Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2204 ชี้เป็นชี้ตาย
หลี่ชิเย่เพียงหัวเราะไปตามอารมณ์ และไม่ได้พูดอะไรมากความเท่านั้นเอง สำหรับการเจรจาสงบศึกของฟู่หนิวหมิงจู่
ครั้นหลี่เชียนเห็นหลี่ชิเย่ไม่พูดไม่จาจึงก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง หัวเราะเจื่อนๆ เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ท่านบรรพบุรุษ เรื่อง เรื่องนี้ ท่านเห็น ท่านเห็นว่าใช่สมควรผ่อนปรนสักนิดหนึ่งหรือไม่?”
กล่าวสำหรับหลี่เชียนแล้ว เขาย่อมคาดหวังให้เหตุการณ์ในครั้งนี้สามารถจบลงอย่างสันติ จะอย่างไรเสียคงมีสักวันไม่ช้าก็เร็วที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงยังคงต้องหลอมรวมเข้าไปอยู่ในแดนลัทธิพรรษอยู่แล้ว
กล่าวสำหรับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงแล้ว ไม่ว่าอนาคตจะเป็นเช่นใด พวกเขาก็ต้องก้าวออกไป หากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงของพวกเขาคิดจะแข็งแกร่งต่อไป คิดจะทำให้เป้าหมายการก้าวสู่ความเจริญรุ่งเรืองกลายเป็นความจริง ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงของพวกเขาจะทำอะไรโดยไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงเหมือนเช่นทุกวันนี้ไม่ได้ จะปิดสำนักเช่นนี้ตลอดไปไม่ได้ มิฉะนั้นล่ะก็ การที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงคิดจะผงาดขึ้นมาอีกครั้ง ก็เป็นได้เพียงคำพูดที่เลื่อนลอยเท่านั้น
ในอนาคต หากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงคิดจะก้าวเดินออกไป คิดจะหลอมรวมเข้ากับแดนลัทธิพรรษ นอกเหนือจากตนเองต้องมีความแข็งแกร่งที่เพียงพอแล้ว ยังต้องมีสัมพันธ์ที่ดีกับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิอื่นๆ ของแดนลัทธิพรรษในระดับหนึ่ง ต่อให้ไม่สามารถเป็นพันธมิตรกัน แต่ว่าก็ต้องไม่กลายเป็นศัตรูกับแดนลัทธิพรรษทั้งหมด
ถ้าหากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงยังคงแบกเอาชื่อของพรรคมารเอาไว้ต่อไปเหมือนดั่งเช่นในอดีต เกรงว่าจะต้องคงความเป็นศัตรูกับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจำนวนมากในแดนลัทธิพรรษต่อไป
ด้วยเหตุนี้เอง หากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงต้องการมีช่องว่างที่มากกว่านี้ หลี่เชียนในฐานะผู้นำของผู้พิทักษ์ เขาก็ต้องการผ่อนคลายความสัมพันธ์ระหว่างระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง กับสำนักต่างๆ จำนวนมาก
เวลานี้หลี่ชิเย่สามารถเอาชนะกองทัพพันธมิตรได้แล้ว ด้วยการสังหารไพร่พลของกองทัพพันธมิตรรวดเดียวไปเสียส่วนใหญ่ เป็นการบ่งบอกว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงมีความมั่นใจเช่นนี้ และบ่งบอกว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงมีต้นทุนเพียงพอที่จะนั่งโต๊ะเจรจากับบรรดาสำนักต่างๆ ได้ และบรรลุผลในด้านการข่มขู่เป็นผลสำเร็จ
