Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2009 ยุวกษัตริย์หกกระบี่
“ไปเถอะ” หลี่ชิเย่มองดูรูปแกะสลักของเซียนหวังสองประสาน เอ่ยขึ้นช้าๆ แล้วเดินเข้าไปยังเมืองตำรา
พวกเของเย่ซินเสวี่ยเมื่อได้สติกลับมา รีบเดินตามเข้าไปยังเมืองตำรา
ในขณะนี้เมืองตำรามีความคึกครื้นมาก ผู้คนเดินกันขวักไขว่ ไหล่กระทบกันเออัดยัดเยียดเป็นที่คึกคักยิ่งนัก อีกทั้งผู้คนที่มายังเมืองตำรามีมากหน้าหลายตา มีทั้งชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น และมีนักศึกษาที่มาจากทั่วทุกสารทิศ
แน่นอนที่สุด ที่คึกคักมากกว่าคือบรรดานักศึกษาที่มาจากศตาคาร หอศักดิ์สิทธิ์ และจวนราชัน บรรดาเหล่านักศึกษาเหล่านี้ได้ทยอยกันทะลักเข้ามายังเมืองตำรา ร้องทักทายเรียกหาเพื่อนนักศึกษาด้วยกัน มากันเป็นกลุ่มเป็นก้อน บรรยากาศเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวากระฉับกระเฉง เป็นที่คึกครื้นยิ่งนัก
หลายวันมานี้ ทางเมืองตำราจัดให้มีมหกรรมชิมชาขึ้นมา แน่นอนที่สุด มหกรรมชิมชาไม่ได้หมายถึงให้บรรดานักศึกษาจากสถาบันศึกษาเทพเจ้าต่างคนต่างมานั่งลงดื่มชาคุยสัพเพเหระกันแค่นั้น
มหกรรมชิมชาที่ว่านี้นอกจากให้บรรดานักศึกษาจากชั้นเรียนต่างๆ ถือโอกาสช่วงเปิดภาคเรียนใหม่ๆ ได้ทำความรู้จักซึ่งกันและกัน เป็นการขยายฐานมนุษย์สัมพันธ์เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันที่ขาดไม่ได้ก็คือการทดสอบแลกเปลี่ยนฝีมือซึ่งกันและกัน
แน่นอนที่สุด นักศึกษาแต่ละชั้นเรียนก็สามารถมานั่งลงดื่มน้ำชา สนทนาเต๋าและหรือถ่ายทอดประสบการณ์การฝึกบางอย่างของตน เพียงแต่เรื่องแบบนี้จะพบเห็นได้ยาก
เมืองตำรามีขนาดใหญ่โตมาก เชื่อมถึงกันได้ทุกทิศทุกทาง ในขณะนี้บนถนนที่กว้างขวางของเมืองตำราคราคร่ำไปด้วยผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา หลังจากที่นักศึกษาจำนวนมากได้ทะลักเข้ามาแล้ว มีอยู่จำนวนไม่น้อยที่ร้องทักทายเพื่อนฝูงกัน แต่ก็มีนักศึกษาจำนวนไม่น้อยที่เขม่นหน้ากันพลันที่พบเจอ
จะอย่างไรเสีย ที่ที่มีคนที่นั่นก็จะต้องมีความวุ่นวายมีความขัดแย้ง เฉกเช่นสถาบันศึกษาเทพเจ้าที่เป็นสถานที่ประสิทธิ์ประสาทความรู้ก็ไม่พ้นเรื่องการแก่งแย่งและบุญคุณความแค้นต่างๆ นักศึกษาจำนวนไม่น้อยที่ก่อเกิดศัตรูคู่อาฆาตขึ้นที่สถาบันศึกษาแห่งนี้
