Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2812 ใต้เท้าเซิ่นตู๋
ตอนที่ 2812 ใต้เท้าเซิ่นตู๋
เมื่อวังวนความมืดและวังวนจรัสล้วนจางหายไปแล้ว ท้องฟ้าปลอดโปร่ง เหมือนว่าเมื่อครู่ไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาอย่างนั้น ในเวลานี้เอง ไม่รู้ว่ามีผู้ที่มองดูเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความงุนงงอยู่เท่าไร ในขณะนี้ไม่สามารถเรียกสติกลับมาได้ กระทั่งมีผู้ที่เข้าใจว่าเมื่อครู่นั้นตนเองตาลายไปใช่หรือไม่
“บางที สิ่งนี้คือลางร้ายใช่หรือไม่” มีจอมคนที่ปลีกตัวไม่ปรากฎตัวออกมาของหอจรัสศักดิ์สิทธิ์เอ่ยขึ้นช้าๆ ด้วยท่าทีหนักแน่นและจริงจัง
ความจริงแล้ว ในเวลานี้ทั่วทั้งหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่รู้สึกกังวล ก่อนหน้านั้น ป่ารกร้างถูกทำให้กลายเป็นแดนมาร เวลานี้ก็มีความมืดพุ่งขึ้นบนท้องฟ้า ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกเป็นกังวลมากที่สุดก็คือ ความมืดและความสว่างถึงกับร่วมร่ายรำด้วยกัน สิ่งนี้ต้องไม่ใช่ลางบอกเหตุล่วงหน้าที่ดีแน่นอน
หลี่ชิเย่มองดูรูปแกะสลักปราชญ์ไกลกันดารที่แตกละเอียดเกลื่อนพื้นไปแล้วนั้น เขาไม่ได้รู้สึกเหนือความคาดคิดแม้แต่น้อย กล่าวเรียบเฉยขึ้นมาว่า “ล้างบาป บาปที่ล้างคืออะไร”
แน่นอนที่สุด คำตอบนี้คงมีเพียงปราชญ์ไกลกันดารเท่านั้นที่รู้คำตอบ และหรือกล่าวสำหรับ ปราชญ์ไกลกันดารแล้ว บาปที่ล้างคืออะไรมันไม่สำคัญ ที่สำคัญคือท่าทีอย่างหนึ่งที่มีต่อสัจธรรม
เฉกเช่นผู้ดำรงอยู่อย่างปราชญ์ไกลกันดารนั้น เขาเคยคือรัศมีแสงที่ส่องสว่างทั่วหล้าอย่างเสมอภาค โปรดเหล่าเวไนยสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากห้วงแห่งความทุกข์โดยทั่วกัน หรือบางทีภายในใจของเขานั้น ความสว่างและความมืดนั้นถือกำเนิดมาพร้อมกัน ความสว่างก็ดี ความมืดก็ช่าง มันก็แค่แวบหนึ่งของความนึกคิดเท่านั้นเอง
แน่นอนที่สุด ความคิดลักษณะเช่นนี้หาใช่สิ่งที่ผู้คนบนโลกสามารถเข้าใจได้ และนี่ก็คือสิ่งที่ ประเพณีปฏิบัติทั่วไปรับได้ มีเพียงก้าวไปถึงระดับเช่นปราชญ์ไกลกันดารแล้ว จึงสามารถเข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งในนั้นได้อย่างแท้จริง
ล้างบาป บาปที่ล้างคืออะไร! บางทีสิ่งนี้ไม่ได้สลักสำคัญ หาไม่แล้ว เพราะอะไรปราชญ์ไกลกันดารถึงจงใจไม่ให้แสงสว่างสาดส่องมาถึงตรงนี้ได้ หรือสาดส่องเข้ามาไม่ได้จริงรึ?
