Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2002 ทุกคนต่างมีความลับ
ขณะที่เย่ซินเสวี่ยก้าวเท้าเข้าไปในตำหนักหลัก หลี่ชิเย่ถึงกับส่ายหน้าและหัวเราะกล่าวว่า “ผู้ชายสองคนกลับสู้เด็กผู้หญิงคนหนึ่งไม่ได้ นับว่าไร้เหตุผลสิ้นดีแล้ว”
เย่ซินเสวี่ยนั่งลงตรงหน้าหลี่ชิเย่ เป็นความจริงที่นางมีความงดงามและขลาดกลัวอยู่สามส่วน แต่ว่า นางยังคงเงยหน้าขึ้นมองดูหลี่ชิเย่ สุดท้าย เอ่ยออกไปเบาๆ ว่า “อาจารย์ ที่ข้ารั้งอยู่ในเรือนตำราก็เพื่อศึกษาเล่าเรียน”
ความจริงแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่ได้มีนักศึกษาสักกี่คนที่ยินดีอยู่ที่เรือนตำราจริงๆ ถ้าหากจะกล่าวว่ามีนักศึกษายินดีมาอยู่ที่เรือนตำราหละก็ ไม่เป็นเพราะมีจุดประสงค์อื่นใด ก็คือต้องการอาศัยเรือนตำราเป็นเหมือนไม้กระดานกระโดดน้ำ เพื่อกระโดดไปยังชั้นการเรียนชั้นอื่นๆ ต่อไป
“ข้ารู้ และข้าก็เชื่อในคำพูดของเจ้าจริงๆ” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเฉยเมยขึ้นมาว่า “เมื่อเปรียบกับพวกเขาสองคนแล้ว การมาอยู่ที่เรือนตำราของเจ้ามีความบริสุทธิใจมากกว่า เป็นความจริงที่การมาอยู่เรือนตำราของเจ้าเพื่อต้องการได้อ่านตำราอ่านเล่นที่มีอยู่มากกว่า”
ครั้นกล่าวมาถึงตรงนี้ หลี่ชิเย่จ้องมองเขม็งไปที่เย่ซินเสวี่ย และกล่าวว่า “แต่ทว่า เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ขณะที่เจ้าเลือกเส้นทางเดินสายนี้นั้น ความจริงภายในใจของเจ้ามันคือการหลีกเลี่ยงอย่างหนึ่ง?”
“ภายในใจคือการหลีกเลี่ยงอย่างหนึ่ง?” เย่ซินเสวี่ยถึงกับตะลึงนิดหนึ่ง นางเองก็ยังมึนงง และกล่าวว่า “ข้า ข้าไม่เป็นอย่างนั้น ข้าชอบอ่านตำราจริงๆ”
“เป็นความจริงที่ข้าไม่ได้สงสัยในเรื่องนี้ และข้าก็เชื่อจริงๆ ว่าเจ้าชมชอบในการอ่านตำราอ่านเล่นประเภทต่างๆ แต่สิ่งนี้ก็คือป้อมปราการอย่างหนึ่งของเจ้า นี่เป็นเงื่อนปมหนึ่งที่อยู่ในใจของเจ้า” หลี่ชิเย่กล่าวเฉยเมยขึ้นว่า “เจ้ามีชาติกำเนิดมาจากตระกูลเช่นใดข้าจะไม่กล่าวถึงให้มากความ อย่างน้อยที่สุดภายในตระกูลของเจ้า เจ้ามีพรสวรรค์ที่สู้คนอื่นๆ ไม่ได้ ในฐานะที่เป็นบุตรสาวคนโตของตระกูลใหญ่ เกรงว่าสิ่งนี้ได้สร้างความกดดันให้กับเจ้ามากมาย…”