“เพื่อนเมี่ยวมาแล้ว” ในเวลานี้ ขณะที่พวกของหลี่ชิเย่เดินผ่านถนนสายโบราณนั้น ปรากฎนักศึกษากลุ่มหนึ่งร้องออกมาด้วยความดีใจ
ในเวลานี้ นักศึกษากลุ่มหนึ่งของศตาคารได้วิ่งกรูกันไปยังปลายถนนของถนนสายโบราณ เห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินพลิ้วไหวเข้ามา นางมาเพียงลำพังคนเดียวโดยไม่มีใครเดินมาเป็นเพื่อน นางสวมชุดเรียบง่ายธรรมดา ไม่ทำตัวเป็นที่โดดเด่น
แต่ทว่าผู้หญิงเช่นนางไม่ว่าจะก้าวเดินไปยังที่ใดคิดจะไม่โดดเด่นก็คงยาก คุณสมบัติประจำตัวที่ดูสูงส่งสุภาพเยือกเย็นนั้นได้ลิขิตให้นางไม่สามารถค่อมต่ำได้ ไม่ว่าจะปรากฎตัวที่ใดก็เหมือนดั่งกระเรียนที่อยู่ท่ามกลางฝูงระกาอย่างนั้น
เพียงชั่วพริบตาเดียว บรรดานักศึกษาของชั้นศตาคารก็จัดการล้อมหน้าล้อมหลังผู้หญิงคนนี้เอาไว้ ดั่งดาวล้อมเดือนอย่างนั้น
“รุ่นพี่เมี่ยว งานมหากรรมชิมขาในครั้งนี้ ต้องอาศัยท่านมาเปล่งประกายให้กับชั้นศตาคารของพวกเรา เอาชนะชั้นหอศักดิ์สิทธิ์ และจวนราชัน มีเพียงรุ่นพี่และยุวกษัตริย์ที่สามารถทำได้แล้ว” ในเวลานี้ บรรดานักศึกษาจากชั้นศตาคารที่ดุจดาวล้อมเดือนต่างแย่งกันพูด
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว พวกเราศตาคารยกให้รุ่นพี่เมี่ยวฉานและยุวกษัตริย์เป็นผู้นำ รุ่นพี่ร่วมมือกับยุวกษัตริย์ต้องสามารถส่งประกายเจิดจ้าในงานมหกรรมชิมชาอย่างแน่นอน ไม่แน่นักสามารถเอาชนะหอศักดิ์สิทธิ์ และจวนราชันได้นะ” นักศึกษาจำนวนไม่น้อยต่างพูดคล้อยตามเป็นทางเดียวกัน
ผู้หญิงคนนี้คือสตรีผู้สูงศักดิ์ของศตาคารนามเมี่ยวฉานนั่นเอง นางนับว่ามีชื่อเสียงมากในศตาคาร ได้รับการรักใคร่เทิดทูนจากนักศึกษาในศตาคารเป็นอันมาก มีฐานะที่สูงส่งมากในหมู่นักศึกษาด้วยกัน
สำหรับคำยกย่องของบรรดานักศึกษาจากศตาคารนั้น ตัวเมี่ยวฉานเองเพียงตอบทักทายด้วยความถ่อมตนยิ่งไม่กี่คำ ไม่ได้กล่าววาจาที่แสดงความฮึกเหิมออกมา
