Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2006 ในตำราซ่อนไว้ซึ่งบ้านเรือนทอง
หลี่ชิเย่พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ถูกต้อง ที่ตรงนี้ก็คือเคล็ดวิชาเล่มหนึ่ง แต่ว่า ถ้าหากเจ้าไม่สามารถเข้าใจถึงความหมายแฝงที่ซ่อนอยู่ภายใน ต่อให้เจ้ารู้ว่านี่คือเคล็ดวิชาก็เปล่าประโยชน์ เนื่องจากสิ่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงเทพนิยายเท่านั้น มันยังเป็นประวัติศาสตร์เล่มหนาๆ เล่มหนึ่ง มันได้บันทึกตำนานดึกดำบรรพ์เอาไว้ และได้สืบทอดระบบการถ่ายทอดของลัทธิเต๋าดึกดำบรรพ์เอาไว้ มีเพียงผู้ที่รู้ถึงประวัติศาสตร์ที่หนามากเล่มนี้ จึงสามารถรู้อย่างลึกซึ้งถึงความลึกซึ้งพิสดารของเคล็ดวิชาแขนงนี้”
“ประวัติศาสตร์สืบทอดเคล็ดวิชา?” เมื่อเย่ซินเสวี่ยได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่แล้วถึงกับตื่นตะลึงอยู่ตรงนั้น เนื่องจากลักษณะการกล่าวเช่นนี้นางเพิ่งจะได้ยินเป็นครั้งแรก
กล่าวสำหรับผู้บำเพ็ญตนแล้ว เคล็ดวิชาก็คือเคล็ดวิชา ประวัติศาสตร์ก็คือประวัติศาสตร์ ทั้งสองสิ่งมันไม่สามารถเข้ากันได้อย่างสิ้นเชิง อีกทั้งไม่ได้มีผู้คนสักเท่าไรที่ยินดีไปศึกษาประวัติศาสตร์ ยิ่งไม่มีผู้คนกี่มากน้อยยินดีไปรับรู้ความหมายแฝงของเทพนิยาย ในบรรดาผู้บำเพ็ญตนจำนวนนับไม่ถ้วนมองว่า ความหมายแฝงของเทพนิยายที่ว่ามันก็เป็นเพียงนิทานสำหรับกล่อมเด็กก่อนนอนเท่านั้นเอง
“ในตำราซ่อนไว้ซึ่งบ้านเรือนทอง ในหนังสือซ่อนไว้ซึ่งอนงค์น้อง กล่าวสำหรับผู้บำเพ็ญตนอย่างพวกเรา ในตำราใช่จะมีเพียงเคล็ดวิชาเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบๆ ขึ้นมา
“ประวัติศาสตร์อยู่ตรงหน้าของเจ้านั่นเอง เส้นทางจำต้องอาศัยเจ้าเองไล่ย้อนกลับไป เมื่อเจ้าไม่สามารถเข้าใจในความหมายแฝง เจ้าก็จะไม่สามารถก้าวข้ามประตูนั้นตลอดไป” หลี่ชิเย่ยิ้มจางๆ ออกมา
“เช่น เช่นนั้นข้าควรจะไปเรียนรู้ได้อย่างไรเล่า?” เย่ซินเสวี่ยตะลึงนิดหนึ่งและเอ่ยถามขึ้นมา คำพูดลักษณะเช่นนี้ได้ปลุกความสนใจของนางขึ้นมาอย่างสิ้นเชิง
“เส้นทางรั้งเอาไว้ไม่ได้ มันจะอยู่ในใจของเจ้าเท่านั้น” หลี่ชิเย่ยิ้มนิดหนึ่ง เห็นเขายื่นมือไปฉุดรั้ง เสมือนหนึ่งได้เหนี่ยวรั้งเอาเส้นทางสายหนึ่งขึ้นมาจากพื้นดินอย่างนั้น
