Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2008 เซียนหวังสองประสาน
เซียนหวังสองประสาน…หมัดเหล็กห่วงทองคำตบมือทันทีที่ได้ยินคำพูดของเย่ซินเสวี่ย และกล่าวว่า “ข้ารู้เรื่องราวของเซียนหวังทั้งสอง ฟังว่าพวกเขาสองสามีภรรยาคือความมหัศจรรย์ของร้อยชาติพันธุ์พวกเรา”
“ถูกต้องตามที่บันทึกในตำรา เซียนหวังสองประสานไม่เพียงสำเร็จการศึกษาจากสถาบันศึกษาเทพเจ้า ของพวกเราพร้อมกันทั้งคู่ ทั้งยังได้แต่งงานเป็นสามีภรรยากัน ยิ่งกว่านั้นพวกเขาสองสามีภรรยายังสืบทอดชะตาฟ้าในยุคสมัยเดียวกัน ที่สำคัญมากกว่านั้นก็คือ พวกเขาสองสามีภรรยาต่างสืบทอดชะตาฟ้าคนละสี่สาย เรียกได้ว่าพวกเขาคือสองสามีภรรยาคู่ครองเซียนที่ทำให้ผู้คนต้องอิจฉา เคยเป็นที่อิจฉาและใฝ่ฝันให้ได้มาของผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน”
เมื่อพูดถึงเรื่องประวัติศาสตร์ เย่ซินเสวี่ยก็มีความตื่นเต้นขึ้นมาสามส่วน นางอดที่จะพูดเจื้อยแจ้วขึ้นมา เนื่องจากนางเคยศึกษาประวัติศาสตร์ของจอมราชันเซียนหวังแต่ละองค์อย่างลึกซึ้งมาก่อน ดังนั้น เมื่อมีการพูดถึงประวัติศาสตร์เช่นเซียนหวังสองประสานขึ้นมา นางก็สามารถพูดออกมาดั่งพูดถึงสมบัติภายในบ้านตนเองอย่างนั้น จะอย่างไรเสียพวกเขาสองสามีภรรยาคือเซียนหวังของร้อยชาติพันธุ์ จึงมีการบันทึกเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับพวกเขาสองสามีภรรยา
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว นางถึงกับตื่นเต้นดีใจเล็กๆ ดวงหน้าเล็กๆ ของนางแดงก่ำ นางเงยหน้าขึ้นมองหลี่ชิเย่ทีหนึ่ง จะอย่างไรเสียนางยังคงไม่มีความมั่นใจในตนเองเพียงพอ นางเกรงว่าตัวเองจะพูดอะไรบางอย่างผิดไป
หลี่ชิเย่หัวเราะ และให้กำลังใจนางว่า “พูดได้ดีมาก แต่ว่า สิ่งที่เซียนหวังสองประสานสองสามีภรรยาภาคภูมิใจมากที่สุดหาใช่เรื่องการกลายเป็นเซียนหวังในเวลาเดียวกัน และไม่ใช่เรื่องที่ทั้งสองต่างสืบทอดชะตาฟ้าได้คนละสี่สาย”
“ข้า ข้าพูดอะไรตกไปแล้ว” เมื่อเย่ซินเสวี่ยที่มีความงดงามและขลาดกลัวอยู่สามส่วนได้ยินหลี่ชิเย่พูดออกมาเช่นนี้ เอียงศีรษะเบาๆ และกล่าวว่า “ตามที่บันทึกอยู่ในตำรา ผลงานการสู้รบที่เซียนหวังสองประสานภูมิใจมากที่สุดก็คือ เคยสังหารจอมราชันที่มีชาตาฟ้าแปดสายคนหนึ่ง พวกเขาสองสามีภรรยาร่วมใจ ต่อสู้กับจอมราชันท่านนั้นอย่างดุเดือด จนสามารถสังหารเขาได้ในที่สุด ได้ยินว่าพวกเขาสองสามีภรรยาก็ต้องแลกมาด้วยค่าตอบแทนที่สูงไม่น้อยทีเดียว”
“สังหารจอมราชันที่มีชาตาฟ้าแปดสาย นี่ นี่มันเป็นไปไม่ได้กระมัง” เมื่อหมัดเหล็กห่วงทองคำได้ยินคำพูดเช่นนี้แล้วถึงกับตื่นตกใจยิ่งนัก และกล่าวว่า “เซียนหวังที่มีชะตาฟ้าสี่สายจะไปสังหารจอมราชันที่มีชาตาฟ้าแปดสายได้อย่างไรกันเล่า”
ผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากต่างก็เข้าใจ พลังที่สั่งสมอยู่ในชะตาฟ้าสายหนึ่งสุดที่จะจินตนาการได้ เป็นต้นว่าจอมราชันเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าสี่สายอยู่ในครอบครองจะไม่สามารถเทียบได้กับจอมราชันที่มีชะตาฟ้าห้าสายได้อยู่แล้ว
ส่วนที่ว่าจอมราชันที่มีชาตาฟ้าแปดสายผู้หนึ่งเทียบกับจอมราชันที่มีชาตาฟ้าสี่สาย ช่วงห่างของทั้งสองบุคคลภายนอกย่อมมไม่สามารถจินตนาการได้อยู่แล้ว ช่วงห่างนี้มากมายเหลือเกิน เป็นสิ่งที่ยากจะชดเชยกันได้ กระทั่งกล่าวได้ว่า ช่วงห่างระหว่างชะตาฟ้าถึงสี่สายหาใช่ชดเชยกันได้ด้วยจำนวนคนอยู่แล้ว
ใช่ว่าการเผชิญหน้ากับจอมราชันที่มีชาตาฟ้าแปดสาย โดยอาศัยเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าสี่สายสององค์ร่วมมือกันก็สามารถต้านทานได้อยู่แล้ว บางทีว่ากันว่า การร่วมมือกันระหว่างเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าสี่สายสององค์เผชิญหน้ากับจอมราชันที่มีชาตาฟ้าห้าสายอาจพอมีโอกาสอยู่บ้าง แต่กับจอมราชันที่มีชาตาฟ้าแปดสาย ต่อให้เป็นเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าสี่สายสององค์ก็ไม่สามารถต้านได้ กระทั่งสามองค์ก็ไม่สามารถต้านได้
เนื่องจากชะตาฟ้าไม่ได้ง่ายเหมือนการบวกลบ เมื่อไหร่ที่มีการดึงช่วงห่างออกไป ช่วงห่างอื่นๆ ยากที่จะชดเชยกันได้อยู่แล้ว
เวลานี้เซียนหวังสองประสานสองสามีภรรยาเป็นเพียงเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าสี่สาย ถึงกับร่วมมือกันสังหารจอมราชันที่มีชาตาฟ้าแปดสาย เรื่องเช่นนี้ฟังดูแล้วเหลวไหลน่าขันยิ่งนัก ขอเพียงเป็นผู้ที่มีความรู้รอบตัวสักหน่อยก็ต้องเข้าใจได้ว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
“ในตำราบันทึกเอาไว้เช่นนั้นนะ ฟังว่าได้รับการยืนยันมาจากเซียนหวังของร้อยชาติพันธุ์ รายละเอียด รายละเอียดข้าเองก็ไม่ชัดเจนนัก” เมื่อเย่ซินเสวี่ยเห็นว่าแขนเหล็กห่วงทองคำไม่ค่อยจะเชื่อนักก็ให้รู้สึกร้อนรนอยู่บ้าง เรื่องนี่ใช่เป็นการยกเมฆขึ้นมาของนาง ความจริงแล้วในตำรามีการบันทึกเอาไว้เช่นนี้จริงๆ
สำหรับเรื่องราวลักษณะเช่นนี้ เย่ซินเสวี่ยทำได้แค่อาศัยการรับรองจากตำราเท่านั้น จะอย่างไรเสียศึกสงครามระดับจอมราชันเซียนหวัง นางที่เป็นเพียงบุคคลระดับมดปลวกตัวน้อยๆ ย่อมไม่สามารถไปสอบถามผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ และหรือไปขอคำรับรองจากผู้ยิ่งใหญ่บางคนโดยครงได้ด้วยตนเองอยู่แล้ว