“เป็นเมี่ยวฉานนี่เอง” เย่ซินเสวี่ยถึงกับอุทานออกมาเมื่อมองเห็นเมี่ยวฉานแต่ไกล และกล่าวว่า “ผู้หญิงที่ยอดเยี่ยมมากของศตาคาร ได้ยินว่าสติปัญญากว้างขวางดั่งทะเล เป็นผู้มีสติปัญญาเฉียบแหลมมองการณ์ไกล เป็นที่ชื่นชอบของนักศึกษาทุกคนในศตาคาร สถาบันศึกษาเทพเจ้ารุ่นนี้ของพวกเรามีสตรีที่โดดเด่นอยู่สามคนด้วยกัน คือ เมี่ยวฉานแห่งศตาคาร เมี่ยวเสวี่ยแห่งหอศักดิ์สิทธิ์ และเหมยซู่เหยาแห่งหอราชัน”
“ข้าเคยพบเห็นเหมยซู่เหยามาแล้ว เสมือนดั่งเทพธิดา บุคลิกลักษณะของนางสามารถเทียบเคียงกับอาจารย์เชียนเสวียนได้แล้ว” แขนเหล็กห่วงทองคำถึงกับชมเปาะขึ้นมา
ขณะที่แขนเหล็กห่วงทองคำพูดถึงอวี่เชียนเสวียนเย่ซินเสวี่ยถึงกับแอบมองหลี่ชิเย่ทีหนึ่ง เนื่องจากตอนที่หลี่ชิเย่มาถึงใหม่ๆ นั้นดูอวี่เชียนเสวียนจะให้ความเคารพต่อหลี่ชิเย่อย่างยิ่ง
หลี่ชิเย่เพียงยิ้มๆ สำหรับคำพูดของเย่ซินเสวี่ย และแขนเหล็กห่วงทองคำ เขาจ้องมองดูเมี่ยวฉาน แม้ว่าครั้นนั้นเขาจะไม่เคยได้พบกับเมี่ยวฉานขณะอยู่ที่แดนสมุนไพรแร่ธาตุ แต่กลับเคยได้ยินหมิงเย่เสวี่ยเอ่ยถึงเมี่ยวฉานมาก่อน
ครั้นนั้นหมิงเย่เสวี่ยเคยบอกกับเขาว่า ในแดนสมุนไพรแร่ธาตุคนที่มีพรสวรรค์สูงที่สุดไม่ใช่รัชทายาทจินอู และก็ไม่ใช่เย่ชินเฉิน แต่เป็นเมี่ยวฉาน ดังนั้น เวลานี้เมี่ยวฉานมาถึงแดนสิบแล้ว ทำให้หลี่ชิเย่มีความสนใจอยู่หลายส่วนทีเดียว
แม้ว่าครั้งนั้นขณะอยู่ที่เก้าแดน เขาได้ทำการกระทุ้งกำแพงกั้นเขตแดนที่เชื่อมไปยังแดนที่สิบจนแตก ปรากฏเป็นทางขึ้นมาสายหนึ่ง แต่การที่จะจากเก้าแดนเชื่อมไปยังแดนที่สิบก็หาใช่เป็นเรื่องที่ง่ายดาย
“รุ่นน้องเมี่ยวในที่สุดเจ้าก็มาถึงแล้ว” ขณะที่เมี่ยวฉานอยู่ท่ามกลางดาวล้อมเดือนจากนักศึกษาของศตาคารจำนวนมากอยู่นั้น ได้ยินเสียงตูมตามดังขึ้นเป็นระลอก มองเห็นนักศึกษาชายกลุ่มหนึ่งของศตาคารก็ทยอยมาถึง
นักศึกษาชายกลุ่มนี้มีพลังที่น่าเกรงขามยิ่ง เกือบทุกคนล้วนแล้วแต่มีลักษณัท่าทางที่ฮึกเหิมและลำพองใจ นักศึกษาชายเหล่านี้หากไม่ใช่สวมใส่ชุดเกราะก็คือห้อยอาวุธวิเศษที่เอว แต่ละคนล้วนแล้วแต่มีท่าทีที่ไม่ธรรมดา ทำให้ผู้ที่พบเห็นบรรดากลุ่มนักศึกษาเหล่านี้แล้วรู้ได้ทันทีว่าหากไม่เป็นผู้มีฐานะร่ำรวยก็คือผู้มีฐานะสูงส่ง น่าจะมาจากแคว้นหรือสำนักเจ้าลัทธิทั้งสิ้น
