Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2199 ศัตรูจากภายนอกรุกราน
ช่วงเวลานี้ หลี่ชิเย่ใช้เวลาไปกับการพิจารณาพินิจพิเคราะห์ยาเม็ดอายุวัฒนะ เขาทำการกลั่นมาเตาแล้วเตาเล่า ณ เวลานี้ยาเม็ดอายุวัฒนะที่เขากลั่นล้วนแล้วแต่ เป็นประเภทยาเม็ดอายุวัฒนะกษัตรา การที่เขากลั่นยาเม็ดอายุวัฒนะชนิดคุณภาพต่ำนอกจากจะเป็นการซ้อมมือแล้ว ขณะเดียวกันยังเป็นการเตรียมความพร้อมที่จะทำการกลั่นยาเม็ดอายุวัฒนะชนิดวิบากขั้นที่เก้าในอนาคต
ระหว่างที่หลี่ชิเย่รั้งอยู่ที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงเพื่อครุ่นคิดและพินิจพิเคราะห์เรื่องของยาเม็ดอายุวัฒนะอยู่นั้น ภายในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงเงียบสงบไม่มีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้น ทุกแห่งหนล้วนแล้วแต่สงบปราศจากสงครามใดๆ ระหว่างสำนักและตระกูลขุนนางโบราณ เรียกได้ว่าเป็นยุคสงบและเจริญรุ่งเรือง
ในระหว่างที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงสงบปราศจากเหตุการณ์ใดๆ นั้น ตูมเสียงดังสนั่นเกิดขึ้น ทันใดนั้นเองบนท้องฟ้าของราชสำนักพลันเกิดการระเบิดขึ้นมากะทันหัน ตามติดด้วยเสียงดังปังคล้ายเป็นสว่านยักษ์ได้ทำการเจาะท้องฟ้าจนทะลุในทันทีทันใดอย่างนั้น
ในเสี้ยววินาทีนี้เอง มองเห็นบริเวณท้องฟ้าที่แตกละเอียดปรากฎกองทัพที่แข็งแกร่งยากจะหาใดเทียมขึ้นมาขบวนหนึ่ง
“ถูกโจมตี ถูกโจมตี ถูกโจมตี…” ทันใดนั้นเอง ตึง ตึง ตึงเสียงเตือนภัยที่กระชั้นยิ่งดังไปทั่วทั้งราชสำนักก้องไปทั่วฟ้าดิน
“ศัตรูจากภายนอกเข้ารุกราน!” นาทีนี้เอง ระดับบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงรู้สึกตระหนกยิ่งนัก คำรามเสียงยาวออกมา นำพาศิษย์ภายในสำนักเข้ารักษาการประจำตำแหน่งในทันที
“พร้อมรบ” หวังหานในฐานะกษัตริย์ก็รู้สึกตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน สั่งการให้กองทัพและศิษย์ทั้งหมดเข้าสู่ลักษณะของการพร้อมรับศึก
ตูมตูมตูมพริบตาเดียวนั่นเอง กองทัพอาชาขบวนหนึ่งได้เหินฟ้าลงมา บดขยี้ท้องฟ้าแหลกละเอียด ด้วยท่าทีที่ปราศจากผู้ต่อกร
กองทัพอาชาขบวนนี้มีจำนวนหลายพันคน อีกทั้งล้วนแล้วแต่เป็นยอดฝีมือของยอดฝีมือ จำนวนนั้นมีอยู่ไม่น้อยที่เป็นระดับเทพแท้จริง
ช่าาาเสียงหนึ่งดังขึ้น มองเห็นกองทัพอาชาขบวนนี้ปรากฏธงแต่ละแต่ละธงที่กางออกและโบกสะบัด โดยที่ธงแต่ละผืนจะแตกต่างกันไป บ้างปักเป็นรูปมังกร บ้างปักเป็นรูปหยินหยาง บ้างปักรูปอักษรโซ่ว…
“พรรคหยางหมิง ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิพานหลง จูเซียงหวู่ถิง…” ระดับบรรพบุรุษหวาดผวาจนหน้าถอดสี เมื่อมองเห็นธงศึกแต่ละผืน จึงดึงให้สัญญาณเตือนภัยดังขึ้นอย่างสุดความสามารถ และร้องเสียงดังออกมาว่า “ข้าศึกรุกราน แดนพรรษรุกรานเข้ามา การเตือนภัยสูงสุด เตือนภัยสูงสุด!”
