Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2016 ทุ่มเทหัวใจให้หมดเลย
ในสถาบันศึกษาเทพเจ้า นอกเหนือจากชั้นเรียนมหาบุรุษที่ดำรงอยู่ในชั้นสูงสุดแล้ว ทั้งจวนราชันและหอศักดิ์สิทธิ์ล้วนแล้วแต่เป็นสถานที่ที่เรียกว่าแดนแห่งมังกรเร้นกายพยัคฆ์หมอบ ที่ตรงนี้มีอัจฉริยะบุคคลเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน อีกทั้งที่ตรงนี้เคยให้กำเนิดจอมเทพแต่ละองค์ ทั้งยังเคยให้กำเนิดเซียนหวัง
เรียกได้ว่าไม่ว่าจะเป็นระดับอัจฉริยะบุคคลของแคว้นเจ้าลัทธิ กระทั่งสายสำนักราชันเซียนเมื่อมาอยู่ในหอศักดิ์สิทธิ์หรือจวนราชันแล้วก็ไม่เห็นว่าจะเป็นประเภทที่มีความโดดเด่นที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งจวนราชันนั้นเรียกได้ว่าเป็นแหล่งรวมระดับอัจฉริยะบุคคลที่ยอดเยี่ยมที่สุดของร้อยชาติพันธุ์ ดั่งเช่นเหรินเซิ่นที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในยุคปัจจุบันก็กำเนิดมาจากจวนราชัน!
เวลานี้บนยอดเขาแห่งนี้ได้กลายเป็นแหล่งรวมนักศึกษาชายหญิงที่มีพรสวรรค์ และมีความยอดเยี่ยมที่สุดจากจวนราชันและหอศักดิ์สิทธิ์ของสถาบันศึกษาเทพเจ้า กล่าวได้ว่า นักศึกษาเหล่านี้จะไม่ยอมลงให้ใครง่ายๆ ต่างคิดว่าตนเองนั้นคือสุดยอดอัจฉริยะบุคคลอันดังหนึ่งในหล้า
แต่ทว่า สำหรับสัจธรรมพื้นฐานท่อนที่เหมยซู่เหยาบรรยายมานั้น กลับสามารถทำให้นักศึกษาชายหญิงที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดสยบทั้งกายและใจ ต้องอุทานด้วยความตื่นตะลึง และหลงใหล เรียกได้ว่าสัจธรรมพื้นฐานท่อนที่เหมยซู่เหยาบรรยายมานั้น สามารถเทียบเคียงได้กับอาจารย์ของสถาบันศึกษาเทพเจ้า สมควรทราบว่า อาจารย์ของสถาบันศึกษาเทพเจ้าล้วนแล้วแต่ดำรงอยู่ในระดับจอมเทพ กระทั่งเป็นระดับเซียนหวัง ซึ่งสามารถประเมินได้ว่าเหมยซู่เหยาได้บรรลุสัจธรรมพื้นฐานนี้ถึงระดับไหนกันแล้ว
“สัจธรรมพื้นฐานท่อนที่เทพธิดาเหมยบรรยายมานั้น ในบรรดานักศึกษาพวกเราไม่มีใครสามารถแซงล้ำหน้าได้อีกแล้ว ยี่ฝานเองรู้สึกระอายไม่อาจเทียบได้ ต่อให้เป็นพี่เสวียนจี๋เป็นผู้บรรยายเกรงว่าก็ไม่เห็นจะล้ำหน้าเทพธิดาเหมยไปได้” ในขณะนี้ ท่ามกลางนักศึกษาชายหญิงได้มีนักศึกษาชายผู้หนึ่งลุกขึ้นยืน และกล่าวชมเปาะด้วยความตื่นตะลึงขึ้นมา