อีกทั้งผู้ที่เป็นผู้นำของนักศึกษากลุ่มนี้ยิ่งมีลักษณะบุคลิกท่าทีที่ไม่ธรรมดา โดยที่นักศึกษาชายผู้นี้มีความสง่าผ่าเผยเสมือนดั่งต้นไม้หยก รูปงามใจถึง บนหลังสะพายกระบี่ศักดิ์สิทธิ์เอาไว้หกเล่ม กระบี่ทุกเล่มล้วนแล้วแต่ส่งประกายศักดิ์สิทธิ์วูบวาบที่แตกต่างกันออกมา กลิ่นอายกระบี่ผาดโผน ทำให้ผู้พบเห็นถูกพลังของเขาสยบ ต้องออกห่างด้วยความเคารพ
“ยุวกษัตริย์มาแล้ว” ทันทีที่มองเห็นการมาของนักศึกษาชายผู้นี้ ปรากฏมีนักศึกษาหญิงวิ่งกรูกันเข้าไปไม่น้อย ท่าทีเร่าร้อนอย่างยิ่ง นัยน์ตาของพวกนางแสดงออกถึงความสมัครรักใคร่ล้วนไม่สามารถปิดบังซ่อนเร้นความรักใคร่ชื่นชมของตนเอาไว้ได้
นักศึกษาชายที่มีความสง่างามดั่งต้นไม้หยกก็คือบุคคลผู้มีอิทธิพลของศตาคาร กระทั่งเรียกได้ว่ามีชื่อเสียงมากทั่วทั้งสถาบันศึกษาเทพเจ้า ไม่รู้ว่าได้รับการสนับสนุนและรักใคร่ชื่นชมจากผู้คนจำนวนเท่าไร เขามีชื่อว่าข่งเย่หลิน หรือในอีกชื่อหนึ่งว่ายุวกษัตริย์หกกระบี่
นักศึกษาชายหญิงจำนวนไม่น้อยต่างพูดยกยอเอาใจยุวกษัตริย์หกกระบี่ว่า “มาคราวนี้ยุวกษัตริย์ร่วมมือกับรุ่นพี่เมี่ยวฉานจะต้องเกรียงไกรไปทั่วมหกรรมชิมชาแน่นอน”
“ยุวกษัตริย์หกกระบี่มาแล้ว เกรงว่างานมหกรรมชิมชาในครั้งนี้คงจะคึกคักมากกว่าปีที่แล้ว” เมื่อเย่ซินเสวี่ยมองเห็นภาพนี้แล้วจึงเอ่ยขึ้น “ยุวกษัตริย์หกกระบี่เป็นผู้นำนักศึกษาของชั้นศตาคาร หนึ่งในสามเทพบุตรของสถาบันศึกษาเทพเจ้า ถ้าหากแม้ยุวกษัตริย์หกกระบี่ก็มาแล้ว เกรงว่านายน้อยทะยานฟ้า และเทพบุตรซือจงก็ต้องมาด้วย”
“ฟังว่ายุวกษัตริย์หกกระบี่คือบุตรชายของจอมเทพเก้ากระบี่ ไม่ทราบว่าจริงเท็จอย่างไร” แขนเหล็กห่วงทองคำเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย
“ถูกต้อง” เย่ซินเสวี่ยพยักหน้าและกล่าวว่า “ได้ยินมาว่าขณะที่ยุวกษัตริย์หกกระบี่เดินทางมายังสถาบันศึกษาเทพเจ้านั้น เหรินเซิ่นยังมาส่งเขาเดินทางเลย เรียกได้ว่าเขามีฐานะที่สูงส่งมาก”
“หยิ่งจองหองมาก จอมเทพเก้ากระบี่คือจอมเทพที่มีดวงตราสัญลักษณ์สิบเอ็ดดวง ทั้งยังเป็นผู้คุ้มครองของเหรินเซิ่น เวลานี้เหรินเซิ่นคือเซียนหวังองค์หนึ่ง ซึ่งอนาคตอาจกลายเป็นเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าแปดสายก็เป็นได้ เมื่อมีผู้สนับสนุนเช่นนี้ นับว่าหยิ่งยโสจองหองมาก เกรงว่าการมาที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าของเขาเป็นการขยายฐานมนุษย์สัมพันธ์เท่านั้นเอง” แขนเหล็กห่วงทองคำกล่าวทอดถอนใจออกมา
