้วงั้นเย็นนี้แม่จะเอาไปตุ๋นก็แล้วกัน”