ในขณะนี้ หลี่ชิเย่ได้หัวเราะทีหนึ่ง ส่ายหน้า และกล่าวว่า “กลับไปเถอะ” กล่าวพลางถือกระบี่ล้างบาปก้าวเดินไปทันที
ข้าเองก็เคยรัศมีแสงที่ส่องสว่างทั่วหล้าอย่างเสมอภาค คำพูดคำนี้ปราชญ์ไกลกันดารเคยพูดเอาไว้ เพียงแต่ ชนรุ่นหลังที่เคยได้ยินคำพูดประโยคนี้มีอยู่ไม่มาก สามารถเข้าใจคำพูดประโยคนี้ของเขายิ่งมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
“แล้ว แล้ว แล้วกระบี่ล้างบาปล่ะ?” จ้าวชิวสือรีบเร่งเอ่ยขึ้นมา เมื่อเห็นหลี่ชิเย่สะพายกระบี่ล้างบาปก้าวเดินไปทันที
“ใครสามารถนำมันไปได้ มันก็เป็นของผู้นั้น” หลี่ชิเย่หัวเราะและเดินจากไปโดยไม่หันหัวกลับมา
จ้าวชิวสือยืนเซ่ออยู่ตรงนั้นอย่างสิ้นเชิง ในเวลานี้เขาทำอะไรไม่ถูก ไม่ทราบว่าควรจะทำเช่นใดดี จะอย่างไรเสีย กระบี่ล้างบาปคือของวิเศษของสถาบันศึกษาล้างบาป กระทั่งกล่าวได้ว่า มันคือของวิเศษคู่สถาบันศึกษาล้างบาปเลยก็ว่าได้ เวลานี้ถูกหลี่ชิเย่ยึดครองเป็นของส่วนตัว มัน มันดูจะไม่มีเหตุผลอยู่บ้าง
ไม่ง่ายนักกว่าจ้าวชิวสือจะได้สติกลับมา เขาร่างสั่นเทิ้มทีหนึ่ง รีบเร่งไปรายงานต่อใต้เท้าอธิการบดีทันที
ขณะที่จ้าวชิวสือได้พบกับตู้เหวินรุ่ยนั้น ตู้เหวินรุ่ยกำลังต้มชาอยู่ เหมือนว่าเรื่องราวที่สะเทือนเลื่อนลั่นเมื่อครู่นั้น ก็ไม่สามารถทำให้เขาต้องแตกตื่นอย่างนั้น
หลังจากที่จ้าวชิวสือพบกับตู้เหวินรุ่ยแล้ว เขารีบนำเรื่องที่เกิดขึ้นในสถาบันศึกษาล้างบาปรายงานต่อตู้เหวินรุ่ยอย่างละเอียด
หลังจากที่ตู้เหวินรุ่ยได้ฟังรายงานจากจ้าวชิวสือแล้วเขาไม่รู้สึกตกใจ ยิ่งกว่านั้นยังไม่รู้สึกตื่นเต้นอีกด้วย ค่อยๆ จิบชาที่อยู่ในมือ สุดท้ายเพียงแค่พยักหน้าและกล่าวว่า “อืมข้ารู้แล้ว”
เหมือนว่าเรื่องราวทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น เขาก็ได้เห็นกับตาตนเองอย่างนั้น
“แล้ว แล้วเรื่องผู้อาวุโสเติ้งควรทำอย่างไร?” จ้าวชิวสือเป็นคนซื่อกล่าวด้วยความกังวลว่า “เกิด เกิดทางเป่ยเยี่ยนเอาเรื่องขึ้นมา…” เมื่อนึกถึงตรงนี้แล้วตัวเขาเองถึงกับร่างสันเทาทีหนึ่ง
เติ้งเหรินเซินคือาจารย์ของเป่ยเยี่ยน แม้ไม่อาจกล่าวว่าเป็นอาจารย์ที่โดดเด่นและดีที่สุด เป็นเพียงอาจารย์ที่ค่อนข้างธรรมดาคนหนึ่งของเป่ยเยี่ยน แต่ว่าเขาสอนอยู่ที่เป่ยเยี่ยนมาเป็นเวลายาวนานมาก และได้สอนลูกศิษย์ออกมามากมาย เวลานี้เขาตายอนาถอยู่ในสถาบันศึกษาล้างบาป เกิดทางเป่ยเยี่ยนเอาเรื่องขึ้นมาก็จะเป็นเรื่องใหญ่