เหมือนดั่งที่เย่ซินเสวี่ยได้พูดเอาไว้อย่างนั้น ยุวกษัตริย์หกกระบี่คือบุตรชายของจอมเทพเก้ากระบี่ ขณะที่จอมเทพเก้ากระบี่คือผู้คุ้มครองของเหรินเซิ่น เรียกได้ว่าผู้สนับสนุนของยุวกษัตริย์หกกระบี่แข็งแกร่งยิ่งนัก
พรสวรรค์ของเขาสูงมาก ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในสามเทพบุตรของสถาบัน ด้วยพรสวรรค์ของเขาสามารถเข้าเรียนชั้นจวนราชันได้อย่างแน่นอน แต่เขากลับจะอยู่ที่ศตาคาร กลายเป็นผู้นำของนักศึกษาทั้งหมดที่อยู่ในศตาคาร เรียกได้ว่าเขามีได้รับความนิยมสูงมากมีนักศึกษาจำนวนมากให้การสนับสนุนและปฏิบัติตาม
“รุ่นน้องเมี่ยว มาคราวนี้งานมหกรรมชิมชาเรียกได้ว่ามากด้วยยอดฝีมือ พี่ไม่เจียมตนยินดีลงสู้ศึกเป็นคนแรก เมื่อถึงเวลาหวังว่ารุ่นน้องเมี่ยวจะช่วยวางกลยุทธให้กับข้า” เวลานี้ยุวกษัตริย์หกกระบี่เดินเข้าไปใกล้เมี่ยวฉานด้วยท่าทีที่ใกล้ชิด โดยเขาไม่ได้ปิดบังซ่อนเร้นความรักใคร่ชื่นชมที่ปรากฏออกมาทางสายตาของตน
“รุ่นพี่ถ่อมตนเกินไปแล้ว รุ่นพี่มีความมั่นใจอยู่แล้ว น้องแค่โบกธงส่งเสียงให้กำลังใจก็เพียงพอแล้ว” เมี่ยวฉานไม่เพียงทำตัวค่อมต่ำ คำพูดที่พูดออกมาก็ดูจะถ่อมตนยิ่งนัก
“ใครว่าหละ เมื่อถึงเวลานั้นยังคงต้องอาศัยรุ่นนองช่วยตักเตือน” ภายในใจของยุวกษัตริย์หกกระบี่รู้สึกยินดีอย่างยิ่ง เมื่อได้รับคำชมจากเมี่ยวฉานเช่นนี้ ถึงกับยืดอกมากขึ้นกว่าเดิม
เมี่ยวฉานอมยิ้มโดยไม่พูดอะไรออกมา นางเงยหน้าขึ้นมอง ขณะที่นางมองไปโดยรอบนั้น ทันใดนั้นนางมองเห็นคนผู้หนึ่ง เป็นผู้ชายที่ธรรมดาจนไม่รู้จะธรรมดาอย่างไรได้อีก เขาเดินอยู่ท่ามกลางถนนที่ผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาโดยไม่สะดุดตาแม้แต่น้อยนิด กระทั่งพร้อมจะถูกกลืนหายไปท่ามกลางทะเลมนุษย์ได้ทุกเมื่อ
คนผู้นี้ก็คือหลี่ชิเย่ สีหน้าของเมี่ยวฉานแปรเปลี่ยนไปเป็นอันมากเมื่อมองเห็นหลี่ชิเย่ จิตใจหวั่นไหวขึ้นในทันที คนอื่นอาจไม่รู้จักหลี่ชิเย่ แต่นางรู้จัก!
