Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2003 ฐานะของหลิวจินเซิ่น
“วิธีของหวังอ๋าวนับว่าไม่เลวนัก” หลี่ชิเย่หัวเราะทีหนึ่ง และกล่าวว่า “ตระกูลหวังของพวกเจ้าพร้อมที่จะเสื่อมลงได้ทุกเมื่อ กระทั่งถูกทำลายล้าง แต่ สถาบันศึกษาเทพเจ้ากลับยืนหยัดไม่มีล้ม การที่เขานำเอาเคล็ดวิชาลับของตนสลักเอาไว้ภายในเรือนตำราตรงไหนสักแห่ง อีกทั้งมีวิธีการที่มีเพียงลูกหลานที่เป็นชนรุ่นหลังเท่านั้นที่สามารถบรรลุถึงสลักเอาไว้ตรงนั้น นับว่าเป็นวิธีการที่ดีในการรักษาเคล็ดวิชาให้สืบทอดต่อไป นับว่าหวังอ๋าวเป็นผู้ที่มีความฉลาดรอบคอบโดยแท้”
“อาจารย์รู้จักกับบรรพบุรุษของข้าหรือ?” สิ่งนี้สร้างความประหลาดใจให้กับแขนเหล็กห่วงทองคำเป็นอย่างยิ่ง อย่าได้มองว่าบรรดาอาจารย์ของสถาบันศึกษาเทพเจ้ายังหนุ่มแน่น ไม่แน่นักล้วนแล้วแต่เป็นเฒ่าประหลาดทั้งสิ้น
หลี่ชิเย่อมยิ้มไม่ตอบคำถาม โบกมือเบาๆ และหลี่ชิเย่ “ไปเถอะ ไปที่ป่าหินสำนึกบุญคุณของเรือนตำรา ส่วนจะผ่านการทดสอบของบรรพบุรุษของเจ้าได้หรือไม่ สามารถบรรลุได้หรือไม่ต้องอาศัยตัวของเจ้าเองแล้ว”
แขนเหล็กห่วงทองคำรู้สึกงงงัน นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้ เขาต้องการค้นหาเคล็ดวิชาที่บรรพบุรุษทิ้งเอาไว้ตลอดมา แต่ก็หาไม่พบ ดังนั้น เขาจึงได้จัดการพิมพ์คัดลอกเอาภาพวาดฝาผนัง ตัวอักษรต่างๆ ที่มีอยู่ในป่าหิน หวังจะนำกลับไปค่อยๆ ศึกษาอีกที ไม่นึกไม่ฝันว่าเวลานี้กลับได้รับการชี้ทางสว่างจากหลี่ชิเย่
ขอบคุณอาจารย์…มาคราวนี้แขนเหล็กห่วงทองคำสยบทั้งกายใจ หมอบกราบลงกับพื้น โขกศรีษะให้กับหลี่ชิเย่อย่างเคารพนบนอบสามครั้ง จึงได้จากไป
หลังจากที่แขนเหล็กห่วงทองคำจากไปแล้ว หลิวจินเซิ่นยืนอยู่ด้านนอกครู่ใหญ่ สุดท้ายยังคงก้าวเท้าเข้าไปยังตำหนักใหญ่ เขาทำการโค้งคำนับต่อหลี่ชิเย่ แล้วจึงค่อยนั่งลงเงียบๆ
“ด้วยเรื่องของ ‘ตำราฝังเข็มศิลาหยกม้ามทอง‘ ข้าจึงมาอยู่ที่เรือนตำรา” หลังจากที่หลิวจินเซิ่นนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง จึงได้เอ่ยขึ้นมาช้าๆ
“เรื่องนี้ข้ารู้ เจ้าต้องการมัน” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยว่า “ข้าแค่ต้องการพูดว่า เจ้าที่เป็นถึงระดับจอมเทพคนหนึ่งแทรกซึมเข้ามาในเรือนตำราแห่งนี้ บรรดาตาเฒ่าของสถาบันศึกษาเทพเจ้าสายตาฝ้าฟางดูไม่ออก หรือเป็นอะไรกันไปแล้ว”
คำพูดลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ทำเอาภายในใจของหลิวจินเซิ่นสะเทือนหวั่นไหว เขาเงยหน้าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ดวงตาทั้งสองส่งประกายเจิดจ้าขึ้นมาทันใด แต่ก็หายไปในทันที กลับคืนสู่สภาพที่แก่ชรา ทั้งยังอดส่งเสียงไอออกมาสองคำไม่ได้
“หากเปลี่ยนเป็นตัวข้า หากมีใครหาญกล้าคิดไม่ซื่อต่อพื้นที่ของข้า หรือสอดแนมอะไรทำนองนั้นหละก็” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมย และกล่าวว่า “ข้าจะให้เขาตายอย่างทุเรศที่สุด อย่าว่าแต่เป็นระดับจอมเทพที่ดุร้ายปราศจากผู้เทียบเทียมเลย ต่อให้เป็นเทพโบราณข้าก็จะบีบเขาให้ตายด้วยมือของข้าเอง!”