นักศึกษาชายผู้นี้เปล่งประกายศักดิ์สิทธิ์ออกมาทั่วร่าง ด้านหลังศีรษะปรากฎเป็นวงแหวนศักดิ์สิทธิ์วงหนึ่ง ภาพรวมแลดูมีความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก ทำให้ผู้พบเห็นต้องเคารพยำเกรง
นักศึกษาชายผู้นี้คือผู้มีอิทธิพลคนหนึ่งของสถาบันศึกษาเทพเจ้า เขาคือนายน้อยของพรรคซือเสินที่เป็นหนึ่งสำนักสี่เซียนหวัง มีชื่อว่าเฉินยี่ฝาน ฉายาเทพบุตรซือจง
เขากับนายน้อยทะยานฟ้าหวังเสวียนจี๋แห่งจวนราชัน ยุวกษัตริย์หกกระบี่ข่งเย่หลินแห่งศตาคารถูกยกย่องให้เป็นสามเทพบุตรสถาบันศึกษาเทพเจ้า นายน้อยทะยานฟ้าหวังเสวียนจี๋รั้งอยู่อันดับหนึ่ง เทพบุตรซือจงเฉินยี่ฝานอยู่อันดับสอง และยุวกษัตริย์หกกระบี่ข่งเย่หลินอยู่อันดับสาม พวกเขาทั้งสามคนมีความสัมพันธ์ต่อกันดีมาก
ยุวกษัตริย์หกกระบี่คือผู้นำของศตาคาร ขณะที่เทพบุตรซือจงไหนเลยจะไม่ใช่ผู้นำของหอศักดิ์สิทธิ์เล่า อาศัยพรสวรรค์ของเทพบุตรซือจงต้องเข้าเรียนชั้นจวนราชันได้อย่างแน่นอน แต่เขากลับจะมาอยู่ที่หอศักดิ์สิทธิ์
เทพบุตรซือจงเคยตามจีบเหมยซู่เหยามาก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่รู้กันของผู้คนจำนวนมาก เสียดาย เหมยซู่เหยาไม่ได้ให้ความสนใจในตัวของเขาแม้แต่น้อย แต่ว่า เทพบุตรซือจงกลับมีความพยายามไม่ย่อท้อ เขามีความมั่นใจในตนเองเต็มเปี่ยม
ในขณะนี้ การที่เทพบุตรซือจงก้าวออกมาพูดเช่นนี้ นอกจากเป็นความจริงที่เหมยซู่เหยาบรรยายได้ดีเหลือเกินแล้ว ยังมีความคิดต้องการเอาใจเหมยซู่เหยาอีกด้วย
“รุ่นพี่เฉินชมเกินไปแล้ว แค่เล็กน้อยเท่านั้น ฝีมือต่ำต้อย” ปฏิกิริยาของเหมยซู่เหยาเรียบเฉยมาก เหมือนดั่งสายน้ำไหล เพียงแต่พูดออกมาเนิบๆ
“เทพธิดาเหมยยอดเยี่ยมมาก ร้ายกาจขนาดนี้ยังถ่อมตนถึงเพียงนี้ ถ้าหากข้าเป็นผู้ชาย ข้าก็คงหลงรักนางตายเลยหละ” นักศึกษาหญิงที่เป็นอัจฉริยะบุคคลถึงกับอิจฉายิ่งนัก
“เทพธิดาเหมยถ่อมตนไปแล้ว เว้นแต่อาจารย์ของสถาบันแล้ว ข้าไม่เคยได้ฟังการบรรยายสัจธรรมพื้นฐานท่อนนี้ได้ดีถึงเพียงนี้” เทพบุตรซือจงยิ้มกล่าวว่า “เมื่อเทียบกับเทพธิดาเหมยแล้วข้ารู้สึกระอายยิ่งนัก”
“นั่นสิ เทพธิดาเหมยแค่เข้าสู่ยุทธภพช้าไปนิดเท่านั้น ไม่แน่นักสามารถชิงความเป็นหนึ่งกับเหรินเซิ่น และเส้าเหนียนหวังผู้อาวุโสทั้งสองนะเนี่ย” นักศึกษาชายระดับอัจฉริยะบุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์ถึงกับกล่าวทอดถอนใจออกมา
