Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2742 เข้าสู่สมรภูมิรบโบราณ
ตอนที่ 2742 เข้าสู่สมรภูมิรบโบราณ
มองดูสมรภูมิรบโบราณแล้ว ทำให้ภายในใจของผู้คนต้องหวั่นไหว แม้ว่าจะยืนอยู่ด้านนอกของสมรภูมิรบโบราณ และทำให้ผู้คนสามารถรับรู้ได้ถึงปณิธานรบที่ไม่ยอมศิโรราบของวิญญาณผู้กล้า ทำให้ภายในใจของผู้คนเกิดความรู้สึกนับถือขึ้นมา
เวลานี้นาทีนี้ พวกของเฉินเหวยเจิ้งล้วนแล้วแต่ยืนอยู่ด้านหน้าของสมรภูมิรบโบราณแล้ว รับรู้ถึงปณิธานการสู้รบที่รุนแรงสายนั้น ทำใหพวกเขาอดที่จะหวั่นไหวในใจ
กี่ปีผ่านไปแล้ว สมรภูมิรบโบราณยังคงมีปณิธานการสู้รบที่ฮึกเหิม สิ่งนี้ย่อมสามารถจินตนาการได้ว่า ในครั้งนั้นได้เกิดศึกสงครามที่น่ากลัวอะไรอย่างนั้นในสมรภูมิรบโบราณแห่งนี้ และสามารถจินตนาการได้ว่า ในครั้งนั้นวิญญาณผู้กล้าที่ได้เสียชีวิตจากการต่อสู้ในที่นี้ ช่างเป็นปณิธานการสู้รบที่มั่นคงไม่เสื่อมคลายเช่นใด แม้จะสู้รบจนตัวตายอยู่ท่ามกลางสมรภูมิรบโบราณแห่งนี้ แม้จะผ่านไปแล้วพันล้านปี ปณิธานการสู้รบของพวกเขายังคงม่สามารถจางหายไปได้
ปณิธานการสู้รบที่ไม่ยอมศิโรราบเช่นนี้ ทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกนับถือขึ้นมา
“หลีกไป หลีกไป…” ขณะที่พวกของเฉินเหวยเจิ้งกำลังยืนอยู่ด้านนอกสมรภูมิรบโบราณ มองดูสมรภูมิรบโบราณที่อยู่ตรงหน้าแห่งนี้อยู่นั้น พลันบังเกิดเสียงร้องตวาดดังขึ้นที่ด้านหลังกะทันหัน
ด้านหลังมีคนกลุ่มหนึ่งวิ่งเข้ามา ล้วนแล้วแต่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ ดูท่าทางของพวกเขาก็มาขัดเกลาที่สมรภูมิรบโบราณเหมือนกัน
พลันที่มองเห็นการแต่งตัวของกลุ่มคนรุ่นใหม่ชายหญิงกลุ่มนี้ ก็รู้ได้ทันทีว่ามีชาติกำเนิดมาจากแคว้นเจ้าลัทธิ บนตัวของพวกเขาแผ่กลิ่นอายสูงส่งออกมา ล้วนแล้วแต่มีประกายของสิ่งมีค่าเปล่งออกมา ของมีค่าและของล้ำค่าที่ห้อยอยู่บนตัวหาใช้พวกหลี่เจี้ยนคุนที่เป็นไอ้หนูยากจนจากสำนักขนาดเล็กสามารถเทียบเคียงได้อยู่แล้ว
กลุ่มคนรุ่นใหม่ชายหญิงกลุ่มนี้ห้อมล้อมญิงสาวผู้หนึ่งมา แม้ว่าผู้หญิงดังกล่าวจะแต่งการดูจะธรรมดาอยู่บ้าง แต่กลับมีท่าทีที่ข่มเหงผู้อื่น ให้ความรู้สึกผู้คนถึงความหยิ่งผยองลำพอง
ขณะที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ชายหญิงกลุ่มนี้ยังมาไม่ถึงก็ได้ส่งเสียงตะโกนมาแต่ไกลแล้ว เหมือนว่าพวกของหลี่เจี้ยนคุนขวางทางของพวกเขาเอาไว้อย่างนั้น
ความจริงแล้ว พวกของหลี่เจี้ยนคุนไม่ได้ขวางทางของพวกเขาเลย ทางเข้าสมรภูมิรบโบราณกว้างขวางมาก พวกของหลี่เจี้ยนคุนเพียงยึดครองด้านข้างนิดเดียวเท่านั้น
แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม พวกของหลี่เจี้ยนคุนยังคงหลบไปยังด้านข้าง จะอย่างไรเสียพวกเขาก็มีชาติกำเนิดมาจากสำนักขนาดเล็ก จึงไม่ได้มีความเคยชินในการใช้อำนาจบาตรใหญ่แบบศิษย์ของสำนักเจ้าลัทธิ