เมื่อเมี่ยวฉานรู้สึกหวั่นไหวภายในใจ และเสียวสันหลังวาบขึ้นมา นางหันหลังเดินจากไปทันที
“รุ่นน้องจะไปไหน?” การจากไปของเมี่ยวฉานอย่างกะทันหัน ทำให้ยุวกษัตริย์หกกระบี่ตะลึง รีบวิ่งติดตามไป
“พอดีข้านึกถึงเรื่องๆ หนึ่งขึ้นมา ขออนุญาตล่วงหน้าไปก่อน” เมี่ยวฉานออกเดินไปอย่างเร่งรีบโดยไม่ได้หันหัวกลับมา
พฤติกรรมของเมี่ยวฉานอยู่ในสายตาของหลี่ชิเย่ทั้งหมด เขาเพียงยิ้มเฉยเมยโดยไม่ได้กระทำการใดๆ แม้ว่าในครั้งนั้นเป็นเขาที่สังหารรัชทายาทจินอู และเป็นผู้ทำลายล้างหุบเขากีบสวรรค์ แต่ถ้าหากเมี่ยวฉานรู้จักกาลเทศะไม่มาหาเรื่องกับเขา เขาเองก็ไม่สนใจหากจะคนเช่นนางดำรงอยู่
หลังจากเมี่ยวฉานไปแล้ว หลี่ชิเย่ได้พาพวกของเย่ซินเสวี่ยท่องไปรอบหนึ่ง จากนั้นได้พูดกับพวกของเย่ซินเสวี่ยว่า “พวกเจ้าไปเดินเที่ยวเล่นไปตามอารมณ์ก็แล้วกัน ข้าจะไปพบคนๆ หนึ่ง”
“ตกลง อาจารย์ พวกเราจะรออาจารย์ที่สวนชา” พวกของเย่ซินเสวี่ยก็ไม่กล้าพูดอะไร แขนเหล็กห่วงทองคำรีบเอ่ยขึ้นมา
หลี่ชิเย่ยิ้มๆ และสั่งการออกไปว่า “ดูแลพวกเขาเอาไว้” แน่นอน คำพูดนี้หลี่ชิเย่พูดกับหลิวจินเซิ่น ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ตาม ขอเพียงมีหลิวจินเซิ่นอยู่ก็สามารถรับมือได้ จะอย่างไรเสีย หลิวจินเซิ่นไม่ใช่คนกินมัง
หลัวจินเซิ่นพยักหน้าเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงเดินติดตามเย่ซินเสวี่ย กับแขนเหล็กห่วงทองคำไปเงียบๆ
หลังจากที่พวกของเย่ซินเสวี่ยสามคนเดินจากไปแล้ว หลี่ชิเย่เดินทะลุผ่านไปกว่าครึ่งสถาบันศึกษา ก้าวข้ามตรอกยาวๆ ตรอกแล้วตรอกเล่า สุดท้ายมาหยุดอยู่หน้าบ้านที่โบราณเรียบง่ายมากหลังหนึ่ง
ประตูบ้านทั้งสองบานปิดสนิท โดยด้านบนประตูไม้มีห่วงทองแดงติดอยู่ หลี่ชิเย่มองดูทีหนึ่ง และยิ้มทีหนึ่ง ก้าวเดินไปข้างหน้า และอาศัยห่วงทองแดงนั้นเคาะประตูg[kq
ตึง ตึง ตึงห่วงทองแดงถูกเคาะลงบนประตูไม้อย่างเป็นจังหวะ และจังหวะการเคาะนี้ไพเราะเสนาะหูมาก
หลังจากเคาะเสียงดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า จากนั้นได้ยินเสียงดังเอี๊ยด ประตูไม้ได้เปิดออก ปรากฏคนรับใช้แก่ที่สวมชุดเทาคนหนึ่งยืนอยู่ หลังจากที่เขามองเห็นหลี่ชิเย่แล้วไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ เพียงก้มหน้าลงต่ำเท่านั้นเอง
หลังจากที่หลี่ชิเย่มองดูคนรับใช้แก่ผู้นี้แล้วเพียงแต่ยิ้มๆ พยักหน้าเบาๆ จากนั้นเดินเข้าไปภายในบ้าน
ภายในบ้านไม่ได้มีสิ่งอื่นใด มีเพียงแทนบูชาที่ไม่สะดุดตาตัวหนึ่ง ขณะที่เวลานี้หลี่ชิเย่ก้าวออกไปก้าวเดียวก็ขึ้นไปอยู่บนแท่นดังกล่าว
………………………………………………………