นาทีนี้เย่ซินเสวี่ยเสมือนหนึ่งได้ยินเสียงน้ำซ่าาาดังขึ้น เวลานี้เหมือนโลกๆ หนึ่งถูกหลี่ชิเย่ฉุดรั้งขึ้นมา เพียงแต่เป็นโลกที่ไม่มีใครสามารถมองเห็นได้
ในขณะที่เย่ซินเสวี่ยไม่รู้ว่าจะเห็นได้อย่างไรนั้น มือของหลี่ชิเย่ได้ทาบลงบนหน้าผากของนางอย่างชำนาญ เสียงที่หนักแน่นเปี่ยมด้วยพลังของเขาดังขึ้น โดยกล่าวว่า “อาศัยจิตไปรับรู้เส้นทางอยู่ในใจของเจ้าเอง”
คำพูดของหลี่ชิเย่เหมือนหนึ่งเต็มไปด้วยพลังเวทมนต์ เปี่ยมด้วยแรงดึงดูด ทำให้เหมือนดั่งลุ่มหลงอย่างนั้น นาทีนี้เย่ซินเสวี่ยถึงกับหลับตาลงอย่างช้าๆ เมื่อนางหลับตาลงช้าๆ ได้ไม่เท่าไร นางรู้สึกว่าตนเองเหมือนตกอยู่ในสภาวะหลับลึกอย่างนั้น
เมื่อนางลืมตาขึ้นอีกครั้ง นางพบว่าโลกที่อยู่ตรงหน้าได้แปรเปลี่ยนไปแล้ว ไม่มีห้องศิลา และไม่มีหลี่ชิเย่ ทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อครู่ล้วนแล้วแต่หายไปสิ้น
ในขณะนี้สิ่งที่กั้นขวางอยู่ตรงหน้าของนางคือแม่น้ำใหญ่สายหนึ่ง มองเห็นน้ำในแม่น้ำที่ไหลพลุ่งพล่านไม่หยุดนิ่ง เพียงแต่ว่าน้ำในแม่น้ำที่ไหลพลุ่งพล่านนั้นไร้เสียง เหมือนว่าที่นี่ของโลกแห่งความเงียบสงัด ถึงกับไหลพลุ่งพล่านท่ามกลางไร้ซุ่มเสียง
ทันใดนั้น เย่ซินเสวี่ยที่มองเห็นแม่น้ำที่ไหลพลุ่งพล่านไร้เสียงสายนี้ ได้ทำให้นางนึกไปถึงชื่อๆ หนึ่ง นึงถึงตำนานเรื่องหนึ่ง นางถึงกับพึทพำออกมาว่าแม่น้ำซื่อสุ่ย…
โอวว…นาทีนี้เอง เสียงร้องของกวางได้ทำลายความเงียบสงัดของโลกใบนี้ จากนั้นตามติดมาด้วยกวางน้อยตัวหนึ่งที่มีงวงช้างยาวๆ ปรากฎตัวขึ้นบนแม่น้ำ มองเห็นมันที่ก้าวเดินอยู่ท่ามกลางแม่น้ำ วิ่งทวนกระแสน้ำขึ้นไปพลาง ส่งเสียงร้องออกมาพลาง
กวางมธุสรย่ำแม่น้ำซื่อสุ่ย…เย่ซินเสวี่ยถึงกับพึมพำขึ้นมาเมื่อมองเห็นเจ้ากวางน้อยที่วิ่งฮ่อ นี่มันคือเทพนิยายดึกดำบรรพ์เริ่องหนึ่งนั่นเอง เป็นนิทานที่ผู้คนจำนวนมากเข้าใจว่าเป็นนิทานก่อนนอนสำหรับกล่อมเด็กเท่านั้น
โอวว…ในขณะนี้ กวางน้อยได้ส่งเสียงร้องออกมาคำหนึ่ง และหันกลับมามองเย่ซินเสวี่ยทีหนึ่ง จากนั้นก้าวเท้าวิ่งทวนน้ำขึ้นไป เพียงพริบตาเดียวก็หายไปท่ามกลางสายน้ำ
