Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2583 พายุฝนตั้งเค้า
ตอนที่ 2583 พายุฝนตั้งเค้า
การลงมือของหลี่ชิเย่สร้างความหวั่นไหวและหวาดกลัวต่อเมืองหมิงลั่วเฉิง หลังจากนั้นก็มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่หนีออกไปจากเมืองหมิงลั่วเฉิง ทำให้เมืองหมิงลั่วเฉิงกลับกลายเป็นเงียบสงบขึ้นมา
เดิมที ผู้คนจำนวนมากต่างเข้าใจว่าเมืองหมิงลั่วเฉิงจะต้องเงียบสงบระยะหนึ่ง ไม่นึกไม่ฝันเลยว่า เมืองหมิงลั่วเฉิงเงียบสงบได้ไม่ถึงสองวัน ก็เริ่มคึกคักขึ้นมาอีกแล้ว
ในวันนี้ บนท้องฟ้าของเมืองหมิงลั่วเฉิงปรากฏเสียงแว้งค์ แว้งค์ แว้งค์ดังขึ้น ช่องว่างบนท้องฟ้ามีการกระเพื่อม ถึงกับมีประตูเปิดออกมา
เวลานี้เอง ท้องฟ้าพลันมืดลง ปรากฏเรือขนาดยักษ์ลำหนึ่งออกมาจากประตู และลอยล่องอยู่บนท้องฟ้า
ติดตามด้วยเสียงปัง ปัง ปังที่ตกกระทบกับพื้นดังขึ้นเป็นระลอก มองเห็นร่างเงาสูงใหญ่แต่ละสายที่ลงมาจากท้องฟ้า
“นั่นคืออะไร” ผู้คน และผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากภายในเมืองหมิงลั่วเฉิงต่างรู้สึกตระหนก เมื่อได้เห็นภาพเช่นนี้
“แขกผู้มาจากภายนอก” ผู้บำเพ็ญตนรุ่นอาวุโสเคยเห็นสภาพการณ์เช่นนี้มาก่อน เมื่อได้เห็นภาพนี้แล้วจึงพึมพำขึ้นมาว่า “มียอดฝีมือจากระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิภายนอกมาที่เมืองหมิงลั่วเฉิงของพวกเราแล้ว”
“เป็นทัพใหญ่จากตระกูลมู่รึ?” ทุกคนต่างรู้สึกใจหายใจคว่ำเมื่อมองเห็นเรือที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าสูง
โชคดี มันหาใช่กองทัพของตระกูลมู่อย่างที่ทุกคนได้จินตนาการเอาไว้ ที่ลงมาจากบนท้องฟ้าเป็นยอดฝีมือจากระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิๆ หนึ่ง หลังจากที่บรรดายอดฝีมือเหล่านี้ลงมาจากเรือยักษ์ถึงพื้นดินแล้ว ได้ทำการสำรวจเมืองหมิงลั่วเฉิงมารอบหนึ่ง และโชคดีที่ระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิๆ นี้ค่อนข้างมีวัฒนธรรม ไม่ได้ทำการขับไล่ราษฎรที่อาศัยอยู่ในเมืองหมิงลั่วเฉิง หลังจากที่พวกเขาทำการสำรวจแล้วก็ยกออกจากเมืองหมิงลั่วเฉิง ไปตั้งค่ายอยู่ในพื้นที่รกร้างนอกเมืองหมิงลั่วเฉิง
“พวกเขามาจากที่ไหนกันนะ?” ราษฎรของเมืองหมิงลั่วเฉิงจำนวนไม่น้อยก็ให้รู้สึกแปลกใจ มีการสืบเสาะกันลับๆ เมื่อมองเห็นขบวนของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิดังกล่าวไปตั้งค่ายอู่ด้านนอกเมืองหมิงลั่วเฉิง
“นับว่าพบเห็นได้ยากมากนะเนี่ย ถึงกับมีระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิที่แข็งแกร่งเช่นนี้มาที่เมืองหมิงลั่วเฉิงของพวกเรา นี่เป็นเพราะจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นรึ?” หลังจากที่พบว่าไม่ใช่กองทัพตระกูลมู่แล้ว ยังคงมีผู้บำเพ็ญตนรุ่นอาวุโสรู้สึกตกใจไม่หาย
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ในเมืองหมิงลั่วเฉิง ตลอดจนระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นยากที่จะมีแขกผู้มาเยือน หรือต่อให้มีผู้มาเยือนก็มากันแค่หนึ่งหรือสองคนโดยลำพังเท่านั้นเอง มีน้อยมากที่ยกกันเป็นขบวนเข้ามายังระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นเช่นนี้
ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นได้เสื่อมลงแล้ว เทียบไม่ได้กระทั่งสำนักชั้นสาม จากการตกต่ำลงของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่น ฟ้าดินแห้งแล้ง ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นก็ไม่ได้มีสมุนไพรหรือหญ้าทิพย์ที่เป็นของล้ำค่าต่างๆ ดังนั้นยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนทั่วหล้าต่างไม่ให้ความสนใจในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่น
แม้แต่คนที่ทำการค้าการขายก็จะไม่มาทำการค้าขายที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่น จะอย่างไรเสียระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นเป็นพวกยากจน พวกเขาไม่สามารถซื้อหาของดีได้อยู่แล้ว ถ้าหากมาทำการค้าขายที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่น พวกเขาอย่าว่าแต่มีกำไรแลย เกรงว่าจะต้องควักเงินจ่ายค่าเดินทางด้วยซ้ำ
ดังนั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมาระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นจึงมีแขกมาเยือนน้อยมาก ต่อให้มีก็แค่หรอมแหรมเพียงหนึ่งถึงสองคนเท่านั้นเอง
ทันใดนั้น ถึงกับมีขบวนที่แข็งแกร่งยกเข้ามายังเมืองหมิงลั่วเฉิงกะทันหัน นับว่าสร้างความตระหนกระคนกับความแปลกใจกับราษฎรผู้อาศัยอยู่ภายในเมืองหมิงลั่วเฉิงโดยแท้จริง และอยากรู้อยากเห็นมากเป็นพิเศษ
อย่างไรก็ตาม การมาของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิดังกล่าวเป็นเพียงการเริ่มต้นเทานั้น หลังจากที่ระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิดังกล่าวได้มาถึงแล้ว ได้ยินเสียงดังแว้งค์ แว้งค์ แว้งค์ขึ้นมา ในเวลานี้ บนท้องฟ้าปรากฏประตูแล้วประตูเล่าที่เปิดออกมา กองทัพแต่ละกองทัพถูกส่งเข้ามา
บรรดาผู้ที่ถูกส่งมาบ้างเป็นกองกำลังของสำนักๆ หนึ่ง เป็นกองทัพของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิๆ หนึ่ง และที่เป็นสหายพากันมาสามถึงห้าคน และหรือมากันเป็นกลุ่ม…
แต่ละขบวนที่ลงมาจากบนท้องฟ้ายังเมืองหมิงลั่วเฉิง กระทั่งเรียกได้ว่าภายในระยะเวลาอันสั้น เมืองหมิงลั่วเฉิงถูกบุคคลภายนอกอัดเข้ามาเป็นแสนคน กล่าวได้ว่า ภายในระยะเวลาอันสั้น บรรดาผู้ที่มาจากนอกเมืองหมิงลั่วเฉิงมีจำนวนมากกว่าคนในพื้นที่เสียอีก
บุคคลภายนอกจำนวนมากที่พากันเข้ามาอย่างกะทันหันเหล่านี้ ทั้งยังล้วนแล้วแต่เป็นยอดฝีมือ ล้วนแล้วแต่เป็นยอดฝีมือที่มีชาติกำเนิดมาจากระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิขนาดใหญ่ หรือสำนักเจ้าลัทธิทั้งสิ้น ใช่เพียงแค่ทำลายความสงบสุขของเมืองหมิงลั่วเฉิงในทันที ยังทำให้ราษฎรภายในเมืองหมิงลั่วเฉิงถูกทำให้ตกใจจนตะลึงงัน