ลักษณะคำพูดที่พาลเช่นนี้ของหลี่ชิเย่พลันทำให้หลิวจินเซิ่นรู้สึกสะท้านภายในใจ เขาได้ยกระดับการป้องกันขึ้นมาทันที กลายเป็นระแวดระวังตัวสุดเปรียบเปรย!
แม้ว่าหลิวจินเซิ่นจะเป็นระดับจอมเทพที่แข็งแกร่งมากคนหนึ่ง แต่ เขารู้ตัวดีว่าตนเองนั้นอยู่ที่ใด ที่นี่คือสถาบันศึกษาเทพเจ้า คือที่ที่มังกรเร้นกายพยัคฆ์หมอบ เขามีความเข้าใจดีในสถาบันศึกษาเทพเจ้า ต่อให้เขาแข็งแกร่งมากไปกว่านี้ หากสถาบันศึกษาเทพเจ้าต้องการสังหารเขา เกรงว่าเขาคงทำอะไรไม่ได้มากนัก
อย่าว่าแต่ระดับจอมเทพเช่นเขาเลย ต่อให้เป็นราชันเซียนมาด้วยตนเองและกล้าทำกำเริบเสิบสานในสถาบันศึกษาเทพเจ้า เกรงว่าอาจถูกสังหารได้ การที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าสามารถยืนหยัดไม่ล้มลงจนถึงวันนี้ได้ คงไม่เป็นเพราะปัจจัยภายนอกเท่านั้น ที่สำคัญมากไปกว่านี้ก็คือ ตัวของมันเองมีความแข็งแกร่งยิ่งนักอยู่แล้ว
“ถ้าหากข้าจะสังหารเจ้า คงไม่ให้เจ้ามีโอกาสได้มานั่งพูดคุยกับข้าอยู่ตรงหน้า” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยขึ้นมา
หลิวจินเซิ่นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง สุดท้าย สลายการป้องกันของตนเสีย จะอย่างไรเสียหลี่ชิเย่ดูเหมือนไม่มีความคิดที่จะเป็นศัตรูกับเขา
หลิวจินเซิ่นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง โค้งคำนับต่อหลี่ชิเย่อย่างงาม เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ศิษย์โง่เขลา ใบไม้ใบเดียวบังตา มีตาหามีแววไม่ ไม่ทราบว่าอาจารย์เป็นผู้สูงส่งท่านใด ขออาจารย์ชี้แนะด้วย”
“ข้าเป็นใครนั้นมันไม่สำคัญ” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยขึ้นมาว่า “ข้าแค่ต้องการให้เจ้ารู้ว่า มีข้าอยู่ที่นี่หากเป็นมังกรก็จงขดตัวเอาไว้ เป็นพยัคฆ์จงหมอบเอาไว้ ไม่ว่าเจ้าจะแข็งแกร่งเพียงใดก็ตาม หากเจ้าคิดจะทำอะไรหละก็ ข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องเข้าใจว่า อะไรที่เขาเรียกว่าตายทั้งเป็น”
หลิวจินเซิ่นถือเป็นระดับจอมเทพที่แข็งแกร่งมาก มีประวัติความเป็นมาที่น่าเกรงขามยิ่ง อาศัยนิสัยในอดีตของเขาคงล้มโต๊ะแล้ว แต่ทว่าในเวลานี้เขาถึงกับนิ่งเงียบ
“ศิษย์เพียงมาด้วยเรื่องรักษาอาการบาดเจ็บเท่านั้น ไม่ได้มีจุดประสงค์อื่นใด และไม่ได้คิดร้ายต่อสถาบันศึกษาเทพเจ้า” หลิวจินเซิ่นโค้งคำนับแสดงคารวะอีกครั้ง และกล่าวว่า “หากอาจารย์ไม่เชื่อ ข้าสามารถสาบาน ณ ที่ตรงนี้”
“เอาเถอะ ข้าจะเชื่อเจ้าสักครั้ง” หลี่ชิเย่เพียงพยักหน้าช้าๆ
หลิวจินเซิ่นจึงรู้สึกว่าหายใจโล่งอกขึ้นมา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรระดับจอมเทพที่แข็งแกร่งเช่นเขา ชั่วชีวิตของเขาเกรงกลัวอยู่ไม่กี่คนเท่านั้น อย่าว่าแต่ระดับจอมเทพเลย ต่อให้เป็นจอมราชันเซียนหวังเขาก็เคยพบและกระทั่งเคยปะมือมาแล้ว แต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้าหลี่ชิเย่ กลับสร้างความกดดันให้เขาได้มากเหลือเกิน