“เรื่องนี้เป็นความจริงเช่นนั้นจริงๆ” ในขณะที่เย่ซินเสวี่ยกำลังร้อนใจอยู่ หลิวจินเซิ่นที่ไม่พูดไม่จามาโดยตลอดได้พยักหน้าและกล่าวว่า “ฟังว่าศึกในครั้งนั้นสะเทือนฟ้าดิน เพียงแต่เซียนหวังสองประสานก็ต้องแลกมาด้วยค่าตอบแทนที่สูงมาก แม้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะสังหารจอมราชันที่มีชาตาฟ้าแปดสายองค์นั้นไปได้ แต่ยังคงต้องแลกด้วยค่าตอบแทนที่สูงมาก เกือบจะต้องเสียชีวิต”
“ในตำราบันทึกเอาไว้เช่นนี้จริงๆ ฟังว่าได้รับบาดเจ็บสาหัส” เย่ซินเสวี่ยมีความมั่นใจขึ้นมาบ้าง รีบเอ่ยเสริมขึ้นมาเมื่อหลิวจินเซิ่นก็ยืนยันเช่นนี้
“คู่เซียนหวังที่มีชะตาฟ้าสี่สายสังหารจอมราชันที่มีชะตาฟ้าแปดสายได้อย่างไรกันแน่นะ มัน มันเหลือเชื่อจริงๆ กระมัง” แขนเหล็กห่วงทองคำกล่าวด้วยความไม่เข้าใจ
“เรื่อง เรื่องนี้ เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้แน่ชัดแล้วหละ” เวลานี้ เย่ซินเสวี่ยถึงกับมองไปที่หลี่ชิเย่ แววตาส่อถึงความกระหายและความปรารถนาอยู่หลายส่วน เนื่องจากรายละเอียดเกี่ยวกับศึกครั้งนี้มีการบันทึกเอาไว้ไม่มาก ส่วนที่ว่าเซียนหวังสองประสานสองสามีภรรยาอาศัยวิธีใดสังหารจอมราชันที่มีชะตาฟ้าแปดสายผู้นั้นได้อย่างไรนั้น ในตำราไม่ได้บันทึกรายละเอียดเอาไว้
“การที่เซียนหวังสองประสานสามารถสังหารจอมราชันที่มีชะตาฟ้าแปดสายผู้นี้ได้มีสาเหตุอยู่หลายประการ” ครั้นหลี่ชิเย่มองเห็นแววตาของเย่ซินเสวี่ยแล้วจึงยิ้มจางๆ ออกมาและกล่าวว่า “เป็นต้นว่าหนึ่งดาบหนึ่งกระบี่พวกเขาสองสามีภรรยามีความได้เปรียบสูงมาก และเป็นต้นว่า พวกเขาสองสามีภรรยารู้ใจกันมาตลอดชีวิต การร่วมมือประสานกันของพวกเขาสองสามีภรรยาเรียกได้ว่าไม่มีช่องโหว่เลย อีกอย่างพวกเขาสองสามีภรรยามีอายุอ่อนกว่าจอมราชันผู้นี้ ลำพังอาศัยลมปราณที่มีความคึกคักมีชีวิตชีวามากกว่าก็มีโอกาสหน่วงจนฝ่ายตรงข้ามต้องเหนื่อยตายได้”
ครั้นหลี่ชิเย่กล่าวมาถึงตรงนี้แล้วได้หยุดนิดหนึ่ง จากนั้นกล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “แน่นอน ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่ไม่ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมากที่สุด ที่เป็นตัวตัดสินชี้ขาดแพ้ชนะในศึกครั้งนี้อยู่ที่การร่วมคิดค้นสุดยอดสัจธรรมสูงสุดสายหนึ่งขึ้นมาของสองสามีภรรยา”
“พวกเขาสองสามีภรรยาได้ร่วมกันสร้างสัจธรรมของดาบกระบี่สองประสานขึ้นมาสายหนึ่ง เป็นสัจธรรมที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสองสายหนึ่ง ยามที่พวกเขาสองสามีภรรยาประสานดาบกระบี่เข้าด้วยกัน ทำให้พลังการต่อสู้ของพวกเขาสองสามีภรรยาเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ไม่ใช่เป็นเพียงการร่วมมือกันของเซียนหวังสององค์ธรรมดๆ เท่านั้น” หลี่ชิเย่กล่าวเฉยเมยขึ้นมา
