Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2010 อสุรา
แว้งค์…เสียงหนึ่งดังขึ้น เวลานี้แท่นบูชาเปิดออก ปรากฏเป็นประตูมิติขึ้นมา และหลี่ชิเย่พลันถูกส่งออกไป
นาทีต่อมา หลี่ชิเย่ได้ปรากฏตัว ณ สถานที่ที่ไม่มีใครรู้จัก ที่ตรงนี้ยังคงเป็นแท่นบูชา จากนั้น แวงค์ดังขึ้นมา ถูกส่งตัวไปอีกครั้ง และถูกส่งตัวไปยังสถานที่อื่นอีกครั้ง
เป็นเช่นนี้สลับสับเปลี่ยนไป โดยหลี่ชิเย่ถูกส่งออกไปรวดเดียวเช่นนี้หลายครั้งหลายครา สุดท้าย จึงถูกส่งตัวไปยังภายในจวนแห่งหนึ่ง จวนแห่งนี้มีระบบการรักษาที่เข้มงวดยิ่งนัก ค่ายกลขนาดใหญ่แต่ละค่ายกลที่เฝ้ารักษาจวนทั้งหลังนี้เอาไว้ หากมีคนนอกย่างกรายเข้าไปแม้เพียงก้าวเดียว ก็จะถูกสังหารโดยง่ายดาย
แต่ว่าหลี่ชิเย่กลับไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ทั้งสิ้น เดินเข้าไปได้อย่างสะดวกโยธิน เพียงชั่วพริบตาเดียวก็เข้าไปถึงส่วนลึกของจวนหลังนี้ ที่ตรงนี้เป็นบ้านหลังเล็กที่หล่อขึ้นมาจากผลึกเซียน สามารถมองเห็นคนผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้นเลือนลาง เหมือนกำลังฝึกวิชาผ่อนลมปราณอยู่ตรงนั้น
หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมยมองดูคนที่นั่งขัดสมาธิภายในบ้านหลังเล็กนั่น แล้วนั่งลงข้าง ตามอารมณ์
ท่านปรมาจารย์..ขณะที่หลี่ชิเย่นั่งลงนั้น ผู้ที่นั่งขัดสมาธิอยู่พลันลืมตาทั้งสองขึ้น ยามที่ดวงตาทั้งสองลืมตาขึ้นมา พลันกลืนและคายเป็นตะวันจันทราออกมา หลักสัจธรรมทั้งหมดล้วนแล้วแต่อยู่ภายในนั้น เป็นที่น่าตระหนกยิ่งนัก
“ช่างเถอะ เจ้ายังคงอยู่แต่ในนั้นเถอะ” ขณะที่คนผู้นั้นที่นั่งขัดสมาธิอยู่ภายในบ้านหลังเล็กกำลังจะลุกขึ้นเพื่อให้การต้อนรับนั้น หลี่ชิเย่โบกมือเบาๆ และกล่าวว่า “การที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าทำการก่อสร้างบ้านเซียนหลังนี้ให้กับเจ้านับว่าไม่ง่ายเลย ชนรุ่นหลังจำนวนไม่น้อยล้วนแล้วแต่เอาเอาทรัพยากรมาทุ่มเทอยู่ที่ตรงนี้”
“ศิษย์ไม่สามารถลุกขึ้นให้การต้อนรับ น่าละอายเหลือเกิน” ผู้ที่อยู่ในบ้านถึงกับทอดถอนใจออกมาและกล่าวว่า “ศิษย์กลับกระหายต้องการพบหน้าอาจารย์สักครั้ง”
“มีโอกาส วันหลังมีโอกาสอยู่แล้ว” หลี่ชิเย่หัวเราะส่ายหน้าและกล่าวว่า “เจ้าคืออสุราที่มีชื่อเสียงโด่งดัง กลายเป็นเหมือนอิสตรีเช่นนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
ผู้ที่อยู่ภายในบ้านถูกหลี่ชิเย่หัวเราะเยาะเช่นนี้ถึงกับหัวเราะแห้งๆ และกล่าวว่า “บางทีอาจเป็นเพราะศิษย์ไม่ได้พบเจออาจารย์นานมากเกินไปแล้ว และหรือบางทีอาจเป็นเพราะศิษย์แก่แล้ว ร่างกายแย่ลงทุกวัน”