“กวางมธุสรย่ำแม่น้ำซื่อสุ่ย!” เย่ซินเสวี่ยรู้สึกหวั่นไหวภายในใจ เมื่อได้สติกลับมา นางก็ก้าวเท้าออกไปข้างหน้า ก้าวทวนน้ำติดตามไปยังทิศทางที่กวางมธุสรหายตัวไป
แต่ทว่า นางเพิ่งจะก้าวเท้าเหยียบลงไปในแม่น้ำซื่อสุ่ย เสียงแวงค์ดังขึ้น ทันใดนั้น นางถูกส่งตัวกลับไปยังตำแหน่งเดิม ไม่ได้มีการเคลื่อนที่แม้เพียงก้าวเดียว
ซื่อสุ่ยสามเปลี่ยน…เวลานี้เอง เย่ซินเสวี่ยจึงได้นึกความหมายแฝงของเทพนิยายเรื่องนี้ขึ้นมาได้ ถึงกับพึมพำออกมาว่า “หนึ่งก้าวสามนิ้ว สามก้าวหนึ่งเปลี่ยน นี่แหละจึงเป็นเส้นทางกวางของกวางมธุสร”
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้แล้ว เย่ซินเสวี่ยจึงได้อาศัยความหมายแฝงของเทพนิยายเรื่องนี้ก้าวเท้าออกไป หนึ่งก้าวสามนิ้ว สามก้าวหนึ่งเปลี่ยน เป็นจริงดั่งที่นางได้คิดเอาไว้อย่างนั้น เมื่อนางก้าวหนึ่งก้าวสามนิ้ว สามก้าวหนึ่งเปลี่ยน ปรากฎว่าสามารถติดตามไปตามทิศทางที่กวางมธุสรหายตัวไปได้…
ด้วยลักษณะเช่นนี้ เย่ซินเสวี่ยได้ก้าวข้ามเทพนิยายแล้วเทพนิยายเล่า นับตั้งแต่กวางมธุสรย่ำแม่น้ำซื่อสุ่ย ถึงไท่ยี่สยบหงส์ราตรี…กระทั่งถึงเทพนิยายเรื่องสุดท้าย เย่ซินเสวี่ยเหมือนหนึ่งได้ก้าวข้ามโลกแล้วโลกเล่าอย่างนั้น
ขณะที่ก้าวข้ามเทพนิยายแล้วเทพนิยายเล่านั้น เย่ซินเสวี่ยรู้สึกเหมือนหนึ่งได้เข้าไปอยู่ในโลกนั้นจริงๆ รับรู้ถึงเทพนิยายดังกล่าวด้วยตัวเอง แต่ถ้าหากไม่ทราบถึงความหมายแฝงของเทพนิยายแต่ละเรื่อง ก็จะไม่สามารถเข้าถึงส่วนลึกของแต่ละเทพนิยายได้ ไม่สามารถมองเห็นความหมายที่ลึกซึ้งสุดท้ายของเทพนิยายแต่ละเรื่อง
ตึง ตึง ตึงเสียงดังกังวานเสียงหนึ่งดังประสานขึ้นเป็นระลอก เมื่อเย่ซินเสวี่ยก้าวข้ามเทพนิยายทั้งหมดได้แล้ว โลกที่อยู่ตรงหน้าของนางได้หายไปอีกแล้ว นางยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ท่ามกลางห้องศิลา
เพียงแต่เวลานี้กลับแปรเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ทั่วทั้งห้องศิลาเปล่งประกายของสัจธรรมขึ้นมา ภายใต้เสียงตึง ตึง ตึงที่ดังขึ้นมาเป็นระลอก มองเห็นกฎเกณฑ์สัจธรรมแต่ละสายที่ปรากฏขึ้นมา เมื่อกฎเกณฑ์สัจธรรมแต่ละสายถักทอกันเข้ากลายเป็นบ้านดึกดำบรรพ์หลังหนึ่ง บนบ้านดึกดำบรรพ์หลังนี้มีการจารึกกวางมธุสร และหงส์ราตรีที่เป็นสัตว์เทพและสัตว์ปีกดุร้ายเอาไว้