เพี๊ยะ…เสียงหนึ่งดังขึ้น เส้ยาวที่ฟาดเข้ามาโดยตรง แม้จะไม่ได้ฟาดถูกตัวของหลี่เจี้ยนคุน แต่ เส้ยาวได้เฉี่ยวผ่านข้างกายของหลี่เจี้ยนคุนไป แล้วฟาดใส่พื้นดินอย่างแรง
แม้ว่าพวกของหลี่เจี้ยนคุนได้เบียดหลบไปข้างๆ และถนนก็ยังกว้างขวางอย่างยิ่ง แต่ว่า เส้ยาวในมือของศิษย์ที่เป็นผู้ชายคนหนึ่งของกลุ่มคนรุ่นใหม่ชายหญิงกลุ่มนี้ยังคงฟาดเข้าใส่ ปากก็ตะโกนออกมา และกล่าวน่าเกรงขามขึ้นมาว่า “ถ้ารู้ว่าอะไรควรไม่ควรก็ยืนไปข้างๆ เสีย อย่าได้ขวางทางของพวกเรา”
ย่อมไม่ต้องสงสัย สิ่งนี้หาใช่เป็นเพราะพวกของหลี่เจี้ยนคุนไปขวางทางของพวกเขา แต่ฝ่ายตรงข้ามต้องการโอ้อวดกำลัง ในฐานะที่เป็นศิษย์ของสำนักเจ้าลัทธิล้วนแล้วแต่ชื่นชอบโอ้อวดกำลังต่อหน้าศิษย์ผู้บำเพ็ญตนที่มาจากสำนักขนาดเล็กสักหน่อย แสดงให้ผู้อื่นได้เห็นความรู้สึกที่หยิ่งในศักดิ์ศรีในฐานะที่เป็นศิษย์ของแค้วนเจ้าลัทธิ
แน่นอน หลี่เจี้ยนคุนเองก็อดกลั้นเอาไว้เมื่อเส้ไม่ได้ฟาดถูกตัวของเขา จะอย่างไรเสียพวกเขาไม่ต้องการมีเรื่องมีราว และพวกเขาเป็นเพียงสำนักขนาดเล็กเท่านั้น หาเรื่องกับพวกแคว้นเจ้าลัทธิไม่ได้
แต่ว่า ลู่ยั่วซีที่มีอายุน้อยที่สุดไม่สามารถทนได้ นางจึงอดที่จะส่งเสียงฮึเย็นชาเมื่อเห็นเส้ที่ฟาดลงมา และกล่าวด้วยความไม่พอใจว่า “ทางใครทางมัน ต่างคนต่างเดินกันคนละข้าง ใช่ว่าไม่มีทางเสียเมื่อไร ทำไมต้องให้พวกเราหลีกทางให้ได้…”
ในขณะที่ลู่ยั่วซีบ่นอยู่นั้น เฉินเหวยเจิ้งรีบดึงตัวลู่ยั่วซีนังหนูผู้นี้ทีหนึ่งไม่ให้นางพูดต่อไป จะอย่างไรเสียเรื่องเช่นนี้เฉินเหวยเจิ้งพบเห็นจนชินแล้ว
“ทำไม มีปัญหารึ?” ศิษย์ผู้ชายที่ใช้แส้ยาวหยุดลงทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของลู่ยั่วซี มองดูลู่ยั่วซีโดยรอบทีหนึ่งด้วยท่าทีน่าเกรงขาม ท่าทางที่ข่มเหงผู้คน
“เดิมก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว…” จะอย่างไรเสีย ลู่ยั่วซีอายุยังน้อย ยังคงชอบใช้อารมณ์
เฉินเหวยเจิ้งตวาดห้ามลู่ยั่วซีเอาไว้ รีบทำหน้ายิ้มแย้มและกล่าวต่อศิษย์คนที่ใช้เส้ว่า “เด็กไม่ประสา ไม่ประสา พี่ท่านอย่าถือสา อย่าได้ถือสา”
ผู้ชายที่ใช้แส้เมื่อเห็นว่าเฉินเหวยเจิ้งทำหน้ายิ้มแย้มยอมรับผิด จึงได้ส่งเสียงฮึออกมาและไม่เอาความอีก
แต่ทว่า ในเวลานี้หญิงสาวที่ถูกชายหญิงกลุ่มคนรุ่นใหม่ห้อมล้อมไว้ได้หยุดเดิน สายตาของนางตกไปอยู่บนตัวของกัวเจียหุ้ย นางมองดูมงกุฎปราชญ์บนศีรษะของกัวเจียหุ้ยทีหนึ่ง
“เจ้าก็คือปรัชญาเมธีที่ว่าของนิกายหู้ซานจงน่ะสิ” ท่าทางหญิงสาวเป็นการแสดงออกทางใบหน้าแทนการพูดจา เป็นน้ำเสียงของผู้ที่อยู่สูงเด่นโดยสิ้นเชิง
“ถูกต้อง ถูกต้อง” เฉินเหวยเจิ้งเกรงว่าจะก่อเป็นเรื่องอะไรขึ้นมา รีบปั้นสีหน้ายิ้มแย้ม ท่าทางดูถ่อมตัวและนอบน้อมยิ่งนัก