ต่อให้หลี่ชิเย่นั้นแลดูเรียบเฉย และธรรมดายิ่งนัก แต่ว่าแค่การนั่งอยู่ตรงนั้นก็ได้สร้างความกดดันให้เขาได้มากมาย ในฐานะที่เป็นถึงระดับจอมเทพ ลางสังหรณ์บอกเขาว่าหลี่ชิเย่ที่อยู่ตรงหน้าอันตรายยิ่งนัก แม้ว่าขณะนี้ดูไปแล้วไม่มีพิษมีภัยอะไร แต่เมื่อไรที่เขาเผยให้เห็นเขี้ยวเล็บล่ะก็ เกรงว่าสามารถจัดการถลกหนังกลืนกินได้เป็นๆ ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นใคร ดำรงอยู่ในสถานะเช่นใดก็ตาม
ด้วยเหตุนี้เอง หลิวจินเซิ่นหวาดกลัวต่อหลี่ชิเย่อย่างยิ่งมาตั้งแต่แรก เขาไม่ต้องการเผชิญหน้าโดยตรงกับหลี่ชิเย่ เนื่องจากเขารู้สึกถึงความอันตรายของหลี่ชิเย่ที่มีต่อเขา
“ไม่ทราบว่าอาจารย์ยังมีอะไรจะชี้แนะรึ?” หากเป็นช่วงเวลาปรกติ ด้วยฐานะและศักยภาพของหลิวจินเซิ่น ผู้อื่นจะต้องให้ความเคารพยิ่งต่อเขา และเรียกเขาว่า “จอมเทพ” แต่นาทีนี้หลิวจินเซิ่นไม่กล้าทำกำเริบเสิบสานต่อหน้าหลี่ชิเย่แม้แต่น้อย เรียกขานคำว่า “อาจารย์” ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง
“ล่าสุด เจ้ามีความเห็นอย่างไรกับสถาบันศึกษาเทพเจ้าบ้าง?” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยขึ้นมา
คำพูดของหลี่ชิเย่ทำให้หลิวจินเซิ่นตื่นตระหนกตกใจทีหนึ่ง เขาไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดหลี่ชิเย่ถึงได้ถามเช่นนี้ขึ้นมากะทันหัน เขานิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ได้แต่ตอบตามสัจจริงว่า “ไม่ขอปิดบังอาจารย์ เกรงว่าผู้ที่ลอบเข้ามาในสถาบันศึกษาเทพเจ้าคงไม่ได้มีเพียงข้าคนเดียวเท่านั้น บางคนกระทั่งไม่เรียกว่าเป็นการลักลอบเข้ามา แต่เป็นการเข้ามาเป็นนักศึกษาของสถาบันอย่างเปิดเผย ส่วนจะมาเพื่อการศึกษาหาความรู้เพียงอย่างเดียวหรือไม่ และหรือมาเพื่อขยายมนุษย์สัมพันธ์ให้มากขึ้น กระทั่งยังมีจุดประสงค์อื่นๆ คงพูดยากแล้ว”
“เรื่องราวลักษณะเช่นนี้มีอยู่ทุกยุคทุกสมัย แต่ว่า ที่ข้าต้องการรู้ไม่ได้มีเพียงเท่านี้” หลี่ชิเย่ที่มีท่าทีเฉยเมย พูดขึ้นมาอย่างสงบ
หลิวจินเซิ่นลังเลนิดหนึ่ง และกล่าวว่า “รายละเอียดเกี่ยวกับสภาพการณ์ของสถาบันศึกษาเทพเจ้า ศิษย์ไม่ชัดเจนนัก แต่อาศัยความรู้สึกส่วนตัวของข้า สถาบันศึกษาเทพเจ้าไม่สู้จะดีนัก เร็วๆ นี้จะต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่นอน เนื่องเพราะเหตุนี้เอง จึงมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่เข้ามาอยู่ในสถาบันศึกษาเทพเจ้า และยังมีผู้ที่แอบสอดส่องอยู่ลับๆ กระทั่งมีจอมราชันเซียนหวังจำนวนไม่น้อยที่แอบสอดแนมอยู่ ตามความเข้าใจส่วนตัวของศิษย์ สถาบันศึกษาเทพเจ้ากำลังอยู่ในอันตราย ส่วนจะรอดพ้นไปได้หรือไม่นั้น ศิษย์ไม่ชัดเจนนัก”
“แต่ละยุคสมัยที่ผ่านมา มีผู้คนจำนวนเท่าไรที่แอบสอดส่องสถาบันศึกษาเทพเจ้ากันเล่า” หลี่ชิเย่หัวเราะทีหนึ่งและกล่าวว่า “ผู้คนจำนวนเท่าไรที่คาดหวังให้สถาบันศึกษาเทพเจ้าล้มลง ไม่เพียงแต่เผ่าเทพ เผ่ามาร เผ่าสวรรค์สามเผ่า แม้แต่ตัวของร้อยชาติพันธุ์เอง มีสายสำนักราชันเซียน แคว้นเจ้าลัทธิจำนวนเท่าไร ที่กระหายอยากในใจต้องการให้สถาบันศึกษาเทพเจ้าล้มลง มีใครบ้างที่ไม่รู้สึกกระหายต้องการสืบต่อแทน นี่ถือเป็นเนื้อชิ้นใหญ่ทีเดียว!”