ปรกติแล้ว ราษฎรที่อาศัยอยู่ภายในเมืองหมิงลั่วเฉิงส่วนใหญ่จะรู้จักคุ้นเคยกัน เวลานี้บนท้องถนนเต็มไปด้วยบุคคลที่มาจากภายนอก อีกทั้งทุกคนยังมีความแข็งแกร่งยิ่งนัก ไม่แน่นักหากโกรธขึ้นมาก็สามารถทำลายเมืองหมิงลั่วเฉิงได้ สร้างความหวาดหวั่นจนขนลุกซู่ไม่น้อยให้กับราษฎรของเมืองหมิงลั่วเฉิง
เมื่อมียอดฝีมือจากภายนอกเข้ามายังเมืองหมิงลั่วเฉิง ก็ทำให้ราษฎรจำนวนไม่น้อยได้รับผลประโยชน์ โรงเตี๊ยมทั้งหมดของเมืองหมิงลั่วเฉิงเต็มภายในระยะเวลาอันสั้น ขายดีกันเป็นเทน้ำเทท่า อีกทั้งบรรดายอดฝีมือเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเป็นพิเศษ ภายในชั่วข้ามคืนทำให้พวกเขาได้รับผลกำไรเป็นกอบเป็นกำ
แต่ก็มีสำนักเจ้าลัทธิบางสำนักที่ถูกใจสถานที่ของสำนักขนาดเล็ก จึงจ่ายค่าตอบแทนที่สูงลิ่วแล้วให้บรรดาศิษย์ทั้งหมดของสำนักดังกล่าวไสหัวออกไป โดยที่พวกเขาย้ายเข้าไปอยู่แทน
แน่นอนที่สุด กล่าวสำหรับสำนักขนาดเล็กในเมืองหมิงลั่วเฉิงแล้ว มันคือราคาที่สูงลิบลิ่ว แต่สำหรับสำนักเจ้าลัทธิที่มาจากภายนอกแล้ว มันเป็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง
ในเวลานี้ เมืองหมิงลั่วเฉิงที่เดิมเงียบเหงาได้กลับกลายเป็นร้อนแรง คึกคักอย่างยิ่ง ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจากทั่วทุกสารทิศล้วนแล้วแต่ปรากฎตัวขึ้นที่ตรงนี้ อีกทั้งระดับความร้อนแรงเช่นนี้ยังคงเพิ่มสูงขึ้นไปอีก เนื่องจากยังคงมียอดฝีมือจากสำนักเจ้าลัทธิจำนวนมากทะลักเข้ามายังเมืองหมิงลั่วเฉิง ทะลักเข้ามายังระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่น
“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ หรือว่ามีขุมทรัพย์ที่สะเทือนเลื่อนลั่นจะปรากฏขึ้นมาอย่างนั้นรึ?” เมื่อผู้บำเพ็ญตนที่อาศัยอยู่ภายในเมืองหมิงลั่วเฉิงมองเห็นระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิของสำนักเจ้าลัทธิจำนวนมากต่างทยอยกันทะลักเข้ามายังเมืองหมิงลั่วเฉิง พวกเขาถึงกับรู้สึกงงงัน
ในอดีต เมืองหมิงลั่วเฉิง ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นของพวกเขาในสายตาระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิของสำนักเจ้าลัทธิเหล่านั้น มันคือสถานที่ที่แห้งแล้งกันดาร กระทั่งเป็นสถานที่ที่ไม่มีใครอยากจะมา บรรดายอดฝีมือเหล่านี้ไม่ใยดีต่อระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นของพวกเขาอยู่แล้ว การมาที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นเป็นการทำให้เท้าของพวกเขาต้องแปดเปื้อน ดุจดั่งคนที่อาศัยอยู่ในเมืองรังเกียจที่ต้องเข้าไปยังเล้าหมูในบ้านนอกอย่างนั้น
เวลานี้จู่ๆ เหมือนว่าเมืองหมิงลั่วเฉิงของพวกเขาถูกค้นพบเหมืองทองคำกะทันหันอย่างนั้น ทำให้ระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิของสำนักเจ้าลัทธิภายนอกต่างทยอยกันทะลักเข้ามายังเมืองหมิงลั่วเฉิงของพวกเขา แล้วจะไม่ให้ผู้บำเพ็ญตนภายในเมืองหมิงลั่วเฉิงต้องงุนงงได้อย่างไร
เวลานี้ ผู้บำเพ็ญตนของเมืองหมิงลั่วเฉิงจำนวนไม่น้อยเมื่อครุ่นคิดอย่างละเอียดแล้ว จึงมีผู้ที่ซุบซิบด้วยความสงสัยว่า “หรือว่าภายในเมืองหมิงลั่วเฉิงของพวกเรามีขุมทรัพย์จะปรากฏขึ้นมาแล้ว”