ผู้ที่อยู่ในบ้านมีชื่อว่าอสุรา เป็นระดับบรรพบุรุษที่แข็งแกร่งที่สุดของสถาบันศึกษาเทพเจ้า มีความลึกล้ำยากจะหยั่งถึง เคยช่วยให้สถาบันศึกษาเทพเจ้าผ่านพ้นวิกฤตมาครั้งแล้วครั้งเล่า เขามีฐานะที่สูงส่งมากในสถาบันศึกษาเทพเจ้า
กล่าวได้ว่า ต่อให้ผู้ที่อยู่ในสถาบันศึกษาเทพเจ้า และสามารถพบกับอสุราด้วยตนเองก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น คิดจะพบกับผู้ดำรงอยู่ในสถานะเช่นนี้ จะต้องผ่านการพิจารณาและอนุมัติจากผู้ฒ่าของสถาบันศึกษาเทพเจ้าเสียก่อน ใช่ว่าผู่เฒ่าคนไหนก็สามารถเข้าพบอสุราได้
“วางใจเถอะ ร่างกายเจ้ายังแข็งแรงมากไม่ตายง่ายๆ หรอกนะ” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าว
อสุราที่อยู่ภายในบ้านก็หัวเราะทีหนึ่ง เขายิ้มกล่าวว่า “หลายวันมานี้ฟังจากผู้เยาว์ว่า เกิดความเคลื่อนไหวสะเทือนฟ้าขึ้นที่ชิงโจว มีพลังที่สามารถทำลายล้างโลกได้ คนแรกที่ข้านึกถึงก็คืออาจารย์ ไม่นึกเลยว่าอาจารย์ได้มาแล้วจริงๆ ลองนับเวลาดู จากกันในครั้งนั้นก็มีหลายยุคหลายสมัยไม่ได้พบกับอาจารย์แล้วหละ” เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้เขาถึงกับทอดถอนใจออกมา
“มีเรื่องบางเรื่องยังไม่เสร็จสิ้น ดังนั้นจึงตั้งใจกลับมาสักครั้งหนึ่ง” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉย
“เมื่ออาจารย์มาแล้วก็เป็นการดีมาก ช่วงเวลาที่ผ่านมาข้ายังเป็นกังวลเรื่องของสถาบันศึกษาเทพเจ้า เวลานี้มีอาจารย์อยู่ตรงนี้แล้ว สถาบันศึกษาเทพเจ้าจะต้องผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้แน่นอน” อสุราถึงกับยิ้มกล่าว
“ในครั้งนั้น ราชันเซียนเฟยและราชันเทพจงหนานเลือกสถานที่แห่งนี้ พวกเขาได้คาดการณ์เอาไว้แต่แรกแล้ว เพียงแต่การมาถึงของวันนั้นออกจะเร็วไปนิดหนึ่ง” หลี่ชิเย่กล่าวเฉยเมย
“นั่นสิ สถานการณ์กำลังเปลี่ยนแปลง บางทีความมืดจะมาถึงร็วกว่าที่พวกเราคาดคิด” อสุราก็กล่าวทอดถอนใจออกมา
“แม้ว่าจะมีวิกฤต แต่ใช่ว่าสถาบันศึกษาเทพเจ้าจะไม่เคยผ่านคลื่นลมมาก่อน คราวนี้สถาบันศึกษาเทพเจ้าก็ยังคงก้าวข้ามวิกฤตนี้ไปได้อยู่แล้ว” หลี่ชิเย่สงบ และกล่าวด้วยท่าทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ถ้าหากสู้อย่างสุดความสามารถ และต่อต้านกับวิกฤตอย่างเดียว สถาบันศึกษาเทพเจ้ามีศักยภาพเช่นนี้แน่นอน” อสุราทอดถอนใจออกมาเบาๆ และกล่าวว่า “เกรงว่ามีผู้คนจำนวนมากไม่ยอมให้สถาบันศึกษาเทพเจ้าสมหวัง ชิ้นเนื้อหวานมันเช่นสถาบันศึกษาเทพเจ้านี้หากล้มลงเมื่อใด ผู้คนจำนวนมากเท่าไรที่ต้องการกัดกินสักคำ ไม่เพียงแค่เผ่าสวรรค์ เผ่ามาร เผ่าเทพเท่านั้น กระทั่งตัวของร้อยชาติพันธุ์เองเกรงว่าก็อยากได้รับส่วนแบ่งเหมือนกัน”