ภายในสำนักพระราชวังมีผู้คนอาศัยอยู่เป็นจำนวนสิบล้านคน มีทั้งผู้บำเพ็ญตนและมนุษย์ปุถุชนธรรมดา พลันทำให้ทุกคนตกใจจนยืนเซ่อไป เมื่อถูกศัตรูภายนอกเข้าโจมตีกะทันหันภายใต้กลางวันแสกๆ เช่นนี้ แม้แต่ยอดฝีมือจำนวนไม่น้อยที่มีประสบการณ์ก็ตกใจจนยืนเซ่อไปทันที
ทุกคนต่างงงงัน กระทั่งมีระดับบรรพบุรุษพูดขึ้นมาว่า “เพราะอะไรพรรคหยางหมิง ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิพานหลง จูเซียงหวู่ถิง… ถึงต้องมาโจมตีพวกเรา มีการบรรลุข้อตกลงสงบศึกมานานแล้วมิใช่รึ?”
การที่มีศัตรูภายนอกเข้ารุกราน พลันทำให้ผู้คนจำนวนมากในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงต่างรู้สึกงงงัน เนื่องจากทั้งหมดนี้หาใช่สำนักหรือตระกูลขุนนางโบราณของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง กองทัพที่ปรากฏขึ้นมากะทันหันคือไพร่พลกองทัพจากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิอื่นๆ ในแดนลัทธิพรรษ ทั้งยังเป็นระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิที่มีความแข็งแกร่งยิ่งนัก
นับตั้งแต่สิ้นสุดกระแสดูดเลือดในครั้งนั้นแล้ว ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงก็ได้ปิดสำนักไม่มีการไปมาหาสู่กับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิใดๆ ในแดนลัทธิพรรษตลอดมา เพื่อฟื้นฟูกำลัง เรียกได้ว่าในแต่ละยุคสมัยที่ผ่านไป ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงอยู่กันอย่างสงบสันติ ไม่ได้มีกรณีพิพาทด้านบุญคุณความแค้นกับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิใดๆ ทั้งสิ้น
เวลานี้ จู่ๆ ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิอื่นๆ ของแดนลัทธิพรรษพลันรุกล้ำโจมตีต่อระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงกะทันหัน แล้วจะไม่ให้ทุกคนในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงต่างเซ่อไปในทันทีได้อย่างไรกันเล่า
บุกทันใดนั้นเอง กองทัพอาชาขบวนนี้ได้รุกเข้าไปยังทิศทางที่ตั้งของราชวัง หรือพูดให้ถูกต้องกว่า พวกเขามุ่งไปยังที่ตั้งของต้นกำเนิดสัจธรรมของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง
กองทัพอาชาขบวนนี้มีความแหลมคมเกรียงไกรยิ่งนัก และดุดันอย่างยิ่ง พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นยอดฝีมือที่นำโดยเทพแท้จริงแต่ละคนด้วยตนเอง ด้วยท่าทีที่กวาดล้างสิ้นเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดิน
ยอดฝีมือที่เป็นกองทัพอาชาขบวนนี้มีการหลากหลายรูปแบบ มาจากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิต่างๆ กัน ในบรรดาพวกเขามีผู้ที่เปลวเพลิงลุกไหม้รุนแรงทั้งตัว พวกเขาคือยอดฝีมือจากเผ่าไฟ และมีคนที่มีแขนเป็นร้อยเป็นพันเต็มไปหมด สามารถค้ำยันฟ้าดินได้ เขาคือเทพแท้จริงของเผ่าแปดกร และมีผู้ที่เปล่งแสงพุทธะสาดส่องไปทั่วสากล เปี่ยมด้วยพลังเสน่ห์ที่ผู้คนไม่อาจต้านทานได้…
กองทัพพันธมิตรขบวนนี้ไม่เพียงมาจากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิขนาดใหญ่ของแดนลัทธิพรรษเท่านั้น ยังมาจากเผ่าพันธุ์ใหญ่ๆ อีกด้วย
ในแดนสามเซียนมีเผ่าพันธุ์อยู่เป็นพันเป็นหมื่น มีเผ่าพันธุ์อยู่หลากหลาย แต่ว่า เผาพันธุ์ที่มีอยู่ทั่วแดนสามเซียนจริงๆ นั้นมีอยู่ไม่มาก เป็นต้นว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็คือเผ่าพันธุ์ที่มีอยู่ทั่วทุกแห่งหนในแดนสามเซียน นอกเหนือจากเผ่าพันธุ์มนุษย์แล้วก็ยังมีเผ่าไฟ เผ่าแปดกร และเผ่าพุทธสวรรค์…เป็นต้น