ถ้าหากในเวลานี้สามารถเจรจาสงบศึกกับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจำนวนมากในแดนลัทธิพรรษได้ ด้วยการละเว้นชีวิตให้กับเหล่าบรรพบุรุษที่อยู่ตรงหน้า กล่าวสำหรับ ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงแล้ว นับว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากอย่างยิ่ง
หลี่ชิเย่เพียงยิ้มๆ นิดหนึ่งตามอารมณ์สำหรับการร้องขอความเมตตาของหลี่เชียน กล่าวออกมาตามอารมณ์ว่า “ส่วนตัวของข้าเองอย่างไรก็ได้ไม่มีปัญหา ต่อให้ต้องเป็นศัตรูกันหมื่นชาติมันก็เป็นแค่เรื่องจิ๊บๆ เท่านั้นเอง”
หลี่เชียนถึงกับยิ้มเจื่อนๆ กับคำพูดที่อันธพาลปราศจากผู้เทียบเทียมเช่นนี้ ซึ่งก็คงมีเพียงบรรพบุรุษเช่นนี้เท่านั้นที่พูดออกมาได้แล้ว
“ท่านบรรพบุรุษคือผู้ที่ปราศจากผู้ต่อกรในหล้า” หลี่เชียนหัวเราะแห้งๆ แล้วรีบกล่าวต่อว่า “ท่านบรรพบุรุษไม่เคยหวาดหวั่นต่อผู้ใด เทียบชั้นปฐมบรรพบุรุษ…”
“เอาล่ะ หลี่เชียน เรื่องประจบสอพรอคงไม่ต้องแล้วล่ะ เจ้าไม่ใช่ผู้ชำนาญด้านการประจบ การประจบสอพรอของเจ้าดูจะแข็งไม่เป็นธรรมชาติ” หลี่ชิเย่หัวเราะกล่าวตัดบทของหลี่เชียน
คำพูดนี้สร้างความเคอะเขินให้กับหลี่เชียนเป็นยิ่งนัก หัวเราะเจื่อนๆ ถูมือไปมาและส่งเสียงเหอะ เหอะ เหอะออกมา
หลี่ชิเย่เหลือบมองหลี่เชียนทีหนึ่ง จากนั้นมองดูบรรดาระดับบรรพบุรุษที่ถูกพันธนาการเอาไว้นั่น ยิ้มแต้และกล่าวว่า “คนอย่างข้าโดยปรกติแล้วไม่ยอมรับการเจรจาสงบศึกกับใคร ในเมื่อมีคนยินดีก้าวออกมาขอเจรจาสงบศึกก็ต้องขึ้นอยู่กับความจริงใจของพวกเจ้าเองแล้ว”
“ทุกท่าน ในเมื่อระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงจริงใจที่จะนั่งลงมาเจรจา พวกเราไหนเลยจะนั่งลงมาเจรจากันไม่ได้เล่า?” ฟู่หนิวหมิงจู่รีบพูดไกล่เกลี่ยขึ้นมาว่า “ทุกคนไม่มีความจำเป็นต้องนำเอาระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิและสำนักของตนมาเดิมพันเข้าไปเพียงเพราะสามเทพเลือดกำแหงที่เป็นพวกชั่วร้ายที่หลงเหลืออยู่ ในเมื่อพวกชั่วร้ายที่หลงเหลือเหล่านี้ก็ถูกกำจัดไปแล้ว พวกเราสมควรขจัดตวามเข้าใจผิดซึ่งกันและกันจึงจะถูก”
“นั่นสิ นั่นสิ” ตันหวังที่อยู่ข้างๆ ก็รีบพูดสนับสนุนขึ้นมาว่า “ข้ามองว่าท่านผู้อาวุโสท่านนี้คือผู้บำเพ็ญเพียรที่สูงส่งปราศจากผู้เทียบเทียม เป็นผู้เยี่ยมยุทธ จะยอมให้มีคนชั่วร้ายอย่างสามเทพเลือดกำแหงไม่ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกท่านต่างก็เป็นผู้มีความรู้ เป็นผู้บรรลุสัจธรรมที่สูงส่งทั้งสิ้น ใยจะต้องฆ่าฟันกันและกันต่อไปอีกเล่า มีเรื่องอะไรก็ให้นั่งลงแล้วคุยกันสิ”
เดิมชื่อเสียงของฟู่หนิวหมิงจู่ในแดนลัทธิพรรษก็สูงมากอยู่แล้ว มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งมากกับระดับบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจำนวนมาก และเนื่องเพราะสาเหตุนี้เอง ครั้งนั้นเขาจึงสามารถรับหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ยระหว่างระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงกับบรรดาระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิอื่นๆ จำนวนมาก