“…ภายใต้แรงกดดันลักษณะเช่นนี้ ในฐานะที่เป็นเด็กผู้หญิง โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงเช่นเจ้าที่นิสัยไม่ได้แข็งกร้าว และมีความอ่อนแออยู่บ้างแล้ว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการแข่งขันไม่ได้เลือกที่จะพุ่งเข้าชน แต่เลือกที่จะหลบเลี่ยง ขณะที่เจ้าชื่นชอบการอ่านตำรา และตำราอ่านเล่นก็อ่านมามาก ซึ่งเป็นข้ออ้างให้กับเจ้า เมื่อมีข้ออ้างเช่นนี้แล้ว ทำให้เจ้ายอมทอดทิ้งทำลายตัวเอง ด้านการบำเพ็ญเพียรนั้นหยุดนิ่งไม่มีความก้าวหน้า ขณะเดียวกัน ความชื่นชอบในลักษณะเช่นนี้ก็ทำให้เจ้าเหมือนมีป้อมปราการหลังหนึ่ง มีเพียงช่วงที่เจ้าได้ท่องไปยังทะเลแห่งตำรานั้น เจ้าจึงได้รับการปลอบโยน และลืมการแข่งขันที่ทำให้เจ้ารู้สึกหวาดกลัวนั่น”
หลี่ชิเย่พูดเจื้อยแจ้วออกมา เป็นการผ่าวิเคราะห์ออกมาให้เห็นถึงสภาพที่เป็นอยู่ของเย่ซินเสวี่ย
คำพูดลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ทำให้เย่ซินเสวี่ยรู้สึกสะเทือนหวั่นไหว ยืนเซ่อแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น กล่าวสำหรับนางแล้ว การมาที่เรือนตำราไม่ได้เป็นเพราะไม่สามารถจ่ายค่าเล่าเรียนได้! และไม่เพียงเพราะชื่นชอบการอ่านตำราเพียงเท่านั้น ก็เหมือนดั่งที่หลี่ชิเย่ได้พูดเอาไว้อย่างนั้น มันคือการหลีกเลี่ยงอย่างหนึ่ง
เย่ซินเสวี่ยไม่เคยเอ่ยถึงสภาพของตนกับบุคคลภายนอก แม้แต่แขนเหล็กห่วงทองคำกับตาเฒ่าหลิวหลิวจินเซิ่นนางก็ไม่เคยบอกพวกเขา ในสถาบันศึกษาเทพเจ้าไม่มีใครรับรู้สภาพของนาง แต่เวลานี้กลับถูกหลี่ชิเย่พูดออกมาได้ถูกต้อง
สิ่งที่ทำให้เย่ซินเสวี่ยต้องยืนแข็งทื่อก็คือ การผ่าวิเคราะห์ของหลี่ชิเย่เป็นการผ่าแบบเปลือยเปล่า เหมือนว่านางถูกเขาเฉือนเอาหัวใจออกมาเป็นชิ้นๆ จนมองเห็นนางอย่างทะลุปรุโปร่ง แม้แต่สิ่งที่อ่อนแอที่สุดภายในใจก็ถูกมองเห็นได้อย่างชัดเจน
ท่าน ท่าน ท่านรู้มาได้อย่างไร…คำพูดนี้ทำเอาเย่ซินเสวี่ยตกใจถึงกับกระโดดตัวลอย จิตใต้สำนึกทำให้นางถึงกับทำท่าปกปิดร่างกายเอาไว้ นาทีนี้นางรู้สึกว่าตัวเองเปลือยกายล่อนจ้อนอย่างสิ้นเชิงยืนอยู่ตรงหน้าหลี่ชิเย่อย่างนั้น
“ไม่มีสิ่งใดหนีไปจากดวงตาของข้าได้ สิ่งนี้จะไปยากอะไรกันเล่า” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยขึ้นมา
เย่ซินเสวี่ยถูกทำให้สะเทือนหวั่นไหวยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่สามารถเรียกสติกลับมาได้เป็นเวลานาน หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ความรู้สึกกลัวจนสะเทือนหวั่นไหวจึงค่อยๆ ผ่อนคลายลง นางจ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยความรู้สึกที่ตื่นตระหนกตกใจยังไม่อาจสงบจิตเอาไว้ได้