“วางใจเถอะ เรื่องของเป่ยเยี่ยนข้าจัดการเองได้” ตู้เหวินรุ่ยในฐานะที่เป็นอธิการบดีเขาไม่รู้สึกประหลาดใจและไม่เป็นห่วงแม้แต่น้อย สำหรับเรื่องการตายของเติ้งเหรินเซิน เหมือนว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ปกติมาก
“แล้ว แล้วกระบี่ล้างบาปล่ะ?” จ้าวชิวสือจึงหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อเห็นว่าใต้เท้าอธิการบดีมีแนวความคิดอยู่แล้ว
“กระบี่ล้างบาปรอคอยผู้ที่มีวาสนามาโดยตลอด มีเพียงผู้มีวาสนาเท่านั้นที่จะได้ครอง” ตู้เหวินรุ่ยยิ้มนิดหนึ่งและกล่าวว่า “ในเมื่อนักศึกษาหลี่สามารถได้กระบี่ล้างบาปมาครอง ย่อมบ่งบอกว่าเขาได้รับการยอมรับจากกระบี่ล้างบาป หลังจากนี้ไปกระบี่ล้างบาปก็จะเป็นของเขา”
“อ๋อ…” ในเวลานี้จ้าวชิวสือยังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบโต้ ได้แต่รับคำด้วยความงุนงง
“ชิวสือน่ะ เจ้าคือต้นกล้าที่ดีมากของสถาบันศึกษาของเรา ไม่ว่าจะเป็นด้านคุณสมบัติประจำตัวหรือจะเป็นด้านพรสวรรค์ก็ไม่เลวนัก” ในเวลานี้ตู้เหวินรุ่ยกล่าวด้วยคำพูดที่มีความหมายลึกซึ้งว่า “จากนี้ไปเจ้าจะต้องติดตามนักศึกษาหลี่ให้ดี”
“เรียนใต้เท้าอธิการบดี ข้าจะต้องคอยคุ้มครองเขาเป็นอย่างดี จะไม่ยอมให้คนอื่นมาแย่งเอากระบี่ล้างบาปของศิษย์น้องหลี่ไปได้อย่างเด็ดขาด” เมื่อจ้าวชิวสือได้สติกลับมาเข้าใจความหมายของตู้เหวินรุ่ยผิด
จ้าวชิวสือยังเข้าใจว่าใต้เท้าอธิการบดีเกรงว่าจะมีคนมาแย่งชิงกระบี่ล้างบาปของหลี่ชิเย่ ดังนั้นจึงได้สั่งการเป็นพิเศษให้เขาติดตามหลี่ชิเย่ให้ดี ดีที่สุดคือไม่ห่างแม้แต่ก้าวเดียว
“ไปเถอะ” ตู้เหวินรุ่ยยิ้มนิดหนึ่งด้วยความหมายที่ลึกซึ้งไม่ได้ชี้ออกมา เนื่องจากเขารู้ว่าเรื่องเช่นนี้มักจะเป็นเรื่องของวาสนาอยู่เสมอ ไม่สามารถฝืนได้
เมื่อจ้าวชิวสือได้สติกลับมาจึงแสดงคารวะแล้วจากไป
การที่กระบี่ล้างบาปถูกครอบครองโดยหลี่ชิเย่ที่เป็นนักศึกษาใหม่ที่เพิ่งเข้าศึกษา ทำให้นักศึกษาทั้งหมดของสถาบันศึกษาล้างบาปชมเปาะด้วยความตื่นตะลึงไม่หยุด นักศึกษาจำนวนมากต่างกล่าวด้วยความอิจฉาว่า “นี่โชคดีเหลือเกินผู้คนจำนวนเท่าไรที่ไปทดสอบกระบี่ล้างบาปมา ไม่เคยเห็นใครทำได้สำเร็จ พลันที่เขาหยิบก็สำเร็จเลย นี่มันโชคดีจนไม่รู้จะโชคดีอย่างไรแล้ว”