นักศึกษาชายระดับอัจฉริยะบุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์จำนวนไม่น้อยที่มีใจรักใครชื่นชมในตัวของเหมยซู่เหยา พวกเขาเองก็มีความโดดเด่นอย่างยิ่ง เพียงแต่เมื่อเทียบกับเทพบุตรซือจงแล้วด้อยไปนิดหนึ่งเท่านั้น
“เทพธิดาเหมยมิสู้บรรยาย ‘เคล็ดสู้รบ’ ให้ฟังสักท่อนดีไหม? นี่คือสัจธรรมขั้นพื้นฐานที่เป็นระดับตำนานที่สุดท่อนหนึ่งของสถาบันศึกษาเทพเจ้า ทุกคนต่างมีอรรถาธิบายต่อมันที่แตกต่างกันออกไป ได้ยินว่าอาจารย์ทุกท่านล้วนแล้วแต่เคยบรรยาย ‘เคล็ดสู้รบ’ มาก่อน อาจารย์ทุกท่านต่างบรรยายแตกต่างกันไป น่าแปลกมาก” นักศึกษาอัจฉริยะชายผู้หนึ่งดูอยากจะลองดูอย่างยิ่งและเอ่ยขึ้นมา
“นั่นสิ บรรยาย ‘เคล็ดสู้รบ’ สักท่อนเป็นไร?” ในเวลานี้มีนักศึกษาชายหญิงจำนวนไม่น้อยทยอยกันพูดสนับสนุน
เหมยซู่เหยามองดูบรรดานักศึกษาที่อยู่ในเหตุการณ์ อมยิ้มและส่ายหน้าเบาๆ กล่าวว่า “ซู่เหยาความรู้ตื้นเขิน ไม่กล้าเปรียบกับบรรพชน”
ขณะที่เหมยซู่เหยาอยู่เก้าแดน นางชื่นชอบในการสอนและบรรยายธรรม ภายหลังสภาพจิตของนางแปรเปลี่ยนไป หลังจากรู้จักกับหลี่ชิเย่แล้ว นางจึงเข้าใจว่าฟ้าสูงเท่าไร แผ่นดินกว้างเท่าใด ครั้งหนึ่งไม่นานมานี้ นางที่มีกระดูกเซียนบนหน้าผาก คิดว่าสามารถเข้าใจความลึกซึ้งพิสดารของสัจธรรมทั่วหล้าได้ทั้งหมด
แต่ว่าหลังจากรู้จักและอยู่กับกับหลี่ชิเย่แล้ว นางจึงได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า เมื่อเปรียบเทียบกับความรู้ที่กว้างใหญ่ไพศาลแล้ว สัจธรรมที่ลึกซึ้งพิสดารที่นางได้บรรลุนั้น เป็นเพียงส่วนน้อยนิดในมหาสมุทรเท่านั้น ไม่คู่ควรจะกล่าวถึง
ดังนั้น ภายหลังเหมยซู่เหยาจึงไม่ค่อยได้สอนและบรรยายธรรม ภายในใจของนางรู้สึกว่า การบรรยายธรรมของตนเองก็แค่เป็นการแสดงฝีมือที่ต่ำต้อยออกมาเท่านั้น ไม่สามารถเทียบได้กับหลี่ชิเย่อยู่แล้ว
“เทพธิดาเหมยถ่อมตนมากไปแล้ว ลองบรรยายสักท่อนหนึ่งจะเป็นไรไป ครั้งนั้นอาจารย์ฉวี่หังเคยบรรยาย ‘เคล็ดสู้รบ’ ทำให้ทุกคนนั่งฟังจนเคลิบคลิ้ม ด้วยพรสวรรค์ของเทพธิดาเหมยไม่ด้อยไปกว่าอาจารย์ฉวี่หังในครั้งนั้น ไม่แน่นักเทพธิดาเหมยบรรยายเรื่องนี้อาจจะได้ดีกว่าเสียอีก” ในขณะนี้เทพบุตรซือจงรีบยิ้มกล่าวขึ้นมา