ฆ่าบรรดาบรรพบุรุษและยอดฝีมือของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงต่างยึดมั่นอยู่กับตำแหน่งที่ตั้งของตน เมื่อต้องเผชิญหน้ากับกองทัพพันธมิตรที่บุกเข้ามา พวกเขาคำรามเสียงดังและโจมตีใส่กองทัพพันธมิตรที่ดาหน้าบุกเข้ามา
อ๊ากกเวลานี้เสียงร้องน่าเวทนาดังขึ้นไม่ขาดสาย เลือดสดๆ ที่สาดกระเซ็น ศิษย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงสู้ถวายหัวเพื่อปกป้องพื้นที่ของตน แต่ไม่สามารถต้านทานกับกองทัพอาชาพันธมิตรได้อยู่แล้ว
กองทัพอาชาพันธมิตรบุกทะลวงเข้าไปเหมือนดั่งผ่ากระบอกไม้ไผ่ ทุกที่ที่ผ่านไปได้ทำลายแนวป้องกันแห่งแล้วแห่งเล่า
เดิมทีระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงก็เสื่อมลงแล้ว ย่อมไม่สามารถต้านรับกับกองทัพพันธมิตรที่เกรียงไกรและเตรียมการมาอย่างดี ที่สำคัญมากกว่านั้นก็คือ กองทัพขบวนนี้ไม่ยึดครองสถานที่ใดๆ เลย พวกเขามุ่งหน้าตรงเข้าไปสังหารผ่าเป็นทางสายเลือดสายหนึ่ง พุ่งเป้าไปยังทิศทางอันเป็นที่ตั้งของต้นกำเนิดสัจธรรมของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง
ย่อมไม่ต้องสงสัย กองทัพพันธมิตรขบวนนี้มีเป้าหมายที่ชัดเจนมาก พวกเขาต้องการเข้าตีและยึดเอาต้นกำเนิดสัจธรรมของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง
กล่าวสำหรับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงแห่งหนึ่ง หากแม้กระทั่งต้นกำเนิดสัจธรรมของตนยังถูกยึดครองไปได้ล่ะก็ ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธินี้ก็คงจบสิ้นแล้วจริงๆ และถูกผู้อื่นยึดครองไปได้โดยสิ้นเชิง
“ฆ่า…” ศิษย์และยอดฝีมือของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงได้จัดกำลังเข้าต้านระลอกแล้วระลอกเล่า แม้จะรู้ดีว่าสู้กองทัพพันธมิตรขบวนนี้ไม่ได้ก็ตาม กองทัพของกองกำลังซั่ง หอศักดิ์สิทธิ์ ค่ายฉู่ก็ทยอยกันยกเข้ามาสนับสนุนในเวลาแรก
ห้วงระหว่างความอยู่รอดหรือสิ้นสูญของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิของตน ศึกแห่งการแย่งชิงอำนาจทุกอย่างล้วนแล้วแต่เล็กน้อยมากไม่คู่ควรจะกล่าวถึง ถ้าหากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงจบสิ้นลง สำนักและตระกูลขุนนางโบราณทั้งหมดก็สิ้นสุดลงด้วย เมื่อถึงเวลานั้นแล้วก็จะไม่มีกองกำลังซั่ง หอศักดิ์สิทธิ์ และค่ายฉู่อีกต่อไป
อ๊ากก…เสียงฆ่าฟันและเสียงร้องน่าเวทนาดังขึ้นทั่วทั้งราชสำนัก ศิษย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงล้มลงทีละคนๆ และมีศิษย์ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงอีกคนที่บุกเข้าไปแทน
แต่ว่า แม้ศิษย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงต่างบุกเข้าไปอย่างไม่คิดชีวิต ศิษย์ชุดแล้วชุดเล่าที่ใช้เลือดเนื้อของตนเข้าไปขวางทางของศัตรูก็ตาม แต่ทว่า ยังคงต้านพลังโจมตีของศัตรูเอาไว้ไม่อยู่ ในเวลานี้ กองทัพพันธมิตรเสมือนดั่งผ่ากระบอกไม้ไผ่ผ่าตรงเข้าไป ฆ่าฟันจนศิษย์ในราชสำนักแตกพ่ายกระเจิง
แม้ว่ากองทัพพันธมิตรขบวนนี้จะมีเพียงหลายพันคนเท่านั้น แต่ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นยอดฝีมือของยอดฝีมือทั้งสิ้น ในจำนวนนั้นยังมีระดับเทพแท้จริงอยู่ไม่น้อย แล้วศิษย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงจะไปต้านกับพวกเขาได้อย่างไรเล่า
ในกองทัพพันธมิตรขบวนนี้มีเทพแท้จริงหลายคนที่แข็งแกร่งมากเป็นพิเศษ หนึ่งในนั้นเป็นนักบวช ผมเผ้าขาวโพลน หน้าตาดูมีเมตตา แบกโล่ขนาดยักษ์ไว้ด้านหลัง แต่เขากลับมีความไร้เทียมทานยิ่ง ตัวเขาเสมือนดั่งเป็นเขาไท่ซัวลูกหนึ่งที่หมุนกลิ้งไปอย่างนั้น ท่ามกลางเสียงดังตูมตาม การพุ่งเข้าชนของเขานั้นมีอานุภาพทำลายล้างสูง!