“ฮึ ปรัชญาเมธีอะไร เหมือนขี้หมูขี้หมา” หญิงสาวผู้นี้เชิดใส่ สายตาหยุดอยู่บนมงกุฎปราชญ์พักหนึ่ง จากนั้นกล่าวน่าเกรงขามขึ้นมาว่า “เจ้าสิ่งนี้ใช่ว่าใครก็สวมใส่มันได้ ระวังหัวหลุดจากบ่า!” กล่าวจบเชิดหน้าเดินเข้าไปในสมรภูมิรบโบราณ
สีหน้าของเฉินเหวยเจิ้งเปลี่ยนไป แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ชายหญิงกลุ่มคนรุ่นใหม่กลุ่มนี้ไม่ได้รั้งอยู่ที่สมรภูมิรบโบราณตรงหน้า แต่ก้าวข้ามไปโดยตรงและเข้าสู่สมรภูมิรบโบราณอีกแห่งที่แข็งแกร่งมากกว่านี้
“เจ้านิกาย พวกเขารังแกกันเกินไปแล้ว” ลู่ยั่วซีบ่นอุบอย่างไม่พอใจว่า “เป็นพวกเขาที่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ชัดๆ ทำไมพวกเราจะต้องขอโทษพวกเขา ยังมีความเป็นธรรมอยู่อีกรึ?”
“มีความเป็นธรรมหรือไม่ข้าไม่รู้หรอกนะ แต่ว่า วันหน้าเจ้าไปไหนมาไหนระวังตัวนิดหนึ่ง เมื่อใดที่ล่วงเกินคนที่แข็งแกร่งมากกว่าเจ้า สามารถนำมาซึ่งภัยถึงแก่ชีวิตได้ทุกเมื่อ โลกนี้คือโลกของปลาใหญ่กินปลาเล็กอยู่แล้ว ระวังปลาหมอตายเพราะปาก” เฉินเหวยเจิ้งกล่าวด้วยท่าทีหนักแน่นจริงจัง
“หรือไม่มีกฎหมายแล้วรึ?” ลู่ยั่วซีที่ไร้เดียงสาบริสุทธิ์ จะอย่างไรเสียนางคือผู้ที่มีอายุน้อยสุดในบรรดาศิษย์พี่ ศิษย์พี่สาว และเข้าร่วมสำนักช้าที่สุด เพิ่งเข้าร่วมสำนักได้ไม่นานเท่าไร
สำหรับพวกของหลี่เจี้ยนคุนที่เป็นศิษย์ที่เข้าสำนักมานานแล้วนั้น เคยชินเสียแล้วกับเรื่องเช่นนี้ ขณะที่ลู่ยั่วซีซึ่งมีอายุเพียงเท่านี้ ยังคงมีความรู้สึกที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมอยู่ในใจกับเรื่องนี้
“กำปั้นของเจ้าก็คือกฎหมาย” ขณะที่ลู่ยั่วซีกำลังรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมนั้น เสียงที่เรียบเฉยของหลี่ชิเย่ดังขึ้น
ในขณะนี้ หลี่ชิเย่ลืมตาขึ้นมา เลิกหนังตาทีหนึ่ง เอ่ยขึ้นมาช้ๆ ว่า “เจ้าต้องการกฎหมาย ก็ใช้กำปั้นของเจ้าจัดการกับเขาจนหมอบ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คือกฎหมาย”
“เช่นนั้นแล้วจะมีความแตกต่างอะไรกับพวกเขาเล่า?” ลู่ยั่วซีถึงกับเอียงคอแล้วกล่าวขึ้น
“แตกต่างกันมากเลย ถ้าหากเจ้าเพียงสามารถอาศัยกำปั้นเอาชนะคนหรือสองคน นั่นเพียงสามารถรักษาคำว่ากฎหมายที่เจ้าต้องการเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยว่า “ถ้าหากกำปั้นของเจ้าแข็งแกร่งมากพอ สามารถสร้างอาณาจักรที่เป็นของตนเองได้ กระทั่งโลกทั้งโลกขึ้นมาโลกหนึ่ง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คือกฎหมาย เจ้าสามารถก่อตั้งสำนักที่มีความเที่ยงธรรมขึ้น สามารถสร้างโลกที่มีความเที่ยงธรรม แน่นอนที่สุด เจ้าก็สามารถสร้างโลกที่มีเพียงเจ้าที่เป็นใหญ่แต่ผู้เดียวได้เช่นกัน!”