“วางใจเถอะ ข้าไม่ใช่ประเภทชอบแอบดู เพียงแต่เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ไม่สามารถรอดพ้นสายตาคู่นี้ของข้าไปได้เท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่กล่าวขึ้นมาเรียบๆ ในขณะที่เย่ซินเสวี่ยยังตื่นตระหนกตกใจและขวัญหายไม่อาจสงบจิตลงมาได้
ไม่ง่ายนักหลังจากที่จิตใจของเย่ซินเสวี่ยเริ่มผ่อนคลายขึ้น นางกลับไปนั่งอยู่ตรงหน้าของหลี่ชิเย่ตามเดิม ถึงแม้ว่าจะถูกหลี่ชิเย่พูดจี้ถึงจุดที่อ่อนแอที่สุดภายในใจ แต่นางยังคงไม่ยอมแพ้อยู่บ้าง พูดโต้แย้งออกมาว่า “ข้า ข้า ข้าชอบอ่านตำราจริงๆ นี่คือเรื่องที่ข้าชอบทำมากที่สุด”
“แต่ว่า เจ้าเองก็กำลังหลบเลี่ยง” หลี่ชิเย่กล่าวเฉยเมยว่า “การชอบอ่านตำราอ่านเล่นเป็นเรื่องที่ดีมากเรื่องหนึ่ง ไม่ได้มีข้อผิดพลาดใดๆ แต่ว่า ถ้าหากเจ้านำมันมาเป็นวิธีการหลบเลี่ยง เป็นป้อมปราการสำหรับหลบซ่อนตัว นั่นก็คือเจ้าไม่ได้ชอบในสิ่งที่ตนชอบอย่างเต็มที่ มันยังคงเป็นเครื่องมือของเจ้า ไม่ใช่ความชอบของเจ้า”
เมื่อหลี่ชิเย่กล่าวมาถึงตรงนี้แล้ว ได้จ้องมองไปที่เย่ซินเสวี่ยและกล่าวว่า “ดังนั้น วันนี้ข้าอยู่ที่ตรงนี้ ข้าที่ในฐานะอาจารย์ การอยู่ตรงนี้ของข้าเจ้าสามารถที่จะเลือก ความชอบยังคงเป็นการความชอบ แต่เป็นการชื่นชอบที่ไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใด เป็นความจริงที่ชื่นชอบการอ่านตำราอ่านเล่น เพียงแต่สิ่งนี้ไม่ใช่การหลบเลี่ยง ในเมื่อเจ้าสามารถรักในสิ่งที่ตนเองชื่นชอบอย่างไม่สะทกสะท้าน ก็ต้องสามารถไปเผชิญหน้ากับการฝึกฝนของตนเองอย่างไม่สะทกสะท้านเช่นกัน ให้ตัวเองได้ออกจากป้อมปราการ ไม่ให้การฝึกบำเพ็ญเพียรของตนต้องหยุดนิ่งไม่ก้าวหน้าอีกต่อไป”
“ใช่ว่าชื่นชอบอะไรบางอย่างแล้วก็จำเป็นต้องละทิ้งบางอย่าง” หลี่ชิเย่เอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “ชื่นชอบอ่านตำราอ่านเล่นกับการพยายยามฝึกฝนมันไม่ได้ขัดแย้งกัน ถ้าหากจะกล่าวว่าความชอบเป็นเพียงข้ออ้างและป้อมปราการสำหรับการหลบเลี่ยงของเจ้า เท่ากับว่าเจ้ากำลังแปดเปื้อนความชอบของตน เป็นความรักที่ไม่ถึงแก่นแท้ของมัน ขณะที่เจ้าพยายามฝึกบำเพ็ญเพียรยังคงสามารถชื่นชอบในความชอบของตน นี่แหละคือเส้นทางที่เจ้าต้องไปก้าวเดิน”
คำพูดลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ได้ทำให้เย่ซินเสวี่ยตกอยู่ในความนิ่งเงียบ เป็นความจริงที่นางคือบุตรสาวคนโตของตระกูล เมื่อเทียบกับบรรดาพี่น้องทั้งหลายแล้ว พรสวรรค์ของนางห่างชั้นอยู่ไม่น้อยทีเดียว ซึ่งสร้างความกดดันให้กับนางเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งทำให้นางหลบหนีเข้าไปยังโลกของทะเลตำรา และทำให้นางหลบเลี่ยงมาอยู่ที่เรือนตำรา
“ไม่ว่าจะทำเรื่องอะไรก็ตาม หากต้องการเก้าวเดินให้ไกลกว่านี้ ไม่มีอะไรเกินไปกว่าจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรดวงหนึ่ง รู้ทั้งรู้ว่าสิ่งนั้นทำไม่ได้แต่ก็ยังจะทำ” หลี่ชิเย่กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “ขอเพียงเจ้าเอาชนะความหวาดกลัวที่อยู่ภายในใจของตนเองได้ เจ้าจะได้พบกับท้องทะเลกว้างและท้องนภาอันไพศาล เมื่อถึงเวลานั้น เจ้าคิดอยากจะอ่านตำราอะไรก็ได้ทั้งนั้น เจ้าต้องการไปสถานที่ใดเพื่อค้นหาตำราเล่มใด หรือจะศึกษาค้นคว้าร่องรอยเกี่ยวกับตำนานมนุษยชาติอะไรก็ได้ทั้งนั้น”
“ข้า ข้า ข้า…” เย่ซินเสวี่ยพูดตะกุกตะกะอยู่ครึ่งค่อนวัน แต่พูดอะไรไม่ออกสักคำ
“การจะก้าวเดินออกจากความหวาดกลัวภายในจิตใจ ยังคงต้องอาศัยตัวเจ้าเอง” หลี่ชิเย่กล่าวเฉยเมยว่า “เจ้าจะหดหัวอยู่ในกระดองท่ามกลางทะเลตำราของเจ้าเอง ไปตะกองกอดอยู่กับความหวาดกลัวของตนหรือคิดออกจากป้อมปราการนี้ ขึ้นอยู่กับการเลือกของตนเอง เจ้าสามารถไปพิจารณาดู ไม่ต้องรีบร้อนตอบข้าก็ได้”
ในเวลานี้เย่ซินเสวี่ยตอบไม่ถูก สุดท้ายได้แต่นิ่งเงียบเอาไว้
“ไปเถอะ” หลี่ชิเย่โบกมือเบาๆ แล้วร้องกล่าวไปยังด้านนอกว่า “คนต่อไป”
เย่ซินเสวี่ยลุกขึ้นยืน และเดินจากไปเงียบๆ ขณะที่แขนเหล็กห่วงทองคำ และหลิวจินเซิ่นที่ยืนอยู่ด้านนอก พวกเขาทั้งสองต่างก็ต้องการให้อีกฝ่ายได้เข้าไปก่อน แต่ว่าหลิวจินเซิ่นที่อายุมากกว่าและหน้าหนายืนอยู่ด้านนอกสุดทำเป็นไม่ได้ยินอะไร ทำให้ถึงคิวแขนเหล็กห่วงทองคำที่ยืนอยู่ด้านหน้า
หลังจากที่แขนเหล็กห่วงทองคำเข้าไปแล้ว ได้แสดงความเคารพต่อหลี่ชิเย่ด้วยการโค้งคำนับอย่างงาม และพูดขึ้นด้วยรอบยิ้มเต็มใบหน้าว่า “สวัสดีอาจารย์”
ดูไปแล้วอายุของแขนเหล็กห่วงทองคำแก่กว่าหลี่ชิเย่ แต่ในขณะนี้ ท่าทีที่เขาแสดงออกกลับเหมือนนักศึกษาที่น่ารักและเชื่อฟังคนหนึ่ง
หลี่ชิเย่จ้องมองดูแขนเหล็กห่วงทองคำแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “เจ้ารั้งอยู่ที่เรือนตำราเป็นเพราะอะไรหละ?”