สุดท้าย ได้ยินเสียงดังแว้งค์ดังขึ้นเสียงหนึ่ง บ้านศิลาดึกดำบรรพ์หลังนี้กลับเสมือนดั่งตำราประวัติศาสตร์เล่มหนาๆ เล่มหนึ่ง ได้ยินเสียงพลิกตำราดังช่าาา ช่าาาขึ้นมา เสมือนหนึ่งหน้ากระดาษแต่ละหน้าถูกพลิกเปิดขึ้นมา และเทพนิยายแต่ละเรื่องถูกพลิกอ่านอย่างนั้น
ติดตามด้วยเสียงดังปัง บ้านศิลาลักษณะเช่นนี้ได้ประทับลงบนบริเวณหน้าผากของเย่ซินเสวี่ยโดยตรง พลันส่งผลให้ร่างของเย่ซินเสวี่ยสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ทันใดนั้น นังรู้สึกเหมือนมีสัจธรรมสายหนึ่งที่สลักประทับลงบนหน้าผากโดยตรงอย่างนั้น กลิ่นอายของสัจธรรมวิ่งควบไปทั่วร่างของนาง ทำให้นางรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมยิ่งนัก เหมือนว่าตนเองถูกห่อหุ้มเอาไว้ในสัจธรรมสายนี้ เหมือนหนึ่งสัจธรรมสายนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายของนางไปแล้ว
ความรู้สึกที่ใกล้ชิดกับสัจธรรมเป็นอันมากลักษณะเช่นนี้ ทำให้เย่ซินเสวี่ยตื้นตันจนน้ำตานองหน้า เนื่องจากนางมีพรสวรรค์ที่ไม่ดีมาตั้งแต่เด็ก ไม่สามารถใกล้ชิดกับสัจธรรม เคล็ดวิชาที่ผู้อื่นสามารถฝึกปรือได้เพียงหนึ่งถึงสองวัน สำหรับนางแล้วอย่างน้อยต้องใช้เวลาฝึกถึงสี่ห้าวัน กระทั่งมากกว่านั้น
ตั้งแต่เล็กนางเคยได้ยินลูกพี่ลูกน้องที่อยู่ในรุ่นเดียวกันพูดถึงความรู้สึกที่ใกล้ชิดสัจธรรมเช่นนี้ แต่ตัวของนางเองไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน เหมือนว่านางเหินห่างจากสัจธรรมไกลมากมาตั้งแต่กำเนิด สัจธรรมอยู่ห่างจากตัวนางไกลมาก ให้ความรู้สึกแก่นางในลักษณะมองเห็นแต่เอื้อมไม่ถึง
นาทีนี้ เมื่อนางรับรู้ได้ถึงสัจธรรมที่โอบกอดนางเอาไว้แน่นอย่างนั้น สัจธรรมเสมือนหนึ่งได้หลอมรวมเข้าไปภายในร่างกายของนาง เสมือนหนึ่งได้กลับกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายนาทีนั้น นางรู้สึกถึงความเปียกชุ่มบริเวณหางตา มีความรู้สึกพลุ่งพล่านที่น้ำตาไหลอาบแก้ม นาทีนี้นางจึงได้รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าใกล้ชิดสัจธรรม วันนี้นางได้รอคอยมานานถึงยี่สิบปีเต็มๆ!