“นี่แหละเขาเรียกว่าคนซื่อๆ มักจะโชคดี” มีนักศึกษาที่หัวเราะและกล่าวว่า “นักศึกษาหลี่มีชาติกำเนิดมาจากชนเผ่าบาป นั่นก็ต่ำต้อยมากพอแล้ว ดูท่าทางซื่อๆ ของเขาเหมือนว่าทุกเรื่องล้วนแล้วแต่มีปฏิกิริยาที่เชื่องช้า ดูเหมือนทำอะไรไม่ต้องคิด เวลานี้ดูไปแล้วคนโง่ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร”
แน่นอนที่สุดท่าทีที่เอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นของหลี่ชิเย่ ในสายตานักศึกษาของสถาบันศึกษาล้างบาปบางส่วนนั่นคือมีปฏิกิริยาเชื่องช้า เซ่อซ่าอะไรอย่างนั้น
ขณะที่นักศึกษาจำนวนมากของสถาบันศึกษาล้างบาปยังไม่สามารถสงบกับเรื่องราวสะเทือนเลื่อนลั่นยิ่งที่เกิดขึ้น ในวันนี้เองพลันปรากฏเสียงตูมดังสนั่นขึ้นมากะทันหัน คล้ายก้อนหินที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬารก้อนหนึ่งได้ทุบลงมาที่สถาบันศึกษาล้างบาป
ทั่วทั้งสถาบันศึกษาล้างบาปถึงกับสั่นไหวโคลงเคลงทีหนึ่ง ภายใต้เสียงตูมที่ดังสนั่น ปรากฎลมพายุหนักโหมซัดที่พัดพาเอากรวดทรายปลิวว่อน ใบไม้จำนวนนับไม่ถ้วนถูกพายุพัดจนปลิวกระจาย ต้นไม้หักโค่นบุปผาโรยรา
นาทีนี้ปรากฏเท้าของสัตว์ที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬารได้เยียบย่างเข้าไปในสถาบันศึกษาล้างบาป ทั่วสถาบันศึกษาล้างบาปเกือบถูกเหยียบจนจมธรณีอย่างนั้น
“โอ้แม่จ๋า” นักศึกษาที่ถูกทำให้ตกใจยิ่งได้สติกลับมา เมื่อเงยหน้าขึ้นมองเห็นสิงโตตัวผู้ขนาดยักษ์ยืนอยู่ในสถาบันศึกษาล้างบาป
สิงโตตัวผู้ตัวนี้มีลำตัวที่สูงใหญ่ยิ่งนัก สูงถึงพันจ้าง ขณะที่มันยืนอยู่บนพื้นไหล่ของมันสามารถแบกท้องฟ้าได้ทั้งผืน หางของมันยาวมากเหมือนเป็นเทือกเขาเทือกหนึ่ง แค่สะบัดหางเบาๆ ก็สามารถทำให้จมธรณีได้
ขนของสิงโตตัวผู้ตัวนี้มีสีเหลืองทองทั้งตัว และเส้นขนทุกเส้นล้วนแล้วแต่มีขนาดที่ใหญ่มาก ดูไปแล้วคล้ายเป็นน้ำตกสีเหลืองทองแต่ละสายที่ตกลงมา ทอดสายตามองออกไปก็คล้ายเป็นน้ำตกสีเหลืองทองที่กว้างขวางใหญ่โตปรากฏอยู่ตรงหน้าทุกคนอย่างนั้น