“เจ้ากลัวเซียนหวัง และจอมเทพบางส่วนที่มีชาติกำเนิดมาจากสถาบันศึกษาเทพเจ้าน่ะสิ” หลี่ชิเย่เอ่ยขึ้นเรียบๆ
“หากเป็นจริงสถาบันศึกษาเทพเจ้าก็ตกอยู่ในอันตราย” อสุรากล่าวด้วยท่าทีกังวลว่า “หากเซียนหวัง และจอมเทพเหล่านี้ร่วมมือกับเซียนหวังของร้อยชาติพันธุ์อื่นๆ และหรือร่วมมือกับจอมราชันของเผ่าสวรรค์ เผ่ามาร เผ่าเทพสามเผ่าหละก็ สถานการณ์คงไม่สู้ดีนัก พวกเขามีความเข้าใจในสถาบันศึกษาเทพเจ้าเป็นอันมาก กระทั่งมีความเข้าใจในแนวป้องกันบางส่วนเป็นอย่างดี บางส่วนยังเป็นฝีมือของพวกเขา หากวันนี้มาถึงจริงๆ การป้องกันของสถาบันศึกษาเทพเจ้าบางทีอาจมีสภาพถูกทำลายเหมือนกระบอกไม้ไผ่ได้”
“เจ้าไม่รู้ว่าใครเชื่อถือได้ ใครไว้ใจไม่ได้ ดังนั้น สถาบันศึกษาเทพเจ้าจึงตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หากขอความช่วยเหลือไปยังเซียนหวัง และจอมเทพ บางทีอาจทำให้ศักยภาพของสถาบันศึกษาเทพเจ้าเพิ่มขึ้นอย่างมากทีเดียว การจะก้าวข้ามวิกฤตหาใช่ปัญหาแต่อย่างใด แต่ เกิดชักศึกเข้าบ้านหละก็ สถาบันศึกษาเทพเจ้าจะต้องพังเพราะภายใน” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยขึ้นมา
“อาจารย์พูดได้ถูกต้อง” อสุราที่อยู่ภายในบ้านนิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง จากนั้นกล่าวว่า “การมาถึงของอาจารย์ในครั้งนี้ คือข่าวดีสำหรับสถาบันศึกษาเทพเจ้าของพวกเรา ขอเพียงอาจารย์มีคำสั่งออกไป เซียนหวังร้อยชาติพันธุ์ ราชันเซียนเก้าแดนก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ต่อให้เป็นจอมเทพของเผ่าเทพ เผ่ามาร เผ่าสวรรค์สามเผ่าหากรู้ว่าคำสั่งนี้ออกมาจากอาจารย์ ก็ไม่กล้าทำบุ่มบ่ามเช่นกัน”
คำพูดนี้ของอสุราใช่จะเป็นการยกยอปอปั้น ที่เขาพูดมานั้นเป็นความจริง หากว่ามีผู้ดำรงอยู่ในสถานะอีกาทมิฬก้าวออกมาเป็นผู้ออกคำสั่ง ขอเพียงเป็นเซียนหวังร้อยชาติพันธุ์ ราชันเซียนเก้าแดนที่รู้ถึงการดำรงอยู่นี้แล้วหละก็ล้วนแล้วแต่ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ต่อให้เป็นจอมราชันของเผ่าสวรรค์ เผ่ามาร เผ่าเทพสามเผ่าก็ต้องรอบคอบ จะอย่างไรเสียนี่คือผู้ดำรงอยู่ในฐานะเคยเข่นฆ่าจอมราชันมาก่อน ขอเพียงผู้ที่รู้จักเขาก็ต้องหวั่นเกรงต่อเขาสามส่วน
“ไม่ ใยต้องทำเช่นนี้เล่า” หลี่ชิเย่ยิ้มจางๆ และกล่าวว่า “ถ้าหากข้าออกคำสั่งลงไป มิเท่ากับถูกคนเขาครหาว่าเราอาศัยอำนาจไปข่มเหงรังแกเขาใช่ไหม ข้าไม่ใช่เป็นคนเช่นนั้น ข้าจะไปใช้อำนาจข่มเหงผู้คนได้อย่างไรกันเล่า ในเมื่อมีคนอยากจะมา พวกเราก็ปล่อยพวกเขามาเถอะ พวกเราควรจะให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นจึงจะถูก”