“นั่นสิ ก็บรรยายสักท่อนหนึ่ง หากว่าเทพธิดาเหมยสามารถล้ำหน้าอาจารย์ฉวี่หังได้ พวกเราก็พลอยได้หน้าไปด้วย” นักศึกษาคนอื่นๆ ต่างทยอยกันคล้อยตาม
“อาจารย์ฉวี่หัง” ที่นักศึกษาเอ่ยถึงก็คือกู่ฉวี่หัง ฉายาเส้าเหนียนหวัง เป็นสุดยอดบุรุษผู้สูงศักดิ์ในหล้า เวลานี้ทำหน้าที่เป็นอาจารย์สอนอยู่ในสถาบันศึกษาเทพเจ้า แม้แต่อัจฉริยะบุคคลเช่นเทพบุตรซือจงยุวกษัตริย์หกกระบี่ก็ให้ความเลื่อมใสทั้งกายและใจ
“เทพธิดาเหมย บรรยายสักท่อนหนึ่ง ถือเสียว่านี่เป็นการจารึกสัญลักษณ์ที่สมบูรณ์สำหรับการมาสนทนาแลกเปลี่ยนธรรมะของพวกเราในครั้งนี้” ขณะที่เหมยซู่เหยากำลังลังเลอยู่นั้น บรรดานักศึกษาชายหญิงที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างทยอยกันคล้อยตาม สนับสนุนให้เหมยซู่เหยาได้บรรยายสักท่อนหนึ่ง
เมื่อเหมยซู่เหยาเห็นว่าบรรดานักศึกษาชายหญิงต่างมีน้ำใจไมตรีเช่นนี้ จึงได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ สุดท้ายได้แต่เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “เคารพมิสู้ปฏิบัติตาม ในเมื่อเป็นเช่นนี้ซู่เหยาขอแสดงฝีมือที่ต่ำต้อยแล้ว”
“ปณิธานที่แน่วแน่เกิดจากใจ กรรมวิธีพัฒนามาจากหลักการ อาศัยปณิธานการต่อสู้เป็นหลัก กำหนดสรรพวิธี…” เวลานี้เหมยซู่เหยาได้บรรยายช้าๆ น้ำเสียงดั่งคำบัญชา ยามที่เขาเปล่งสัจวาจาออกมา หมื่นกฎเกณฑ์บังเกิดอัศจรรย์ ในเวลานี้ แม้แต่ต้นสนเซียนยังโอนเอนไปมาเพื่อนาง กลิ่นอายเซียนตลบอบอวล กลิ่นอายเซียนที่ออกเป็นสีม่วงยิ่งเพิ่มความเข้มข้นมากขึ้นไปอีก เหมือนดั่งกลับกลายเป็นภูติที่รายล้อมอยู่รอบกายของเหมยซู่เหยา
ขณะที่เหมยซู่เหยาบรรยายออกมาอย่างช้าช้า เสมือนดั่งบุปผาสวรรค์ที่โปรยปรายลงมา เมื่อบรรยายถึงจุดที่พิสดาร เสมือนดั่งพื้นดินได้ผุดน้ำพุทองคำขึ้นมา นับว่าพิสดารสุดเปรียบเปรย
เวลานี้ นักศึกษาชายหญิงที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างนั่งฟังจนเคลิบเคลิ้ม นักศึกษาชายหญิงจำนวนมากเมื่อฟังถึงท่อนที่ยอดเยี่ยมพิสดารต่างปรบมือกันเกรียว ทำให้บรรยากาศบนยอดเขาขึ้นไปถึงจุดสูงสุด
“ปณิธานการต่อสู้ซ่อนในใจ อาศัยกำลังทำลายแผนการของศัตรู ไม่โอ้อวดแต่อำนาจสยบผู้คน นี่คือวิธีการที่ดีที่สุด และเป็นหนทางที่ดีที่สุด…” เวลานี้เหมยซู่เหยาพูดขึ้นมาช้าๆ ด้วยคำพูดที่มีสีสันงดงาม ทำให้ผู้คนที่รับฟังเคลิบเคลิ้มหลงใหล