“ฉะนั้น เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าก็คือกฎหมาย เพียงแต่ขึ้นอยู่กับเจ้าว่าต้องการกฎหมายลักษณะเช่นใด” หลี่ชิเย่กล่าวเฉยเมยขึ้นมาว่า “กฎหมายใดๆ กฎระเบียบใดๆ ก็ตาม ล้วนแล้วแต่อาศัยกำลังที่แข็งแกร่งมารักษาทั้งสิ้น ไม่มีกำปั้นที่แข็งแกร่ง เจ้าจะไปรักษากฎหมายที่เจ้าต้องการได้อย่างไร? ดังนั้น หากเจ้าอยากได้กฎหมาย ก็ต้องทำให้ตนเองมีความแข็งแกร่งขึ้นมาเสียก่อน!”
สำหรับคำบอกเล่าลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่นั้น ทำให้พวกหลี่เจี้ยนคุนที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ถึงกับสะเทือนหวั่นไหวในใจ ในอดีตพวกเขาคิดแต่ทำให้ตนเองมีความแข็งแกร่งเท่านั้นเอง สามารถฝึกปรือเคล็ดวิชาที่ดียิ่งขึ้น แข็งแกร่งยิ่งขึ้นเท่านั้น แต่ว่า ไม่เคยนึกถึงสิ่งที่ลึกซึ้งขนาดนี้มาก่อน
เวลานี้คำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ ทำให้พวกเขาสะเทือนหวั่นไหวในใจ สิ่งนี้ทำให้การมุ่งมาดปรารถนาต่อกำลังของพวกเขามีความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และมีความกระหายอยากที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
“เมื่อกำปั้นของเจ้ามีความแข็งแกร่งเพียงพอ เมื่อนั้นก็คือกฎหมาย!” คำพูดเช่นนี้ได้รวมเอาสิ่งต่างๆ ไว้ในนั้นมากมายเหลือเกิน สิ่งนี้หาใช่เป็นเพียงความหมายตามตัวอักษรเท่านั้น
“โอกาสในการเปลี่ยนตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้นก็อยู่ตรงหน้าของพวกเจ้า” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยว่า “ไปขัดเกลาเถอะ ได้เวลาที่พวกเจ้าสมควรหลั่งเลือดแล้ว คงมีสักวัน เหงื่อที่พวกเจ้าใครไหลริน เลือดของพวกเจ้าที่เคยหลั่งริน มันจะหลอมสร้างโลกที่พวกเจ้าต้องการขึ้น มันจะหลอมสร้างชีวิตที่พวกเจ้าต้องการขึ้น!”
“คำกล่าวของท่านปรมาจารย์มีเหตุผล พวกเจ้าจดจำให้มั่น” เฉินเหวยเจิ้งเองก็ได้รับประโยชน์ไม่น้อย และรู้สึกสะเทือนหวั่นไหวในใจอย่างยิ่ง ถึงกับกล่าวทอดถอนใจด้วยความหวั่นไหวว่า “มีเพียงแลกด้วยเลือด แลกด้วยเหงื่อ จึงสามารถหลอมสร้างชีวิตที่ตนต้องการขึ้นมาได้!”