สิงโตตัวผู้สีเหลืองทองขนาดยักษ์ลักษณะเช่นนี้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าทุกคน เรียกได้ว่าอลังการยิ่งนัก
ที่ทำให้ผู้คนต้องสั่นเทามากที่สุดก็คือ กลิ่นอายสัตว์ที่แผ่กระจายออกมาจากสิงโตตัวผู้สีเหลืองทองตัวนี้ การหายใจแต่ละครั้งของมันเสมือนดั่งเป็นการผ่อนเข้าออกกลิ่นอายขมุกขมัวพุ่งปะทะฟ้าดิน เสียงจี๊ด จี๊ดของกลิ่นอายสัตว์พุ่งเข้ามาปะทะใบหน้า ฉับพลันก็คล้ายดั่งมีคลื่นของสัตว์จำนวนนับล้านล้านที่พุ่งเข้ามาปะทะใบหน้า เหมือนมีสิงโตที่หิวโหยนับล้านล้านตัวกระโจนเข้ามา เพื่อจัดการฉีกร่างของตนให้แหลกละเอียดอย่างนั้น
นักศึกษาของสถาบันศึกษาล้างบาปต่างยืนไม่ติดพื้น ขาทั้งสองข้างสั่นเทาตลอดเวลา ทิ้งตัวนั่งลงกับพื้นภายใต้กลิ่นอายสัตว์ที่น่ากลัวเช่นนี้ กระทั่งมีผู้ที่ถูกสยบเอาไว้ในทันที
ฮึ…ในเวลานี้ เสียงฮึที่เย็นชาเสมือนดั่งฟ้าร้องเสียงหนึ่งดังขึ้น จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของนักศึกษาทุกคนล้วนแล้วแต่หวั่นไหว ร่างกายอ่อนแรงไปทั่วร่าง อานุภาพศักดิ์สิทธิ์สายหนึ่งตลบอบอวลไปทั่วสถาบันศึกษาล้างบาป นักศึกษาของสถาบันศึกษาล้างบาปทั้งหมดล้วนแล้วแต่ถูกอานุภาพศักดิ์สิทธิ์นี้สยบจนหมอบอยู่กับพื้น ไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้อยู่แล้ว
ในเวลานี้เอง ทุกคนจึงได้มองเห็นบนหลังของสิงโตตัวผู้สีเหลืองทองมีผู้เฒ่าที่รูปร่างสูงใหญ่กำยำนั่งอยู่คนหนึ่ง ไว้ผมยาวสีทองทั้งหัว ตัวเขาเองเสมือนหนึ่งเป็นสิงโตตัวหนึ่งอย่างนั้น โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นของเขาคมกริบยิ่งนัก เมื่อไรที่ถูกมันจ้องมองก็จะทำให้ขาทั้งสองข้างอ่อนแรง
“ใต้เท้าเซิ่นตู๋เก็บงำอานุภาพศักดิ์สิทธิ์เสีย อย่าทำให้เด็กๆ ที่ยังไม่ผ่านโลกเหล่านี้ตกใจจนแย่” ในเวลานี้เอง ตู้เหวินรุ่ยในฐานะอธิการบดีได้ปรากฏตัวแล้วในที่สุด เขาได้โค้งคำนับและแสดงคารวะแบบจีนต่อผู้เฒ่าผู้นี้
ฟ่าววว…ปรากฎพายุที่โหมซัดรุนแรง สิงโตตัวนี้ได้เหินฟ้าขึ้นแอยู่บนท้องฟ้าโดยพลัน ด้วยร่างกายที่มีขนาดใหญ่โตบดบังท้องฟ้าเอาไว้ ยังคงเป็นที่เคารพยำเกรงของผู้คน
ขณะเดียวกันผู้เฒ่าผู้นี้ก็ได้เก็บงำท่าที ทำให้ผู้คนเหมือนปลดภาระออกจากบ่า ไม่เหมือนเช่นตอนแรกที่ถูกสยบไว้บนพื้นโดยตรง กระทั่งกระดิกตัวยังไม่ได้