ยังมีอีกผู้หนึ่งมีพันกรหมื่นแขน แขนทุกแขนต่างถือของวิเศษไว้ชิ้นหนึ่ง พลันที่เขาลงมือก็คือของวิเศษเป็นร้อยเป็นพันที่โจมตีลงมาพร้อมกัน ภายใต้อานุภาพที่น่ากลัวเช่นนี้ไหนเลยจะมีผู้ใดต้านได้ พวกเขาทั้งสองนำหน้าบุกเข้าไป ฆ่าฟันศิษย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงแตกพ่ายกระเจิง ทำให้กองทัพพันธมิตรขบวนนี้ของพวกเขาบุกทะลวงเข้าไปดั่งผ่ากระบอกไม้ไผ่ มุ่งหน้าไปยังต้นกำเนิดสัจธรรมของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง
ตึง ตึง ตึงในขณะนี้ เสียงสัญญาณเตือนภัยของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงได้ดังขึ้นอีกเป็นระลอกๆ ด้วยความเร่งรีบ ทั่วระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงอยู่ในภาวะฉุกเฉิน
“อย่าได้ทำร้ายใคร” ทันใดนั้นเอง เสียงคำรามของหลี่เชียนดังขึ้น มองเห็นหลี่เชียนนำพาผู้พิทักษ์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงเหินฟ้าขึ้นมา ตึงเสียงค่ายกลกระบี่ที่โจมตีลงมา เลือดสดๆสาดกระจาย สังหารยอดฝีมือของศัตรูรวดเดียวหลายสิบคน ทำให้เพลาการบุกของศัตรูลงได้บ้าง
“นักบวชหยางหมิง เทพหมื่นกร เหตุใดพวกท่านจึงรุกรานเข้ามายังระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงของพวกเรา อย่าลืมข้อตกลงระหว่างระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงพวกเรากับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิใหญ่ต่างๆ ของแดนลัทธิพรรษสิ!” หลี่เชียนร้องกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา
คนอื่นอาจไม่สามารถจดจำเทพแท้จริงแต่ละคนในกองทัพพันธมิตรได้ แต่หลี่เชียนกลับจำได้ เขาสามารถเอ่ยชื่อสองผู้แข็งแกร่งที่สุดในจำนวนนั้น และเป็นผู้นำกองทัพเทพแท้จริงในครั้งนี้
“เหอะ…หลี่เชียนเจ้ายังไม่ตายนะเนี่ย เช่นนั้นย่อมเป็นการดีที่สุด” เวลานี้นักบวชที่ใบหน้าดูเป็นผู้มีเมตตาส่งเสียงฮึน่าเกรงขามออกมา
“ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงพวกเจ้ายังมีหน้าเอ่ยถึงข้อตกลงในครั้งนั้นรึ? แหะ แหะ แหะข้อตกลงในครั้งนั้นไม่มีผลอีกต่อไปแล้ว” ผู้เฒ่าที่มีพันกรหมื่นแขนส่งเสียงฮึเย็นชาขึ้นมา
“เทพหมื่นกร ท่านพูดแบบนี้หมายความว่าอะไร?” สีหน้าของหลี่เชียนดูบึ้งตึง และกล่าวว่า “ครั้งนั้นอาจารย์ของข้ากับบรรดาระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิได้ลงนามในข้อตกลงเป็นหลักฐาน!”