“ดาบกระบี่สองประสานร้ายกาจทรงพลังมากมายเพียงนี้จริงๆ รึ?” แขนเหล็กห่วงทองคำถึงกับรู้สึกใจหายใจคว่ำ กล่าวด้วยความตกใจเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้
“เดิมเคล็ดวิชาโจมตีร่วมกันของจอมราชันเซียนหวังก็มีน้อยอยู่แล้ว” ในเวลานี้หลี่ชิเย่ได้มองหน้าแขนเหล็กห่วงทองคำทีหนึ่ง และกล่าวว่า “หลักการของเคล็ดวิชาโจมตีร่วมคือเรื่องของการรู้ใจและพลังที่ใกล้เคียงกัน โดยทั่วไปแล้วเจ้าจะไปหาจอมราชันเซียนหวังสองคนที่มีอุปนิสัยใจคอเหมือนกันมีพลังที่พอๆ กันยังมีความรู้ใจซึ่งกันและกันได้จากที่ไหนกันได้? เซียนหวังสองประสานพวกเขาสองสามีภรรยาสำเร็จการศึกษามาจากสถาบันศึกษาเทพเจ้าเหมือนกัน เรียกได้ว่าเป็นชายหญิงที่รักกันมาตั้งแต่เด็ก ทั้งสองสามีภรรยามีจิตใจตรงกันมาช้านาน ความรู้ใจกันของพวกเขาบุคคลภายนอกไม่สามารถจินตนาการได้ ยิ่งไปกว่านั้น สุดยอดสัจธรรมสูงสุดที่พวกเขาสองสามีภรรยาร่วมสร้างคือสัจธรรมสองประสาน สองสามีภรรยามีสัจธรรมที่เป็นสายเดียวกัน สัจธรรมของพวกเขาคือสัจธรรมที่กลมกลืนเข้าด้วยกัน”
“สัจธรรมลักษณะเช่นนี้เรียกได้ว่าพบเห็นได้ยากนับแต่อดีตถึงปัจจุบัน สามารถยกย่องได้ว่าเป็นสัจธรรมที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสอง เนื่องเพราะสัจธรรมที่กลมกลืนเข้าด้วยกันของสองสามีภรรยา ดาบกระบี่สองประสานของสองสามีภรรยา ทำให้การลงมือของทั้งคู่ย่อมต้องสะเทือนฟ้าอย่างแน่นอน กล่าวได้ว่านี่แหละคือต้นเหตุที่ทำให้พวกเขาสองสามีภรรยาเอาชนะจอมราชันที่มีชะตาฟ้าแปดสายได้” หลี่ชิเย่เอ่ยขึ้นมาช้าๆ
แขนเหล็กห่วงทองคำถึงกับตระหนกเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ ส่วนเย่ซินเสวี่ยนั้นถึงกับดีใจยิ่ง ด้วยความงดงามขลาดกลัวสามส่วนดีใจเจ็ดส่วน กล่าวว่า “อาจารย์พูดได้ดีจริงๆ ดีกว่าข้ามากเลยทีเดียว”
สิ่งที่เย่ซินเสวี่ยพูดมานั้น ทำให้แค่ยกเอาข้อความที่มีอยู่ในตำรามา ส่วนสิ่งอื่นๆ มากมายกว่านี้นางไม่มีกำลังที่จะไปยืนยัน และไม่มีสิทธิ์จะไปรับรู้ความลับที่บุคคลภายนอกสามารถรู้ได้ ดังนั้น สิ่งที่หลี่ชิเย่พูดมาย่อมต้องสมบูรณ์กว่านางแน่นอน
ไม่ง่ายนักกว่าแขนเหล็กห่วงทองคำจะได้สติกลับมา มองดูรูปแกะสลักหินทั้งสองที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า และกล่าวว่า “เป็นเพราะเซียนหวังสองประสานสังหารจอมราชันที่มีชะตาฟ้าแปดสาย ดังนั้น สถาบันศึกษาเทพเจ้าจึงได้สร้างรูปแกะสลักเอาไว้ที่ตรงนี้ เพื่อระลึกถึงผลงานอันยอดเยี่ยมของพวกเขาสองสามีภรรยาน่ะหรือ?”