“เรื่องนี้ไม่ดีแน่ จะอย่างไรเสียบรรพบุรุษของพวกเราก็เคยร่ำรวยมาก่อน ครั้งนั้นระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นพวกเราบัญชาการใต้หล้า มีขุมทรัพย์จำนวนเท่าไรที่ถูกรวบรวมอยู่ภายในระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นของพวกเรา” มีผู้เอ่ยเสียงแผ่วเบาขึ้นมา
ความจริงแล้ว ผู้ที่มีความคิดเช่นนี้ในเมืองหมิงลั่วเฉิงใช่จะมีเพียงหนึ่งหรือสองคนเท่านั้น ผู้บำเพ็ญตนที่เป็นคนพื้นที่จำนวนมากต่างก็มีความคิดเช่นนี้ผุดขึ้นภายในใจ การที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิของสำนักเจ้ารลัทธิอื่นๆ ภายนอกเข้ามายังเมืองหมิงลั่วเฉิงมากมาย ย่อมต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน
ด้วยเหตุนี้เอง ผู้บำเพ็ญตนที่เป็นคนพื้นที่จำนวนไม่น้อยจึงทำการขุดบนพื้นที่ที่เป็นบ้านของตนเอง หรือพื้นที่ที่ตนคุ้นเคยกันอย่างลับๆ ดูว่าจะสามารถขุดพบขุมทรัพย์ได้หรือไม่
“มีขุมทรัพย์จะปรากฏขึ้นมาจริงรึ?” ในเวลานี้ ข่าวเรื่องเมืองหมิงลั่วเฉิงมีขุมทรัพย์ก็ทยอยกันแพร่และลือสะพัดไปทั่ว
หลี่ชิเย่ยังคงรั้งอยู่บริเวณที่เป็นซากปรักหักพัง ไม่ได้ให้ความสนใจสำหรับเรื่องราวที่ชุลมนวุ่นวายแม้แต่น้อย ไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย ยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ที่ตรงนั้น เสมือนดั่งได้กลายเห็นหินไปแล้วอย่างนั้น
และเคยมียอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจากภายนอกมายังบริเวณซากปรักหักพังที่หลี่ชิเย่นั่งอยู่ เพียงแต่พวกเขาแค่มาทำการสำรวจเท่านั้นแล้วก็จากไป และไม่ได้ให้ความสนใจในตัวหลี่ชิเย่มากมายนัก และไม่ได้ไปรบกวนหลี่ชิเย่
จะอย่างไรเสีย ในสายตาของพวกเขามองว่า หลี่ชิเย่เป็นเพียงคนธรรมดา เป็นเพียงผู้บำเพ็ญตนตัวน้อยๆ เท่านั้น พวกเขาก็ขี้คร้านจะไปยุ่งเกี่ยวด้วย
สำหรับพวกที่มาสำรวจเหล่านี้ หลี่ชิเย่เพียงยิ้มเรียบเฉย ส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “โลภมากลาภหาย เมื่อถึงตอนนั้น ตัวเองจะตายอย่างไรก็ยังไม่รู้! ยิ่งคนมามากเท่าไร ก็จะมีเหยื่อมากยิ่งขึ้น เรียกได้ว่าสามารถทำให้มันอิ่มหนำสำราญได้อย่างแท้จริง”
หลี่ชิเย่ย่อมรู้ดีว่าบรรดาระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิของสำนักเจ้าลัทธิต่างๆ ที่โผล่ขึ้นมาเหล่านี้มาด้วยวัตถุประสงค์ใด เรื่องของเมืองไป่หลานเฉิงได้รับความสนใจจากณาจักรอื่น และบรรดาระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิที่มีศักยภาพจำนวนไม่น้อยคาดเดาออกถึงความลึกลับได้บางอย่าง ดังนั้น จึงมีระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิของสำนักเจ้าลัทธิจำนวนมากยกขบวนเข้ามายังระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นภายในระยะเวลาอันสั้น