“แหะ แหะ แหะไม่ขอปิดบังอาจารย์ ข้ามีแนวความคิดเล็กน้อยอยู่แล้ว” แขนเหล็กห่วงทองคำหัวเราะเจื่อนๆ ทีหนึ่งและกล่าวว่า “ได้ยินมาว่าภาพวาดบนฝาผนัง และรูปแกะสลักหินจำนวนมากล้วนแล้วแต่มีราคามาก ดังนั้น ข้าจึงต้องการพิมพ์ลอกลายออกมาเพื่อเตรียมนำไปขายแลกเงินใช้สักหน่อย”
“เจ้ารู้หรือไม่?” แววตาของหลี่ชิเย่แวบวับเป็นประกายออกมา จ้องเขม็งไปที่แขนเหล็กห่วงทองคำและกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “คนอย่างข้าไม่ชอบให้ผู้อื่นมาเล่นลูกไม้ต่อหน้าข้า อีกทั้งลูกหลานของหวังอ๋าวก็ไม่สมควรทำให้ชื่อเสียงของเขาต้องมัวหมอง”
“ท่าน ท่าน ท่านรู้ได้อย่างไร!” แขนเหล็กห่วงทองคำตกใจสุดขีด จ้องเขม็งไปที่หลี่ชิเย่เหมือนดั่งมองเห็นผีอย่างนั้น เมื่อคำๆ นี้ถูกพูดออกมา
เนื่องจากเขาไม่เคยพูดถึงชาติกำเนิดของตนกับผู้ใดมาก่อน แต่แล้วหลี่ชิเย่กลับสามารถพูดประวัติความเป็นมาของเขาออกมาได้ ขณะเดียวกันยังเอ่ยถึงชื่อของบรรพบุรุษของเขาด้วย จึงทำให้แขนเหล็กห่วงทองคำรู้สึกตระหนกยิ่งนัก
หลี่ชิเย่กล่าวด้วยท่าทีที่เรียบเฉยมากว่า “เรื่องนี้หลอกสายตาคู่นี้ของข้าไม่ได้”
เวลานี้แขนเหล็กห่วงทองคำถึงกับตกใจจนขวัญหายไม่สามารถสงบจิตใจลงได้ จ้องมองหลี่ชิเย่เหมือนดั่งเห็นผีอย่างนั้น หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ จึงค่อยๆ ผ่อนคลายความสะเทือนหวั่นไหวในใจได้
“อาจารย์ ท่าน ท่านเป็นวิชามารรึ?” แขนเหล็กห่วงทองคำกล่าวด้วยท่าทียังไม่หายจากตกใจ
หลี่ชิเย่หัวเราะทีหนึ่ง และกล่าวว่า “สิ่งนี้นับเป็นวิชามารอะไรกัน แค่มองแวบเดียวก็รู้ว่าเจ้าเป็นลูกหลานของหวังอ๋าว”
“อาจารย์รู้จักกับบรรพบุรุษของข้ารึ?” ในเวลานี้ แขนเหล็กห่วงทองคำอ้าปากค้าง จะอย่างไรเสียบรรพบุรุษของเขาได้เสียชีวิตไปนานมากแล้ว แต่ว่า อาจารย์ของสถาบันศึกษาเทพเจ้าทุกสิ่งล้วนเป็นไปได้
สำหรับคำพูดของแขนเหล็กห่วงทองคำนั้น หลี่ชิเย่เพียงนั่งสงบเงียบอยู่ตรงนั้น อมยิ้มแต่ไม่พูดอะไรออกมา