“นั่นสิ” หลิวจินเซิ่นเองก็ทอดถอนใจขึ้นมา และกล่าวว่า “ถ้าหากสถาบันศึกษาเทพเจ้าล้มโครมลง ช่างเป็นเนื้อมันชิ้นใหญ่เพียงใดกันเล่า ลำพังแค่ทรัพยากรที่สถาบันศึกษาเทพเจ้ามีอยู่ก็เป็นที่ต้องการยิ่งของผู้คนไม่ว่าใครก็ตาม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสถาบันศึกษาเทพเจ้าที่ได้สั่งสมแรงกายแรงใจของราชันเซียนและเซียนหวังแต่ละองค์เอาไว้!”
“กระทั่งมีเซียนหวัง และจอมเทพที่ถือกำเนิดมาจากสถาบันศึกษาเทพเจ้าก็คาดหวังให้สถาบันศึกษาเทพเจ้าล้มลง ก็เพราะว่าพวกเขาที่ถือกำเนิดขึ้นมาจากสถาบันศึกษาเทพเจ้านั่นเอง จึงรู้ว่าสถาบันศึกษาเทพเจ้ามีความอุดมสมบูรณ์แค่ไหน มีธาตุแท้ภายในอะไรบ้าง ซึ่งย่อมจะมีสิ่งที่พวกเขากระหายอยากจะได้มาครอบครอง” หลี่ชิเย่ยิ้มนิดหนึ่ง ท่าทีดูจะเย็นชาอยู่บ้าง
“ถูกต้อง” หลิวจินเซิ่นไม่อาจไม่ยอมรับกับคำพูดเช่นนี้ และกล่าวว่า “หากสถาบันศึกษาเทพเจ้าล้มลงจริงๆ เกรงว่าคงมีผู้คนยกโขยงกันเข้ามา เนื้อชิ้นมันขนาดนี้ สามารถทำให้ผู้คนจำนวนเท่าไรร่ำรวยขึ้นมา สามารถทำให้แคว้นเจ้าลัทธิจำนวนเท่าไรร่ำรวยขึ้น หากสามารถได้รับดอกผลอย่างเป็นกอบเป็นกำ กระทั่งสามารถยกระดับสำนักของตนขึ้นไปได้อีกขั้นเลยทีเดียว”
“แล้วเจ้าหละ?” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมย จ้องเขม็งไปที่หลิวจินเซิ่นและกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “เจ้าคาดหวังให้สถาบันศึกษาเทพเจ้าล้มลง แล้วแบ่งผลประโยชน์ส่วนหนึ่ง หรือไม่ต้องการให้สถาบันศึกษาเทพเจ้าล้มลงหละ?”