ขณะที่ระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นเสื่อมลงแล้ว จึงไม่มีกำลังเพียงพอที่จะขัดขวางผู้มาจากภายนอก ดังนั้น บรรดาระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิของสำนักเจ้าลัทธิเข้ามายังเมืองหมิงลั่วเฉิงจึงไม่ได้รับการขัดขวางแม้แต่น้อยนิด และทำให้พวกเขาสามารถทำอะไรได้ตามอำเภอใจ จะอย่างได้เสียที่นี่ก็เป็นเพียงระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิที่เสื่อมลงแล้ว พวกเขาอยากจะทำอะไรก็ย่อมทำได้ หลังจากงานเลี้ยงที่อลังการงานนี้จบลงเมื่อไรแล้ว พวกเขาก็จะสะบัดก้นแล้วจากไป ส่วนระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นจะแตกกระจัดกระจายอย่างไรพวกเขาไม่สนอยู่แล้ว
หลี่ชิเย่เพียงยิ้มๆ นิดหนึ่งเท่านั้น สำหรับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิต่างๆ ที่มาจากภายนอก และขี้คร้านจะไปสนใจหรือก้าวก่าย ขอเพียงพวกเขาไม่เข้ามารบกวนก็แล้วกัน มิฉะนั้นล่ะก็เป็นการรนหาที่ตายเอง
ในวันนี้ มีคนสองคนได้มาถึงบริเวณซากปรักหักพัง บริเวณที่หลี่ชิเย่พำนักอยู่
“พวกเจ้าทั้งสองกลับมาทำไม? พวกเจ้าสมควรหนีไปให้ไกลที่สุดยิ่งดีมิใช่รึ?” หลี่ชิเย่ลืมตาทั้งสองขึ้น มองดูคนทั้งสองที่คุกเข่ากราบอยู่กับพื้น กล่าวด้วยท่าทีเรียบเฉ่ย
ทั้งสองคนที่คุกเข่าอยู่ไม่ใช่ใครอื่นไกล คือหวูโหย่วเจิ้งผู้เป็นอาจารย์และศิษย์ที่ได้อพยพออกไปแล้วนั่น เวลานี้หวูโหย่วเจิ้งได้พาหลินยี่เสวี่ยมาคุกเข่าอยู่กับพื้น
“บุญคุณใหญ่หลวงของคุณชาย วันนั้นไม่ได้กราบขอบคุณ วันนี้มาโขกศีรษะให้กับคุณชาย” หวูโหย่วเจิ้งนำพาหลินยี่เสวี่ยโขกศีรษะให้กับหลี่ชิเย่ด้วยความเคารพ
หลี่ชิเย่รับการกราบเต็มรูปแบบของพวกเขา สุดท้ายโบกมือเบาๆ และกล่าวว่า “ลุกขึ้นเถอะ”
หวูโหย่วเจิ้ง และหลินยี่เสวี่ยกราบอีกครั้ง แล้วจึงได้ลุกขึ้นยืน ในวันนั้น หลังจากที่หลี่ชิเย่ได้ช่วยนิกายซูสือของพวกเขาแล้ว ภายหลังพวกเขาได้อพยพออกไปโดยยังได้ไปขอบคุณต่อหลี่ชิเย่ มาวันนี้สามารถกลับมาอีกครั้ง พวกเขาจึงเดินทางมาโขกศีรษะให้กับหลี่ชิเย่เป็นการเฉพาะ
“พวกเจ้าคงไม่ใช่แค่กลับมาเพื่อโขกศีรษะให้กับข้ากระมัง” หลี่ชิเย่มองดูหวูโหย่วเจิ้งและหลินยี่เสวี่ยทีหนึ่ง
หวูโหย่วเจิ้งหัวเราะเจื่อนๆ ได้แต่บอกว่า “ที่ ที่ ที่นี่คือบ้านของพวกเรา กิจการพื้นฐานของบรรพบุรุษล้วนอยู่ที่นี่ ดังนั้น ข้า ข้าคิดจะกลับมาดูสักหน่อย”
หลังจากที่หวูโหย่วเจิ้งพาทุกคนอพยพไปจนถึงสถานที่ที่ปลอดภัยแล้ว ภายในใจของเขายังตัดเมืองหมิงลั่วเฉิงไม่ขาด จะอย่างไรเสียเป็นกิจการพื้นฐานที่บรรพบุรุษได้ทิ้งเอาไว้ ดังนั้น เขาจึงอยากจะมาเฝ้ารักษารากฐานนี้เอาไว้ จะอย่างไรเสียอายุของเขาก็มากแล้ว มีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน ในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น สามารถรักษากิจการพื้นฐานนี้เอาไว้ได้ก็ดี หรือรักษาเอาไว้ไม่ได้ก็ช่าง อย่างน้อยที่สุดเขาก็จะไม่เสียใจอีกแล้ว
ดังนั้น หลังจากที่เขาจัดการเรื่องที่พักเรียบร้อยแล้วก็ตั้งใจจะกลับมา ขณะที่หลินยี่เสวี่ยไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามก็จะกลับมาให้ได้ หวูโหย่วเจิ้งสู้ความดื้อรั้นของนางไม่ได้ สุดท้ายได้แต่พาหลินยี่เสวี่ยกลับมาด้วย