“สถาบันศึกษาเทพเจ้าเป็นสำนักที่รองรับผู้คนจากทุกๆ ที่อยู่แล้ว ในเมื่อมีจอมราชันเซียนหวัง รู้สึกสนใจต่อสถาบันศึกษาเทพเจ้าของพวกเรา เช่นนั้นแล้ว พวกเราจะอาศัยความจริงใจให้การต้อนรับพวกเขาอย่างอบอุ่น” เมื่อหลี่ชิเย่กล่าวมาถึงตรงนี้แล้ว เผยให้เห็นรอยยิ้มเต็มใบหน้าออกมา และกล่าวว่า “ผู้มาเยือนคือแขก ในเมื่อต่างมาเป็นแขกของสถาบันศึกษาเทพเจ้าทั้งที ก็สมควรเร่าร้อนนิดหนึ่ง ต้องให้แขกได้รั้งอยู่ที่นี้ อย่าให้แขกเขาว่าเราได้ว่านั่งก้นยังไม่ทันร้อนก็ไล่พวกเขาไปแล้ว ซึ่งจะทำให้คนอื่นเขาว่าเราได้ว่าไม่ต้อนรับแขก”
ความหมายของอาจารย์คือ…เมื่ออสุราได้ยินคำพูดจากหลี่ชิเย่แล้ว ประกายตากระตุกนิดหนึ่ง เขาเป็นนักศึกษาของหลี่ชิเย่ หรือกล่าวให้ถูกต้องมากกว่าเขาคือศิษย์ของหลี่ชิเย่ เมื่อหลี่ชิเย่พูดคำพูดเช่นนี้ออกมา เขาก็รู้ได้ทันทีว่าคำพูดนี้บ่งบอกถึงสิ่งใดแล้ว
กระทั่งเวลานี้เขาได้กลิ่นคาวเลือดแล้ว เป็นกลิ่นคาวเลือดที่เข้มข้นมากสายหนึ่ง
“เคยมีผู้กล่าวเอาไว้ว่า ผู้ต่างเผ่าพันธุ์กับเรา จิตของเขาย่อมเป็นอื่น สมควรสังหารเสีย” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยว่า “ความจริงแล้ว ยังมีอีกประโยคหนึ่ง ผู้ที่ต่างอุดมการณ์ จิตของเขาย่อมเป็นอื่น สมควรสังหารเสีย นี่แหละคือการขจัดผู้เห็นต่าง! เซียนหวังร้อยชาติพันธุ์ก็ดี ราชันเซียนเก้าแดนก็ช่าง คิดไม่ซื่อต่อสถาบันศึกษาเทพเจ้าในเวลาเช่นนี้ ไม่ว่าเขาจะยืนอยู่ในฐานะอะไร ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุผลใด สมควรสังหารเสีย”
“ฆ่าล้างเซียนหวังร้อยชาติพันธุ์ ราชันเซียนเก้าแดน!” ภายในใจของอสุราเต้นกระตุกทีหนึ่ง นี่มันคือศึกครั้งยิ่งใหญ่นะเนี่ย
“คราวนี้เคราะห์กรรมครั้งใหญ่ของสถาบันศึกษาเทพเจ้าไหนเลยจะไม่ใช่บททดสอบบทหนึ่ง สิ่งนี้ไม่เพียงแค่ทดสอบสถาบันศึกษาเทพเจ้าเท่านั้น ยังเป็นการทดสอบร้อยชาติพันธุ์! ยิ่งกว่านั้นยังเป็นการทดสอบพวกเรา! ยามที่เคราะห์กรรมครั้งใหญ่มาถึง ไม่ว่าใครก็จะกัดสถาบันศึกษาเทพเจ้าสักคำ…”
“…หากว่าความมืดมาถึง และหรือโลกจะแตก การที่ร้อยชาติพันธุ์ฆ่ากันเอง มันก็เป็นเรื่องปรกติเท่านั้นเอง ถือโอกาสการทดสอบที่ดีที่สุดครั้งนี้ ที่ควรขจัดทิ้งไปก็ควรขจัดทิ้งเสีย คิดจะฝ่าวิกฤตในอนาคต อันดับแรกจะต้องสังหารสิ้นผู้ที่เห็นต่างบนโลกของเราเสียก่อน มิฉะนั้นแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นพวกเขาก็แค่ลูกสมุนของความมืดเท่านั้นเอง” เมื่อหลี่ชิเย่กล่าวมาถึงตรงนี้แล้วหัวเราะน่าเกรงขามออกมา
อสุรานิ่งเงียบไปพักหนึ่ง สุดท้ายก็พยักหน้า และกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “คำพูดของอาจารย์ก็มีเหตุผล เมื่อเคราะห์กรรมของสถาบันศึกษาเทพเจ้ามาถึง เมื่อถึงเวลานั้นก็จะรู้ว่าใครคือมิตรใครคือศัตรู หากมีโอกาสเช่นนี้ เป็นความจริงมันคือโอกาสดีที่จะขจัดสิ้นศัตรู”