คำพูดของตันหวังก็มีน้ำหนักอย่างยิ่ง โดยเฉพาะยาเม็ดอายุวัฒนะที่เขาปรุงกลั่นขึ้นมา เรียกได้ว่าเป็นสุดยอดของแดนลัทธิพรรษ ไม่รู้ว่ามีระดับบรรพบุรุษจำนวนเท่าไรที่ต้องขอความช่วยเหลือต่อเขา แม้แต่ผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะอมตะ ล้วนแล้วแต่มีโอกาสต้องขอความช่วยเหลือต่อเขา
ดังนั้น ในเมื่อเวลานี้ทั้งฟู่หนิวหมิงจู่และตันหวังต่างทยอยกันออกปาก มีแนวความคิดต้องการสงบศึก ทำให้บรรดาบรรพบุรุษที่อยู่ในเหตุการณ์และถูกพันธนาการเอาไว้ต่างก็สบตากันและกัน
แน่นอน ที่สำคัญมากกว่านี้ก็คือ ในเวลานี้บรรดาเหล่าบรรพบุรุษของกองทัพพันธมิตรต่างก็กลายเป็นนักโทษไปแล้ว ในขณะนี้หลี่ชิเย่เป็นผู้ที่มีสิทธิ์ชี้เป็นชี้ตายอยู่ในมือ ถ้าหากพวกเขาไม่ยอมรับการเจรจาสงบศึก พวกเขาก็จะต้องถูกหลี่ชิเย่สังหาร
เวลานี้ที่อยู่ตรงหน้าพวกเขามีเพียงสองทางเลือกเท่านั้น ไม่ก็ปฏิเสธการเจรจาสงบศึก แล้วถูกสังหารทิ้งไป ไม่ก็ยอมรับการเจรจาสงบศึก
“ฮึจับพวกเรามัดอยู่ตรงนี้ พูดได้อย่างไรว่านั่งลงเจรจากัน” เทพหมื่นกรส่งเสียงฮึเย็นชาออกมาสำหรับการเสนอเจรจาสงบศึกของตันหวัง
หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะขึ้นมา ถูมือแล้วยิ้มกล่าวว่า “พอให้เกียรติพวกเจ้าสามส่วน ก็ทำได้คืบเอาศอกทันทีเลย เวลานี้ข้าสังหารพวกเจ้ามันง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือเสียอีก การที่ไม่สังหารพวกเจ้านั้นเป็นเพราะให้เกียรติพวกเจ้า แค่คนขี้แพ้เท่านั้น ข้าไม่ให้พวกเจ้าคุกเข่าพูดกับข้าก็นับว่าให้เกียรติพวกเจ้าแล้ว”
พลันที่หลี่ชิเย่พูดคำๆ นี้ออกมา ทำให้ทุกคนต่างมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป ถึงกับจ้องมองด้วยความโกรธ
“บัณฑิตฆ่าได้ หยามไม่ได้ แน่จริงก็ฆ่าพวกเราเสีย หรือว่าพวกเราจะเกรงกลัวระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงของพวกเจ้าอย่างนั้นรึ…” ระดับบรรพบุรุษผู้หนึ่งตวาดเสียงดังขึ้นมา
ปุ…เสียงหนึ่งดังขึ้น ระดับบรรพบุรุษผู้นี้พูดยังไม่ทันจบ มองเห็นเลือดที่สาดกระเซ็น ศีรษะหนึ่งลอยขึ้นมา ขณะที่ศีรษะของเขาตกลงถึงพื้นนั้น ดวงตาคู่นั้นของเขาเบิกโพลง เขาไม่นึกไม่ฝันเลยว่าแค่พูดคำพูดที่แข็งกร้าวออกมาคำเดียวเท่านั้น หลี่ชิเย่ก็จัดการฟันคอของเขาจนขาด สังหารเขาในทันที
แค่คำพูดที่ไม่เข้าหูคำหนึ่งก็ตัดหัวทันที ทันใดนั้นบรรยากาศโดยทั่วไปเงียบสงบขึ้นทันที ทำให้ทุกคนถึงกับเสียวสันหลังวาบ ทุกคนถึงกับคันหนังศีรษะขึ้นมา
“ให้เกียรติพวกเจ้านิดหนึ่งก็เข้าใจว่าข้ากลัวพวกเจ้าจริงๆ” หลี่ชิเย่พูดท่าทีเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า “พวกเจ้าไม่กลัวระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงของข้า หรือว่าข้ากลัวพวกเจ้าอย่างนั้นรึ? แค่พวกขี้แพ้กลุ่มหนึ่งเท่านั้น พวกนักโทษที่อยู่ในกำมือของข้า ต้องการให้ข้าไปที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิของพวกเจ้าด้วยตนเองใช่หรือไม่ ทำลายล้างระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิพวกเจ้าให้ราบ จึงจะแสดงให้เห็นถึงความปราศจากผู้ต่อกรของข้า!”