“ข้อนี้ไม่ผิด แต่ว่า เป็นระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงของพวกเจ้าที่ฉีกข้อตกลงฉบับนี้ทิ้งไป” เทพหมื่นกรผู้นี้กล่าวน้ำเสียงเย็นชาขึ้นมา
“พูดแบบนี้หมายความว่าอะไร?” หลี่เชียนเองก็รู้สึกงงสับสนไปหมด นับตั้งแต่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงพวกเขาปิดสำนักแล้ว ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงของพวกเขาก็ไม่เคยได้ไปมาหาสู่กับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิใดๆ อีกเลย
“หลี่เชียน ถ้าหากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงของพวกเจ้าอยากจะยุติเหตุการณ์ในครั้งนี้ล่ะก็ อันดับแรกคือส่งมอบสามเทพเลือดกำแหงออกมา หาไม่แล้วทุกอย่างที่คุยก็ไร้ประโยชน์” ในเวลานี้เอง ท่ามกลางกองทัพพันธมิตรปรากฏผู้เฒ่าผู้หนึ่งก้าวเดินออกมา ผู้เฒ่าผู้นี้เปล่งประกายศักดิ์สิทธิ์ออกมาไม่ขาดสาย พลังส่งเสียงคำรามเสียงยาวขึ้นมา กำลังความสามารถน่ากลัวมาก
“หมิงจู่…” หลี่เชียนไม่ลืมที่จะแสดงความเคารพนอบน้อม แสดงคารวะแบบจีน
“มาคราวนี้เกรงว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิฟู่หนิวก็ช่วยอะไรพวกเจ้าไม่ได้อีกแล้ว ถ้าหากไม่ต้องการให้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงต้องล่มสลาย อันดับแรกต้องมอบสามเทพเลือดกำแหงออกมาก่อน มิฉะนั้นแล้ว กองทัพพันธมิตรคงต้องบุกโจมตีต้นกำเนิดสัจธรรมพวกเจ้าจนแตก” ผู้เฒ่าผู้นี้เอ่ยขึ้นช้าๆ
ที่แท้ผู้เฒ่าผู้นี้ก็คือระดับบรรพบุรุษที่แข็งแกร่งยิ่งของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิฟู่หนิวแห่งแดนลัทธิพรรษ ผู้คนต่างยกย่องบรรพบุรุษผู้นี้ว่า ‘ฟู่หนิวหมิงจู่’ !
ครั้งนั้น กระแสดูดเลือดที่รุนแรงของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง เทพแท้จริงเทียนเต๋อนำพาระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงเกรียงไกรไปทั่วหล้า เรียกได้ว่าสร้างศัตรูกับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิทั้งหมดในแดนลัทธิพรรษ ด้วยเหตุนี้เองจึงได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘พรรคมาร’ ทุกคนต่างต้องการสังหารพวกเขา
ภายหลังซิวหลอจ้านเทียนได้จัดการสังหารศิษย์ทรยศ ยุติเหตุการณ์ในครั้งนั้น และบรรลุข้อตกลงกับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิทั้งหมดในแดนลัทธิพรรษ นอกเหนือจากซิวหลอจ้านเทียนที่มีความจริงใจอย่างยิ่งบวกกับตัวเขาที่มีความแข็งแกร่งมากแล้ว
ยังมีอีกสามเหตุหนึ่งก็คือ ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิฟู่หนิวที่ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ย โดยระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิฟู่หนิวได้ช่วยเหลือระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงอย่างสุดความสามารถ ซึ่งทำให้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงผ่านวิกฤตคราวนั้นไปได้ อีกทั้ง ในการบรรลุข้อตกลงในครั้งนั้นมีระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิฟู่หนิวเป็นผู้ค้ำประกัน
ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อหลี่เชียนพบกับฟู่หนิวหมิงจู่จึงมีท่าทีที่เคารพนอบน้อมเป็นพิเศษ เนื่องจากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิฟู่หนิวมีบุญคุณต่อระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงของพวกเขา ครั้งนั้นฟู่หนิวหมิงจู่ได้ใช้ความพยายามอย่างยิ่งเพื่อไกล่เกลี่ยเรื่องนั้น
……………………………..