“ขอบคุณใต้เท้าเซิ่นตู๋” ตู้เหวินรุ่ยแสดงคารวะทีหนึ่ง เมื่อเห็นผู้เฒ่ารวมทั้งสิงโตตัวผู้สีเหลืองทองบินขึ้นไปอยู่บนท้องฟ้า
ใต้เท้าเซิ่นตู๋…มีนักศึกษาที่อายุค่อนข้างมากได้ยินคำเรียกขานเช่นนี้แล้วถึงกับยตื่นตระหนกยิ่ง ร่างสั่นเทิ้มทีหนึ่ง
“ใต้เท้าเซิ่นตู๋ดำรงอยู่ในสถานะเช่นใด?” นักศึกษาใหม่ที่เพิ่งเข้าเรียนรู้สึกไม่คุ้นเคยกับชื่อ ‘ใต้เท้าเซิ่นตู๋’ ที่มีการเรียกขานกัน
“เป็นผู้ตรวจการและควบคุมดูแลหอจรัสศักดิ์สิทธิ์” นักศึกษาผู้นี้กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ได้ยินมาว่าใต้เท้าเซิ่นตู๋ลึกล้ำยากจะหยั่งถึง”
นักศึกษาคนอื่นๆ ต่างรู้สึกขนลุกซู่ในใจเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ เงยหน้ามองดูผู้เฒ่าผู้นี้ที่อยู่บนท้องฟ้าด้วยความเคารพยำเกรง
ในเวลานี้ สายตาของใต้เท้าเซิ่นตู๋ตกอยู่ที่สระล้างบาป มองดูรูปแกะสลักที่ละเอียดเกลื่อนพื้นของปราชญ์ไกลกันดารด้วยท่าทีหนักแน่นจริงจัง ไม่ได้พูดออกมาสักคำ
“ใต้เท้าเซิ่นตู๋ไม่ลงมาจิบน้ำชาสักถ้วยรึ?” ตู้เหวินรุ่ยแสดงคารวะแบบจีน ทักทายต่อใต้เท้าเซิ่นตู๋ด้วยใบหน้ายิ้มๆ
“ไม่ต้องแล้ว” ใต้เท้าเซิ่นตู๋ละสายตากลับมา เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “งานในหน้าที่รัดตัว ไม่สะดวกด้วยประการทั้งปวง”
“ใต้เท้าเซิ่นตู๋มาด้วยตนเองไม่ทราบมีอะไรชี้แนะ” ตู้เหวินรุ่ยเอ่ยถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“รู้แล้วยังแกล้งถาม!” ใต้เท้าเซิ่นตู๋ส่งเสียงฮึเย็นชา ดูจากท่าทางของพวกเขาแล้ว ตู้เหวินรุ่ยกับใต้เท้าเซิ่นตู๋นั้นรู้จักกัน อีกทั้งดูจากท่าทีแล้วยังมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวอีกด้วย
“รูปแกะสลักปฐมบรรพบุรุษแตกละเอียด กระบี่ล้างบาปหายไป นี่คือความผิดมหันต์” ใต้เท้าเซิ่นตู๋กล่าวน้ำเสียงเย็นชา
ไม่รู้ว่ามีนักศึกษาจำนวนเท่าไรรู้สึกสั่นเทาในใจ เมื่อเห็นท่าที่ลักษณะเช่นนี้ของใต้เท้าเซิ่นตู๋ จะอย่างไรเสีย สถาบันศึกษาล้างบาปของพวกเขาเป็นเพียงสถาบันศึกษาเล็กๆ เท่านั้น ขณะที่ใต้เท้าเซิ่นตู๋คือผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะผู้ตรวจการและควบคุมดูแลหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด็น
……………………………………………