“อาจารย์ ข้า ข้า ข้า…” ครั้นเย่ซินเสวี่ยได้สติกลับมาแล้วถึงกับก้มลงหมอบกราบตรงหน้าของหลี่ชิเย่ และไม่สามารถพูดคำพูดใดออกมา ถึงกับสะอื้น ตื่นเต้นจนไม่สามารถพูดออกมาได้ เป็นครั้งแรกในชีวิตของนางที่รับรู้ถึงความรู้สึกที่ถูกโอบกอดเช่นนี้ ช่างนุ่มนวล อบอุ่นสว่างไสวอะไรอย่างนั้น เหมือนหนึ่งได้เปิดประตูใจของนางออกมา
ข้า ข้า ข้าใกล้ชิดสัจธรรมเป็นครั้งแรก… เย่ซินเสวี่ยที่ตื้นตันจนไม่สามารถพูดออกมาได้ สะอึกสะอื้นอยู่ครึ่งค่อนวัน ในที่สุดพูดคำพูดเช่นนี้ออกมาคำหนึ่ง น้ำตาแห่งความปลื้มปิติไหลอาบแก้มโดยไม่รู้ตัว
กล่าวสำหรับนางแล้ว โชคชะตาเช่นนี้หาได้ยากยิ่งเหลือเกิน ผู้อาวุโสตระกูลของนางต่างก็ทอดทิ้งนางไปแล้ว แม้แต่บิดามารดาของนางก็รู้สึกว่านางไม่คุ้มค่าต่อการบ่มฟัก แต่มาวันนี้นางกลับสามารถโอบกอดสัจธรรมเช่นนี้ ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้นางจดจำไปชั่วชีวิ เป็นการทำให้นางมีโอกาสได้เกิดใหม่ของหลี่ชิเย่ เป็นหลี่ชิเย่ที่มอบทุกสิ่งทุกอย่างให้กับนาง
“ลุกขึ้นเถอะ” หลี่ชิเย่เฉ่ยเมยยิ่ง จ้องมองนางแล้วกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “สัจธรรมหมื่นพัน พรสวรรค์หาใช่มาตรฐานเพียงหนึ่งเดียว เพียงแต่ใต้หล้ามีมนุษย์ปุถุชนธรรมดามากมายเหลือเกิน อาศัยมาตรฐานเพียงหนึ่งเดียวไปวัดค่าของสรรพสัตว์เท่านั้น ไม่ว่าผู้ใดในโลกล้วนแล้วแต่มีพรสวรรค์กันทั้งสิ้น ไม่มีผู้ใดคือเศษสวะที่ไม่มีพรสวรรค่ใดๆ ทั้งนั้น มีบางคนถนักเรื่องของเวลา บางคนถนัดเรื่องของกำลัง บางคนถนัดเรื่องของการเกิดแรงบันดาลใจและเข้าใจตระหนัก…การที่ผู้เป็นอาจารย์มองว่าเป็นสวะ นั่นเป็นเพราะไม่สามารถค้นหาเส้นทางที่เหมาะสมให้กับเขาเท่านั้นเอง!”
คำพูดลักษณะเช่นนี้ทำให้เย่ซินเสวี่ยรู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก ทำให้นางจดจำไว้ในใจอย่างไม่มีสิ้นสุด เนื่องจากผู้อาวุโสในบ้านต่างมองว่านางคือสวะ แต่ หลี่ชิเย่กลับไม่ได้มองว่านางคือสวะ
เย่ซินเสวี่ยที่ตื้นตันยิ่งไม่สามารถได้สติกลับมาเป็นเวลานาน ตื่นเต้นจนควบคุมตัวเองไม่ได้
“กลับไปทำความเข้าใจให้ซาบซึ้งเสีย” หลี่ชิเย่กล่าวเฉยเมยว่า “สัจธรรมขึ้นอยู่กับความเพียรไม่หยุดนิ่ง ยืนหยัดไม่ผ่อนคลาย มิฉะนั้นแล้วก็เป็นเพียงการเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์เท่านั้นเอง” กล่าวจบลุกขึ้นเดินจากไปทันที
ไม่ง่ายนักกว่าเย่ซินเสวี่ยจะได้สติคืนกลับมา เวลานี้หลี่ชิเย่ได้เดินไปไกลแล้ว นางมองดูเงาหลังที่จากไปไกลของหลี่ชิเย่ถึงกับโค้งคำนับอย่างสุดซึ้ง ท่าทางเคารพยิ่งนัก!