หลิวจินเซิ่นเงยหน้าขึ้นมา รับกับสายตาของหลี่ชิเย่อย่างไม่สะทกสะท้าน กล่าวจริงจังว่า “แม้ว่าเนื้อชิ้นใหญ่เช่นสถาบันศึกษาเทพเจ้าจะเป็นที่ต้องการยิ่งของผู้คน แต่ข้าไม่ต้องการให้มันล้มลง สถาบันศึกษาเทพเจ้าจะเป็นความหวังของร้อยชาติพันธุ์หรือไม่นั้น ข้าไม่ได้ไปคำนึงถึงมากนัก แต่ว่า ดื่มน้ำให้สำนึกถึงต้นน้ำ ข้าคือนักศึกษาของสถาบันศึกษาเทพเจ้า ข้าจึงไม่คาดหวังให้มันล้มลง”
หลี่ชิเย่จ้องมองหลิวจินเซิ่น ขณะที่หลิวจินเซิ่นก็จ้องมองหลี่ชิเย่โดยไม่สะทกสะท้าน เขาสู้กับสายตาของหลี่ชิเย่อย่างไม่เกรงกลัว สุดแล้วแต่หลี่ชิเย่จะมองดูท่าทีที่แสดงออกมาของเขาอย่างละเอียด
“นั่นคือเรื่องที่ดีมาก” หลี่ชิเย่ยิ้มจางๆ พยักหน้าและกล่าวว่า “ดังนั้น หากข้าสามารถบอกกล่าวต่อเซียนหวัง หรือจอมเทพอื่นๆ สักคำ การมีจิตใจเช่นนี้เป็นเรื่องที่ดีที่สุด ความโลภจะกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างจนสิ้น”
“ข้าคาดหวังว่าสถาบันศึกษาเทพเจ้าสามารถผ่านพ้นเคราะห์กรรมคราวนี้ไปได้” หลิวจินเซิ่นกล่าวได้จริงใจยิ่งนัก
หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวด้วยท่าทีสงบว่า “เคราะห์กรรมบนโลกมีนับไม่ถ้วน สถาบันศึกษาเทพเจ้าเองก็ประสบกับเคราะห์กรรมมาครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกสิ่งย่อมจะมีบทสรุปอยู่แล้ว เรื่องบางเรื่องเมื่อถึงเวลาแล้วเจ้าก็จะเข้าใจเอง”
หลิวจินเซิ่นได้แต่พยักหน้าเงียบๆ และไม่กล้าเอ่ยถามให้มากกว่านี้ แน่นอน เขายังคงมีความมั่นใจในสถาบันศึกษาเทพเจ้าอยู่ระดับหนึ่ง จะอย่างไรเสียสถาบันศึกษาเทพเจ้ายืนหยัดผ่านกาลเวลามานับไม่ถ้วนตั้งแต่แรกเริ่มก่อนตั้งสถาบันศึกษาเทพเจ้าจนถึงปัจจุบัน ผ่านผู้คนมารุ่นแล้วรุ่นเล่า ผ่านลมฝนมาไม่รู้เท่าไร ผ่านเคราะห์กรรมมาไม่รู้เท่าไร คิดจะให้สถาบันศึกษาเทพเจ้าล้มลงเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก!
“ไปเถอะ ในเมื่อเป็นนักศึกษาของสถาบันศึกษาเทพเจ้า ก็อยู่อย่างสงบก็แล้วกัน” หลี่ชิเย่โบกมือเบาๆ กับหลิวจินเซิ่น
หลิวจินเซิ่นเองไม่กล้าพูดอะไรมาก เมื่ออยู่ต่อหน้าหลี่ชิเย่แล้วผู้ที่แข็งแกร่งเช่นเขาก็ทำได้แค่อยู่อย่างสงบเจียมตน ไม่กล้ากระทำบุ่มบ่าม เขาโค้งคารวะต่อหลี่ชิเย่ แล้วก้าวถอยออกไปช้าๆ
“เห็นแก่ความสัมพันธ์ที่หาได้ยากยิ่งนี้” ขณะที่หลิวจินเซิ่นกำลังก้าวถอยหลังออกไป หลี่ชิเย่ได้เรียกตัวเขาเอาไว้ สั่งการไปว่า “สิ่งที่เจ้ากำลังตามหา ‘ตำราฝังเข็มศิลาหยกม้ามทอง’ มันถูกเก็บเอาไว้ในตำหนักตามหาราชสีห์ ลองไปค้นดูให้ดีก็แล้วกัน”
หลิวจินเซิ่นถึงกับร่างสั่นเทิ้มทีหนึ่งเมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่ รู้สึกดีใจกับข่าวดีที่คาดไม่ถึง รีบแสดงคารวะและโค้งคำนับต่อหลี่ชิเย่อย่างงาม กล่าวว่า “ ขอบคุณอาจารย์ที่ชี้แนะ ขอบคุณอย่างยิ่ง ศิษย์จะจดจำไว้ในใจตลอดไป”
หลี่ชิเย่โบกมือ สุดท้ายหลิวจินเซิ่นได้ก้าวถอยออกไป