ทุกคนต่างอึ้งไปตามๆ กัน แค่คำพูดไม่เข้าหูคำหนึ่งก็สังหารระดับบรรพบุรุษ จะอย่างไรเสียไม่ว่าใครก็ไม่ต้องการตายเปล่า นาทีนี้ภายในใจของคนส่วนใหญ่ยังคงยอมรับการเจรจาสงบศึกอยู่แล้ว
“ต่อให้เป็นปฐมบรรพบุรุษของพวกเจ้ากลับคืนสู่โลกมนุษย์ ข้าก็จะสังหารพวกเจ้าตามระเบียบ! แค่แดนลัทธิพรรษแดนเดียวเท่านั้น หากแดนสามเซียนต้องการเป็นศัตรูกับข้า ข้าก็ไม่ได้ใส่ใจ!” หลี่ชิเย่มองดูบรรดาเหล่าบรรพบุรุษที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วยความเอ้อระเหยสบายอกสบายใจ และกล่าวเรียบเฉยขึ้นมาว่า “การที่ข้ายอมรับเจรจาสงบศึก แค่เห็นแก่หน้าของสหายเก่า ให้เกียรติพวกเจ้าที่เป็นผู้เยาว์เท่านั้นเอง อย่าเข้าใจว่าการเจรจาสงบศึกนี้เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว และอย่าได้เข้าใจว่าข้าเกรงกลัวต่อการรวมตัวกันของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิทั้งหมดที่มีอยู่ในแดนลัทธิพรรษ!”
ท่าทีที่แข็งกร้าวเช่นนี้ของหลี่ชิเย่เป็นที่ชัดเจนแล้ว ทุกคนต่างมองออกว่า ท่าทีที่เขาแสดงออกมานั้นไม่ได้ให้ความสนใจต่อความเป็นความตายของเหล่าบรรพบุรุษเหล่านี้ หากพูดจาไม่เข้าหูยังคงสามารถฆ่าทิ้งได้ทั้งหมด เฉกเช่นที่เขาได้เข่นฆ่ากองทัพพันธมิตรโดยอาศัยเพียงกระบี่เดียวเท่านั้น
“มีอะไรค่อยๆ พูดจากันก็ได้ ค่อยๆ พูดค่อยๆ จากันก็ได้” ฟู่หนิวหมิงจู่รีบกล่าวไกล่เกลี่ยขึ้นมาทันทีเมื่อมองเห็นสถานการณ์ตึงเครียดขึ้นมา และกล่าวว่า “ข้าคิดว่าบรรดาเหล่าบรรพบุรุษล้วนแล้วแต่ไม่ได้มาร้าย เพียงแค่พูดจากโผงผางไปนิด พูดจาโผงผางไปนิดเท่านั้นเอง”
ในเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นนักบวชหยางหมิง หรือว่าเทพหมื่นกรที่เป็นระดับบรรพบุรุษที่แข็งแกร่งที่สุดต่างไม่ยอมปริปากพูดอีกแล้ว ไม่ว่าใครก็ตาม จะอย่างไรเสียก็คงทำไม่ได้ถึงขั้นไม่ยี่หระต่อความตายได้อย่างแท้จริง ความแค้นระหว่างทั้งสองฝ่ายยังไม่ถึงขั้นอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ ที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือ เวลานี้ชีวิตของพวกเขาอยู่ในกำมือของหลี่ชิเย่อย่างสิ้นเชิง สำหรับพวกเขาอย่าบอกว่าไม่มีข้อได้เปรียบแม้แต่นิดเดียว สภาพของพวกเขาเวลานี้ก็คือเนื้อที่อยู่บนเขียง สุดแล้วแต่คนอื่นเขาจะเชือดเฉือน ในเวลานี้พวกเขาคิดจะไม่อ่อนข้อให้ก็ทำไม่ได้เสียแล้ว
“ข้าเชื่อว่าเหล่าบรรพบุรุษทุกท่านล้วนแล้วแต่ไม่ถึงกับต้องให้ตายกันไปข้างหนึ่งกับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงให้ได้ เพียงเพราะความเข้าใจผิดเล็กน้อยที่เกิดจากสามเทพเลือดกำแหง หนี้เลือดเช่นนี้ยังไม่ถึงกับต้องอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้” ฟู่หนิวหมิงจู่รีบเร่งกล่าวต่อพวกของนักบวชหยางหมิงว่า “เวลานี้ทางระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงเองก็ได้กำจัดคนชั่วร้ายที่หลงเหลืออยู่ในครั้งนั้นไปแล้ว ทำให้กระแสเรื่องดูดเลือดสงบลงแล้ว เรื่องนี้ถือว่าสิ้นสุดลง ในเมื่อความเข้าใจผิดได้รับการคลี่คลายแล้ว ทุกท่านคิดว่ามันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมาเข่นฆ่าซึ่งกันและกันต่อไปใช่หรือไม่?”