ขณะหลี่ชิเย่กลับไปถึงที่พักนั้น มองเห็นแขนเหล็กห่วงทองคำได้รออยู่ที่ตรงนั้นแล้ว เข้าได้รออยู่นานมาก หลังจากมองเห็นหลี่ชิเย่แล้วเขารู้สึกดีใจยิ่งนัก หมอบกราบลงกับพื้นด้วยความตื้นตันยิ่งนัก
“ท่านอาจารย์ ท่านคือผู้มีพระคุณให้ตระกูลหวังของพวกเราได้ถือกำเนิดขึ้นมาอีกครั้ง ท่านนำพาความหวังให้ตระกูลหวังได้ผงาดขึ้นอีกครั้ง ตระกูลหวังของพวกเราขอตั้งป้ายบูชาขอพรเทพเจ้าให้มีอายุอมตะให้กับท่าน ลูกหลานของตระกูลระลึกถึงและเคารพท่านทุกรุ่นสืบไป” แขนเหล็กห่วงทองคำหมอบกราบกับพื้นเป็นเวลานานไม่ยอมลุกขึ้นมา
หลังจากที่แขนเหล็กห่วงทองคำได้รับการชี้แนะจากหลี่ชิเย่แล้ว เขาสามารถค้นพบเคล็ดวิชาที่บรรพบุรุษตระกูลหวังได้สลักเอาไว้ในป่าหินจริงๆ ในที่สุดเขาได้ตระหนักรู้ถึงเคล็ดวิชาที่สูญหายไปของตระกูลหวังได้แล้ว เขาไม่ทำให้ตระกูลที่ฝากความหวังเอาไว้ต้องผิดหวัง ค้นพบเคล็ดวิชาที่สูญหายกลับคืน นับว่าให้คำตอบกับบรรพบุรุษแต่ละรุ่นได้แล้ว
“ป้ายบูชาขอพรเทพเจ้าให้มีอายุอมตะอะไรนั่นคงไม่ต้องแล้ว” หลี่ชิเย่มองดูแขนเหล็กห่วงทองคำที่หมอบกราบอยู่กับพื้นแล้วกล่าวว่า “ไปฝึกปรือให้ดีก็แล้วกัน อย่าทำให้ชื่อเสียงของหวังอ๋าวต้องด้อยค่าลง อย่าทำให้ชื่อเสียงชั่วชีวิตของเขาต้องมัวหมอง ครั้งนั้นหวังอ๋าวอาศัย ‘เคล็ดวิชาห่วงทองคำคล้องจันทรา’ เอ่ชนะระดับจอมเทพของเผ่าเทพ เผ่ามาร เผ่าสวรรค์สามเผ่ามาไม่รู้จำนวนเท่าไร!”
“ศิษย์จะจดจำคำพูดของอาจารย์ให้มั่นในใจ ไม่กล้าทำให้บรรพชนต้องเสียชื่ออย่างเด็ดขาด” แขนเหล็กห่วงทองคำโขกศีรษะด้วยความเคารพนบน้อม ทุกๆ คำพูดล้วนแล้วแต่กลั่นออกมาจากจิตใจ เขาจดจำคำพูดของหลี่ชิเย่เอาไว้มั่น
หลี่ชิเย่ไม่ได้พูดอะไร พยักหน้าแล้วก็เดินกลับเข้าบ้านไป
หลังจากที่หลี่ชิเย่เดินกลับเข้าบ้านแล้ว แขนเหล็กห่วงทองคำที่หมอบกราบกับพื้นจึงค่อยลุกขึ้นยืน แม้ว่าในเวลานี้หลี่ชิเย่ได้ปิดประตูไปแล้ว เขายังคงโค้งคำนับให้กับภายในบ้านด้วยความเคารพยิงสามครั้ง เพื่อแสดงความคารวะ