“ก็เพราะไม่ยอมอ่านตำรานี่แหละ!” คำพูดที่ไร้มาตรฐานของแขนเหล็กห่วงทองคำพลันทำให้หลิวจินเซิ่นที่ยืนอยู่ข้างๆ ถึงกับมองค้อนไปทีหนึ่ง หัวเราะเยาะเย้ยและด่าว่า
ส่วนเย่ซินเสวี่ยนั้นเม้มปากยิ้มนิดหนึ่ง ไม่ได้ไปตอบโต้คำพูดของแขนเหล็กห่วงทองคำ
“ตาเฒ่หลิว หรือว่าข้าพูดอะไรผิดรึ?” แขนเหล็กห่วงทองคำไม่ยอมแพ้ จ้องตาถมึงหลิวจินเซิ่นทีหนึ่ง พูดอย่างเคืองๆ ว่า “ถ้าหากข้าพูดผิด เช่นนั้นแล้วเจ้าลองว่ามาซิ เพราะอะไรสถาบันศึกษาเทพเจ้าจึงได้สร้างรูปแกะสลักให้กับพวกเขาสองสามีภรรยาขึ้นที่นี่”
“เจ้านี้โง่บรมจริงๆ“ หลิวจินเซิ่นมองค้อนและกล่าวด้วยความหยิ่งยโสอยู่บ้าง
คำพูดของหลิวจินเซิ่นทำให้แขนเหล็กห่วงทองคำโมโหจนกัดฟันกรอด ในเวลานี้เย่ซินเสวี่ยจึงรีบเข้ามาคลี่คลายสถานการณ์ และกล่าวว่า “ที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าสร้างรูปแกะสลักให้กับเซียนหวังสองประสานไม่ได้เพื่อระลึกถึงผลงานยอดเยี่ยมของพวกเขาสองสามีภรรยา แต่เป็นเพราะเซียนหวังสองประสานคือผู้ปกป้องคุ้มครองของสถาบันศึกษาเทพเจ้าพวกเรา”
“ผู้ปกป้องคุ้มครอง?” แขนเหล็กห่วงทองคำถึงกับตะลึง เรื่องเช่นนี้เขาไม่เคยได้ยินมาจริงๆ
“ถูกต้อง” เย่ซินเสวี่ยพยักหน้าและกล่าวว่า “เซียนหวังสองประสานต่างก็สำเร็จการศึกษามาจากสถาบันศึกษาเทพเจ้า หลังจากที่พวกเขาได้กลายเป็นเซียนหวังแล้ว ดื่มน้ำให้สำนึกถึงต้นน้ำสำนึกถึงบุญคุณที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าได้บ่มฟักมา ดังนั้น พวกเขาสองสามีภรรยายินดีกลับคืนสู่สถาบันศึกษาเทพเจ้า รับหน้าที่เป็นผู้ปกป้องคุ้มครองให้กับสถาบันศึกษาเทพเจ้า แม้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาไม่ได้อยู่ที่สถาบันศึกษาเทพเจ้า แต่ทว่าหากสถาบันศึกษาเทพเจ้าต้องการ ขอเพียงแจ้งมา พวกเขาสองสามีภรรยาจะไม่ปฏิเสธเด็ดขาด”
“ยอดเยี่ยมมาก สำนึกในบุญคุณและมีคุณธรรม” แขนเหล็กห่วงทองคำรู้สึกเลื่อมใสอย่างยิ่งเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ ยกนิ้วโป้งให้ จากนั้นโค้งคำนับให้กับรูปแกะสลักของเซียนหวังสองประสาน ปากพร่ำบ่นไปว่า “ฝ่าบาททั้งสอง ข้าน้อยโค้งคำนับให้พวกท่านแล้ว สำหรับข้า เลื่อมใสฝ่ายบาททั้งสองดั่งสายน้ำที่ไม่ขาดสาย…”
แม้ว่าท่าทีของแขนเหล็กห่วงทองคำดูจะเกินเลยไป แต่สิ่งที่พูดมาก็เป็นจริงอยู่หลายส่วน
ความจริงแล้ว สถาบันศึกษาเทพเจ้าไม่ได้มีเซียนหวังสองประสานสององค์เท่านั้น เซียนหวังที่สำเร็จการศึกษามาจากสถาบันศึกษาเทพเจ้ามีอยู่หลายองค์ด้วยกัน แต่ว่าเซียนหวังเหล่านั้นล้วนแล้วแต่สร้างสายสำนักราชันเซียนของตนขึ้นมา ต่างก็มีระบบการถ่ายทอดทางด้านลัทธิเต๋าที่เป็นของตนเอง
แม้จะกล่าวว่า หากวันหนึ่งสถาบันศึกษาเทพเจ้ามีภัย บรรดาเซียนหวังเหล่านี้อาจจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ แต่จะไม่เป็นเหมือนเช่นเซียนหวังสองประสานอย่างนั้น ที่ถือเอาความสงบสุขปลอดภัยของสถาบันศึกษาเทพเจ้า มาเป็นหน้าที่ของตน แบกภาระหน้าที่ปกป้องคุ้มครองสถาบันศึกษาเทพเจ้าเอาไว้บนบ่าของตน
เมื่อเย่ซินเสวี่ยเห็นแขนเหล็กห่วงทองคำแสดงคารวะต่อเซียนหวังสองประสานจึงแสดงคารวะตาม ขณะที่หลิวจินเซิ่นแค่มองดูเท่านั้น ไม่ได้แสดงความเคารพ
ความจริงแล้วไม่ได้มีเพียงแขนเหล็กห่วงทองคำที่แสดงคารวะต่อเซียนหวังสองประสานเท่านั้น นักศึกษาที่เดินผ่านเข้าออกเมืองตำราจำนวนไม่น้อยต่างทยอยกันแสดงความเคารพต่อเซียนหวังสองประสาน