หลังจากที่ภายในใจของพวกหลี่เจี้ยนคุนรู้สึกสะเทือนหวั่นไหวแล้ว ได้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง โค้งคำนับให้กับหลี่ชิเย่ กราบคารวะทีหนึ่ง พวกเขาได้รับประโยชน์ไม่น้อยจากคำบอกเล่านี้ของหลี่ชิเย่
“เอาล่ะ เริ่มได้ ขึ้นแท่นบูชาอัญเชิญปฐมบรรพบุรุษ” หลี่ชิเย่ชี้ไปยังแท่นบูชาที่อยู่ข้างหน้า และสั่งการออกมา
ด้านข้างของสมรภูมิรบโบราณมีแท่นบูชาที่เก่าแก่โบราณแห่งหนึ่งตั้งอยู่ แม้ว่าแท่นบูชาดังกล่าวจะดูเก่าและไม่สมบูรณ์มากแล้ว แต่ว่า ยังคงแผ่กลิ่นอายที่ศักดิ์สิทธิ์และน่าเกรงขามออกมาสายหนึ่ง
ทุกๆ สมรภูมิรบโบราณในเมืองวัฏสงสารเมืองบนเขาล้วนแล้วแต่มีแท่นบูชาลักษณะเช่นนี้อยู่แห่งหนึ่ง
พวกของหลี่เจี้ยนคุนมองตากันและกันทีหนึ่ง จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ทำหน้าเคร่งขรึมจริงจัง จากนั้นได้ก้าวขึ้นสู่แท่นบูชา และคารวะต่อศิลาจารึกที่อยู่บนแท่นบูชาเต็มรูปแบบด้วยความเคารพนอบน้อมอย่างยิ่ง
จากนั้น ภายใต้การชี้แนะของหลี่ชิเย่ พวกเขาได้ทำการขับเคลื่อนพลังภายในที่ตนได้ฝึกปรือมา ตามติดด้วยเสียงแว้งค์ดังขึ้น บนศีรษะของพวกเขาพลันปรากฏบทคัมภีร์เคล็ดวิชาของตนขึ้นมาทันที คัมภีร์เคล็ดวิชาได้แผ่กลิ่นอายที่น่าเกรงขามขึ้นมา และทิ้งประกายแต่ละสายลงมา
ประกายแต่ละสายที่ทิ้งตัวลงมารอบตัวนั้น เสมือนดั่งเป็นสิ่งที่เสมือนเกราะป้องกันร่างกายของพวกเขาเอาไว้
“หลังจากที่พวกเจ้าเข้าไปแล้ว พวกเจ้าก็จะได้เผชิญกับวิญาณผู้กล้าที่ได้ตายไปแล้ว จำเอาไว้ ขอเพียงสิ่งที่เสมือนเกราะป้องกันพวกเจ้าถูกทำลาย ก็จะถูกส่งตัวกลับมายังเมือง” หลี่ชิเย่สั่งการน้ำสียงน่าเกรงขามว่า “ถ้าหากพวกเจ้าต้านไม่ไหวสามารถเข้าไปใกล้รูปของปฐมบรรพบุรุษ สามารถทำให้พวกเจ้าได้หอบหายใจแล้วสู้กันใหม่อีกครั้ง อย่าได้ถูกส่งตัวกลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้ข้าเสียหน้า!” กล่าวพลางได้ชี้ไปยังสมรภูมิรบโบราณ
ในเวลานี้ พวกของกัวเจียหุ้ยพบว่า ภายในสมรภูมิรบโบราณยังมีรูปแกะสลักหลายตัวตั้งอยู่ โดยรูปแกะสลักเหล่านี้มองเห็นโฉมหน้าได้อย่างชัดเจน แต่ให้กลิ่นอายที่ศักดิ์สิทธิ์และสูงสุด นี่แหละคือรูปแกะสลักของผู้เฒ่าอมตะ ปฐมบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมาร
“เริ่มต้นได้” หลี่ชิเย่สั่งการขึ้นมาว่า “ถ้าหากพวกเจ้าสามารถผ่านสมรภูมิรบโบราณนี้ไปได้ ก็ให้สู้ต่อไป สมรภูมิรบโบราณนี้นอกเหนือจากเกี่ยวพันกับกำลังแล้ว ที่สำคัญคือดูว่าจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของพวกเจ้าสามารถยืนหยัดได้นานแค่ไหน ถ้าหากจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของเจ้าพังทลาย พวกเจ้าก็จะต้านไม่อยู่! ที่ตรงนี้คือที่ที่สั่งสมประสบการณ์ และขัดเกลาจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่ดีที่สุด”
“อย่าให้ต้องถูกตีแตกพ่ายเพียงไม่กี่รอบเท่านั้น ข้าไม่สามารถรับกับสิ่งนี้ได้!” เมื่อหลี่ชิเย่เอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว คำพูดดูจะเข้มงวดขึ้นมากทีเดียว
…………………………………………