ในอดีตอสุราใช่จะไม่เคยคิดถึงเรื่องเช่นนี้มาก่อน เพียงแต่เขามีใจแต่กำลังไม่เพียงพอ จะอย่างไรเสียสถาบันศึกษาเทพเจ้าของพวกเขายังไม่แข็งแกร่งถึงขั้นเปิดศึกกับผู้ใดก็ได้
ยิ่งไปกว่านั้น อสุราไม่รู้ว่าสมควรไว้วางใจใคร และไม่สมควรไว้วางใคร ซึ่งเป็นเรื่องที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าค่อนข้างกลัวว่าจะกระทบกับตัวเอง
เวลานี้หลี่ชิเย่ มาถึงแล้ว ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง สิ่งนี้หาใช่เพียงเพราะหลี่ชิเย่สามารถกอบกู้สถานการณ์ได้เต็มที่เท่านั้น ที่สำคัญมากกว่านั้นก็คือ อสุราเชื่อในตัวของหลี่ชิเย่ เขาสามารถไม่เชื่อเซียนหวังร้อยชาติพันธุ์ ราชันเซียนเก้าแดนใดๆ ก็ได้ แต่กับหลี่ชิเย่เขาเชื่อถือได้อย่างเด็ดขาด
“ถ้าเช่นนั้นเตรียมตัวก็แล้วกัน นี่จะเป็นการศึกที่ทรหด” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเฉยเมยว่า “หากจะกล่าวว่า อยากจะเข่นฆ่าผู้เห็นต่างของเผ่าสวรรค์ เผ่าเทพ เผ่ามารสามเผ่าเพื่อเป็นการเตรียมการต้อนรับการมาเยือนของความมืด เช่นนั้นแล้ว การขจัดสิ้นเซียนหวังร้อยชาติพันธุ์ ราชันเซียนเก้าแดนก็ถือเป็นอาหารกินเล่นก่อนที่พายุฝนฟ้าคะนองลูกใหญ่กำลังมาถึง! ภัยพิบัติกำลังมาถึงแล้ว หวังว่าลูกสมุนยุคนี้จะไม่ถือกำเนิดขึ้นอย่างบ้าคลั่ง หาไม่แล้วสถานการณ์อยากจะคาดคะเน”
“อาจารย์มองการณ์ไกล” อสุราทอดถอนใจเบาๆ ยามที่ภัยพิบัติมาถึง ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าบอกว่าตนเองนั้นจะไม่เปลี่ยนแปลงความตั้งใจเดิม มีใครกล้าบอกว่าตนเองจะไม่ทรยศต่อชาติพันธุ์ของตนเอง ทรยศต่อคนที่บ้านของตน? เป็นเรื่องที่แม้แต่จอมราชันเซียนหวังก็ไม่แน่ว่าจะทำได้ เรื่องเศร้าเคยเกิดขึ้นมาก่อน นี่เป็นเหตุการณ์แท้จริงที่เต็มไปด้วยเลือด!
หลี่ชิเย่ที่นั่งอยู่ตรงนั้นนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง สุดท้ายเอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “เหล่าขุนพลสบายดี?”
“ควรจะสบายดีกัน“ อสุราก็นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “แม้ว่าพวกเราไม่สามารถติดต่อกันได้ พบกันไม่ได้ แต่รอยประทับของอาจารย์ยังอยู่ เหล่าขุนพลก็ต้องปลอดภัย”
“เช่นนั้นย่อมดีที่สุด” หลี่ชิเย่พยักหน้าและเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “วันหน้าหากมีวันหนึ่งข้าต้องท่องไปไกลจากโลกนี้ จังหวะที่จำเป็นไม่จำเป็นต้องให้ข้าเป็นผู้สั่งการ เมื่อสถานการณ์มาถึงก็คือวันที่พวกเจ้าต้องกางปีกออก ข้าเชื่อว่า กระเรียนขาวบินขึ้นสูง เกียรติยศในวันนี้เป็นของพวกเจ้า!”
………………………