ผิด…จังหวะที่เหมยซู่เหยากำลังพูดถึงจุดที่ลึกซึ้งพิสดารที่สุด พลันปรากฏเสียงหนึ่งดังขึ้นกล่าวตัดบทของเหมยซู่เหยา “คำพูดนี้พูดผิดแล้ว”
เดิมทีทุกคนกำลังฟังจนเคลิบเคลิ้ม แต่เสียงลักษณะเช่นนี้ที่ดังขึ้น เปรียบเสมือนดั่งเอาน้ำเย็นราดใส่หัวของทุกคน
ทุกคนถูกทำให้ตื่นขึ้นทันที เมื่อบรรดานักศึกษาชายหญิงที่เป็นระดับอัจฉริยะบุคคลตื่นขึ้น ถึงกับบังเกิดเพลิงแค้นขึ้นมา พวกเขากำลังฟังเหมยซู่เหยาบรรยายธรรม ความลึกซึ้งพิสดารของสัจธรรมทำให้พวกเขาได้รับประโยชน์อย่างยิ่ง เวลานี้พลันถูกคนอื่นทำให้สะดุดขาดตอน ทำให้พวกเขาตามจังหวะไม่ทัน แล้วจะไม่ให้พวกเขาโกรธมากได้อย่างไรกัน
“เป็นผู้ใดที่บังอาจพูดจาโอหังอวดดี!” เวลานี้มีนักศึกษาชายที่ได้สติกลับมา ถึงกับกล่าวด้วยความโกรธออกมา
ทุกคนต่างทยอยหันไปมอง เห็นเพียงผู้ชายที่ดูธรรมดามากคนหนึ่งเหินฟ้าเข้ามา ผู้ที่ส่งเสียงตัดขาดคำบรรยายของเหมยซู่เหยาก็คือชายผู้นี้ ในเวลานี้สายตาของนักศึกษาทุกคู่ต่างตกลงบนตัวของเขา
“ปณิธานการต่อสู้ใยต้องซ่อนไว้ในใจ อาศัยกำลังต่อสู้กับสวรรค์ สู้รบถึงที่สุด จึงเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุด การต่อสู้ไร้ความปราณี ขอเพียงในใจพร้อมสู้ ก็ไม่จำเป็นต้องปิดบัง” ผู้ที่เหินฟ้าเข้ามาก็คือหลี่ชิเย่นั่นเอง เขาเอ่ยสัจวาจา ทุกๆ คำดั่งเสียงระฆังตอนเช้าและเสียงกลองในยามเย็น ทั้งหมดได้กระทบลงกลางใจของเหมยซู่เหยา
คนอื่นอาจไม่เข้าใจเหมยซู่เหยา แต่หลี่ชิเย่เข้าใจนาง เขารู้ถึงเงื่อนปมที่อยู่ในใจของเหมยซู๋เหยา ดังนั้น เวลานี้เขาเปล่งสัจวาจาออกมา แต่ละคำจึงกระแทกลงบนจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของนาง ช่วยไขข้อสงสัยให้กับนางและช่วยนำทางให้กับนาง
เมื่อสัจวาจาแต่ละคำของหลี่ชิเย่ ได้กระแทกลงบนจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของเหมยซู่เหยา พลันทำให้ภายในใจของเหมยซู่เหยาสะเทือนหวั่นไหว
แน่นอน พวกของเทพบุตรซือจงย่อมไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างหลี่ชิเย่กับเหมยซู่เหยา เมื่อมองเห็นหลี่ชิเย่กล้าพูดกับเหมยซู่เหยาต่อหน้าผู้คนเช่นนี้ พูดด้อยค่าเหมยซู่เหยา พลันทำให้นักศึกษาชายหญิงที่อยู่ในเหตุการณ์โกรธขึ้นมา
“คนที่ไม่เจียมตัว บังอาจอวดฉลาดต่อหน้าเทพธิดาเหมย!”