“ข้ารู้สึกว่าที่หมิงจู่พูดมาก็มีเหตุผล” ตันหวังรีบกล่าวสนับสนุนว่า “เวลานี้ความเข้าใจผิดก็ได้คลี่คลายแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องเอาชีวิตของตนมาเดิมพันเข้าไปเพราะเรื่องนี้อีกต่อไป ทุกคนว่าอย่างนั้นหรือไม่ ทุกคนก็แค่กล้ำกลืนความอัปยศในใจไม่ได้เท่านั้นเอง ถอยก้าวหนึ่งทะเลกว้างท้องนภาสูง การมีชีวิตอยู่จึงเป็นเหตุผลที่ถูกต้อง”
คำพูดของฟู่หนิวหมิงจู่และตันหวังทำให้พวกเหล่าบรรพบุรุษเช่นนักบวชหยางหมิงมองตากันและกัน สุดท้าย นักบวชหยางหมิงกล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “กองทัพพันธมิตรข้าเป็นผู้ควบคุมและนำมาด้วยตนเอง ในฐานะที่ข้าเป็นแม่ทัพใหญ่ ข้ามีหน้าทีพาผู้มีชีวิตกลับไป ในเมื่อคนชั่วร้ายของกระแสดูดเลือดที่หลงเหลืออยู่ถูกกำจัดแล้ว และข้าก็เชื่อในการรับประกันของหมิงจู่ ข้ายินดีรับการเจรจาสงบศึก ไม่ทราบว่าเหล่าบรรพบุรุษว่าอย่างไร?”
ย่อมไม่ต้องสงสัย ในบรรดาเหล่าบรรพบุรุษนั้น นักบวชหยางหมิงกับเทพหมื่นกรเป็นผู้ที่มีฐานะสูงสุด และเป็นพวกเขาที่มีกำลังกล้าแข็งที่สุด
ยิ่งไปกว่านั้น นักบวชหยางหมิงมีชาติกำเนิดมาจากพรรคหยางหมิง กำลังของพรรคหยางหมิงในแดนลัทธิพรรษถือว่าอยู่ในอันดับต้นๆ คำพูดของเขานั้นมีน้ำหนักมาก อีกทั้งเวลานี้นักบวชหยางหมิงก็ยอมอ่อนข้อแล้ว ถือเป็นบันไดให้ทุกคนได้ก้าวลง
สิ่งนี้ก็คือเหตุผลที่นักบวชหยางหมิงยอมรับการเจรจาสงบศึกเป็นคนแรก จะอย่างไรเสียเขาในฐานะแม่ทัพใหญ่ของกองทัพทั้งหมด เฉกเช่นที่เขาได้พูดเอาไว้อย่างนั้น เขามีหน้าที่นำพาคนเป็นๆ กลับไป
ตัวเขาในฐานะที่เป็นแม่ทัพใหญ่ยังยินดีอ่อนข้อ ซึ่งจะทำให้ภายในใจของบรรพบุรุษคนอื่นๆ รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง จะอย่างไรเสียบรรดาบรรพบุรุษที่ถูกจับเป็นล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่มีตำแหน่งและฐานะสูงส่งทั้งสิ้น ล้วนแล้วแต่เป็นระดับเทพแท้จริงที่กล้าแข็ง พวกเขาต่างหยิ่งในศักดิ์ศรีอย่างยิ่ง ให้พวกเขาเป็นฝ่ายยอมอ่อนข้อก่อนเป็นเรื่องที่ทำได้ยากจริงๆ
เมื่อนักบวชหยางหมิงออกปากก่อนทุกอย่างย่อมแตกต่าง เมื่อผู้ที่มีชาติกำเนิด และกำลังสูงที่สุดอย่างนักบวชหยางหมิงก็ยังยินดีอ่อนข้อ ยินดียอมรับการเจรจาสงบศึก เหล่าบรรพบุรุษคนอื่นๆ ย่อมไม่มีเหตุผลที่จะไม่ยอมรับการเจรจาสงบศึก
จะอย่างไรเสีย ไม่ว่าใครก็ทำไม่ได้ถึงขั้นไม่ยี่หระต่อความตายได้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ขอเพียงเงื่อนไขอำนวย การมีชีวิตอยู่ย่อมเป็นการดีที่สุดแล้ว
“ข้าเองก็ไม่มีความเห็น จูเซียงหวู่ถิงของข้าก็ยอมรับการเจรจาสงบศึก” เวลานี้บรรพบุรุษของจูเซียงหวู่ถิงก็ปริปากพูดออกมาแล้ว ผู้นี้ก็เป็นบรรพบุรุษผู้มีชาติกำเนิดสูงส่งและมีกำลังที่กล้าแข็งมาก
ในแดนลัทธิพรรษ ฐานะของจูเซียงหวู่ถิงก็ได้รับการยกย่องว่าอยู่ในสามอันดับแรก ไม่เห็นจะด้อยไปกว่าพรรคหยางหมิงตรงไหน
……………………….