แขนเหล็กห่วงทองคำมีท่าทีที่งุนงง สุดท้ายเขาเกาหัวแล้วกล่าวว่า “ในเมื่ออาจารย์สามารถบ่งชี้ถึงชาติกำเนิดของข้าได้ ข้า ข้าก็ไม่สามารถปิดบังอะไรได้ ถูกต้อง ข้าคือลูกหลานของตระกูลหวัง เพียงแต่ตระกูลหวังในเวลานี้ไม่ใช่ตระกูลหวังในอดีตอีกแล้ว ตระกูลเสื่อมโทรมลง สุดยอดเคล็ดวิชาได้สูญหายไปแล้ว”
“ดังนั้น เจ้าจึงกลับมาที่สถาบันศึกษาเทพเจ้า เพื่อติดตามเคล็ดวิชาของบรรพบุรุษคืน” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยขึ้นมา
“แม้แต่เรื่องนี้อาจารย์ก็สามารถทายได้?” คำพูดของหลี่ชิเย่ทำให้แขนเหล็กห่วงทองคำต้องอ้าปากตาค้างอีกครั้งหนึ่ง โดยเขาถึงกับอ้าปากกว้างมาก
“มีอะไรทายไม่ถูก หวังอ๋าวก็กำเนิดมาจากเรือนตำรา ดังนั้นเจ้าจึงกลับมา” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเฉยเมย
นาทีนี้ทำเอาแขนเหล็กห่วงทองคำเสียวสันหลังวาบ ในที่สุดเขายอมศิโรราบทั้งกายและใจ และกล่าวว่า “อาจารย์เสมือนดั่งมนุษย์เทพ อาจารย์ของสถาบันศึกษาเทพเจ้าก็ยอดเยี่ยมเช่นนี้แหละ หาใช่พวกเราที่เป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาสามารถเทียบเคียงได้” กล่าวพลางพร้อมกับยกนิ้วโป้งให้
“แหะ แหะ แหะไม่กล้าปิดบังอาจารย์ เป็นความจริงที่ข้ากลับมาที่นี่เพื่อค้นหาเคล็ดวิชาลับของบรรพบุรุษจริง” แขนเหล็กห่วงทองคำยิ้มเจื่อนๆ และกล่าวว่า “ตระกูลหวังของพวกเราเล่าลือกันมาโดยตลอดว่า บรรพบุรุษของพวกเราได้นำเคล็ดวิชาลับสลักเอาไว้ในที่ใดที่หนึ่งของเรือนตำรา แต่กลับไม่ได้ระบุชัดเจน บรรพบุรุษรุ่นก่อนๆ ในอดีตมีเคล็ดวิชาลับอยู่ในมือ ดังนั้น จึงไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อน พอมาถึงยุคสมัยของพวกเราเคล็ดวิชาลับดังกล่าวได้สูญหายไปแล้ว ดังนั้น จึงอยากจะทดลองดูสักครั้งแต่ก็หาไม่พบ ไม่ทราบว่าอยู่ที่ใด”
แท้จริงแล้วแขนเหล็กห่วงทองคำมีชาติกำเนิดมาจากตระกูลใหญ่ เพียงแต่ได้เสื่อมโทรมลงแล้ว บรรพบุรุษของพวกเขาเป็นระดับจอมเทพที่แข็งแกร่งมาก อีกทั้งยังกำเนิดมาจากเรือนตำรา
เนื่องเพราะอย่างนี้นี่เอง ยามที่เคล็ดวิชาลับของตระกูลสูญหายไปแล้ว แขนเหล็กห่วงทองคำจึงได้กลับมาที่เรือนตำราเพื่อค้นหาเคล็ดวิชาลับของบรรพบุรุษของพวกเขา