“นั่นสิ เจ้าหนูที่โผล่มาจากไหนไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ถึงกับกล้าพูดจาโอหังอวดดีต่อหน้าหอศักดิ์สิทธิ์ และจวนราชันพวกเรา สมควรสั่งสอนสักหน่อย” นักศึกษาระดับอัจฉริยะบุคคลเห็นว่าหลี่ชิเย่ไม่ใช่นักศึกษาของจวนราชันและหอศักดิ์สิทธิ์พวกเขา พลันมีสายตาที่เย็นชา พวกเขาดูแคลนในตัวของหลี่ชิเย่อยู่แล้ว
“ผู้เยาว์ ไสหัวลงจากเขาไป! มิฉะนั้นหละก็ อย่าโทษข้าที่จะตีขาเจ้าให้หักทั้งสองข้าง!” เวลานี้ เทพบุตรซือจงก็อดกลั้นไม่อยู่ ร้องเสียงดังออกมา ดวงตาทั้งสองเผยปณิธานการฆ่าออกมา
เดิมที เขาตั้งใจจะทำตัวให้ดูดีในงานมหกรรมชิมชาในครั้งนี้ และการบรรยายธรรมในครั้งนี้ก็มีบรรยากาศที่ดีมาก กลับถูกเจ้าหนูที่โผล่มาจากที่ไหนก็ไม่รู้ทำเสียเรื่อง แล้วจะไม่ให้เทพบุตรซือจงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟได้อย่างไรเล่า
หลี่ชิเย่ไม่ให้ความสนใจต่อพวกของเทพบุตรซือจงอยู่แล้ว เขาก้าวเดินมาถึงใต้ต้นสนเซียน
คุณชาย…เวลานี้เหมยซู่เหยาได้สติกลับมา ตกใจระคนกับดีใจอย่างยิ่ง พลันวิ่งออกมาและโผเข้าไปในอ้อมกอดของหลี่ชิเย่ สวมกอดหลี่ชิเย่เอาไว้แน่น
“ดูท่าเจ้าเก็บเกี่ยวดอกผลได้มากจริงๆ” หลี่ชิเย่สวมกอดเหมยซู่เหยาที่อยู่ในอ้อมกอดรู้สึกดีใจ ยิ้มกล่าวว่า “เส้นทางสายนี้เจ้าเดินไปได้ไกลจริงๆ”
“ไม่ได้พบคุณชายเสียนาน คิดถึงมากเหลือเกิน” เวลานี้เหมยซู่เหยาไม่ห่วงอะไรทั้งสิ้น นางซุกอยู่ในอ้อมอกของหลี่ชิเย่ สวมกอดเขาเอาไว้แน่น รู้สึกดีใจอย่างยิ่งและชอบมาก นางไม่นึกเลยว่าจะได้พบกับหลี่ชิเย่ตรงนี้
ครั้งนั้นทำลายฟ้าขึ้นมา พวกเขามาถึงทวีปเจียวเหิงโจวก็ขาดการติดต่อกับหลี่ชิเย่ แม้ว่านางเชื่อว่าหลี่ชิเย่มีกำลังเพียงพอที่จะเผชิญกับอุปสรรคทั้งมวล แต่ไม่พบเสียนาน ก็อดที่จะคิดถึงอยู่ทุกวันคืนเหมือนกัน
“ข้าเองก็คิดถึงเจ้า เพียงแต่ธุระยังไม่เสร็จสิ้น ไม่สามารถตามมาได้ทันท่วงที” หลี่ชิเย่ลูบไล้เส้นผมที่งดงามยิ่งของนาง กล่าวพร้อมกับหัวเราะเบาๆ