Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2020 ทำร้ายโหด
“อาจารย์ของสถาบันศึกษาเทพเจ้าไม่ได้ยอดเยี่ยมอะไรหรอก แต่ ทำร้ายเจ้าอย่างโหดเหี้ยมยังคงไม่ต้องพะวงอะไรอยู่แล้ว” หลี่ชิเย่ไม่ได้แสดงอาการโกรธสำหรับคำพูดของเย่เมี่ยวเสวี่ย เพียงเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมาเท่านั้น
ฆ่า…เย่เมี่ยวเสวี่ยในเวลานี้ไม่มีทางเลือกอีกแล้ว ในเมื่อคำพูดที่พาลก็ได้พูดออกไปแล้ว นางก็ต้องแข็งขืนให้ถึงที่สุด โดยไม่เปิดโอกาสให้ตนเองต้องยอมแพ้ใดๆ
ตูม…เสียงดังสนั่นขึ้นมา อาวุธเซียนหวังถล่มเข้าใส่ ทำลายล้างรอบทิศ สยบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ กฎเกณฑ์เซียนหวังแต่ละสายพุ่งเข้าหาดั่งน้ำตก กฎเกณฑ์เซียนหวังทุกสายสามารถบดขยี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ทุกองค์
อาวุธเซียนหวัง…แม้จะกล่าวว่า ในสถาบันศึกษาเทพเจ้ายังคงมีอัจฉริยะบุคคลจำนวนไม่น้อย แต่ทว่า จะอย่างไรเสียก็เป็นเพียงคนหนุ่ม เป็นเพียงนักศึกษา ทักษะยุทธยังไม่ถึงขั้นที่จะต้านทานกับอานุภาพของเซียนหวังได้ ดังนั้น พลันที่มองเห็นอานุภาพเซียนหวังที่บดขยี้เข้ามา นักศึกษาจำนวนมากจึงตระหนกตกใจจนเข่าอ่อน ร้องเสียงดังออกมา
“ของเด็กเล่นเท่านั้นเอง!” หลี่ชิเย่ไม่ได้เลิกกระทั่งหนังตาเมื่อเผชิญกับการพุ่งเข้าสังหารของอาวุธเซียนหวัง ยิ้มจางๆ ยื่นมือออกไปคว้าอาวุธเซียนหวัง
บ้าไปแล้ว…บรรดานักศึกษาทื่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรู้สึกงงงัน เมื่อเห็นหลี่ชิเย่อาศัยมือเปล่าเข้าคว้าอาวุธเซียนหวัง มีใครบ้างที่กล้าอาศัยมือเปล่าไปรับมือกับอาวุธเซียนหวังกัน นี่มันคือพฤติกรรมของคนเสียสติชัดๆ บ้าบิ่นมากไปแล้ว เป็นการรนหาที่ตายชัดๆ
เสียงปัง…ดังขึ้น จังหวะที่ทุกคนต่างเข้าใจว่ามือขนาดใหญ่ของหลี่ชิเย่ข้างนี้จะต้องถูกอาวุธเซียนหวังบดขยี้จนแหลกละเอียดอยู่นั้น มือขนาดใหญ่ข้างนี้ของเขากลับสามารถรับเอาอาวุธเซียนหวังนี้เอาไว้ได้อย่างสบาย เห็นเพียงมือขนาดใหญ่ข้างนี้กดทับอาวุธเซียนหวังเอาไว้ ขณะที่อาวุธเซียนหวังไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ส่วนกฎเกณฑ์เซียนหวังส่งเสียงร้องออกมาด้วยความโศกเศร้า ไม่สามารถต่อต้านกับมือใหญ่ข้างนี้ได้
เป็นไปไม่ได้…บรรดานักศึกษาที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างมองดูมือขนาดใหญ่ข้างนั้นของหลี่ชิเย่ที่คว้าจับอาวุธเซียนหวังเอาไว้จนต้องอ้าปากตาค้าง นักศึกษาบางคนถึงกับร้องเสียงแหลมออกมา อาศัยมือเปล่ารับมือกับอาวุธเซียนหวัง ช่างเป็นความสามารถที่ฝืนลิขิตสวรรค์อะไรปานนั้น
ขณะที่นักศึกษาทั้งหมดถูกทำให้สะเทือนหวั่นไหวกับภาพเหตุการณ์ตรงหน้า ได้ยินเสียงดังปังขึ้นมาเสียงหนึ่ง หนึ่งฝ่ามือของหลี่ชิเย่ได้ซัดลงบนตัวของเย่เมี่ยวเสวี่ย เสียงดังปุ หนึ่งฝ่ามือได้ทะลุผ่านหน้าอกของเย่เมี่ยวเสวี่ย เลือดสดๆ แตกกระจาย
เย่เมี่ยวเสวี่ยยังไม่ทันได้ตอบโต้ เสียงปังได้ดังขึ้นมาอีกครั้ง เท้าข้างหนึ่งของหลี่ชิเย่ได้แตะเข้าไปบนตัวของเย่เมี่ยวเสวี่ยอย่างแรง ได้ยินเสียงกระดูกแตกหักดังคร๊ากก ไม่รู้ว่ากระดูกบนตัวของเย่เมี่ยวเสวี่ยแตกละเอียดไปจำนวนเท่าไรจากเท้าข้างนี้ของหลี่ชิเย่
สุดท้าย เป็นเสียงดังแผละร่างของเย่เมี่ยวเสวี่ยทรุดลงไปกองกับพื้น เลือดสดๆ ไหลริน ไปตามพื้นช้าๆ ในเวลานี้เย่เมี่ยวเสวี่ยยังคงมีชีวิตอยู่ แต่ว่าอาการบาดเจ็บที่สาหัสมากทำให้นางยากที่จะกระดิกตัวได้
กลิ่นคาวเลือดตลบอบอวลคละคลุ้งไปทั่วทั้งบริเวณและจมูกของทุกคน กระตุ้นต่อประสาทรับรู้ของทุกๆ คน
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นรวดเร็วมาก ตั้งแต่หลี่ชิเย่ลงมือจนกระทั่งผลออกมาอย่างที่เห็นเป็นเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นเอง กระทั่งนักศึกษาที่มีทักษะอ่อนยังมองไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลี่ชิเย่ลงมืออย่างไร
เย่เมี่ยวเสวี่ยมีอาวุธเซียนหวังในมือ ศักยภาพของนางต่อให้ไม่ถึงขั้นเป็นนักศึกษาที่ยอดเยี่ยมที่สุดของสถาบันศึกษาเทพเจ้า แต่ก็นับว่ามีความสามารถอยู่ในระดับชั้นหนึ่งแล้ว ต่อให้ไม่สามารถเทียบได้กับยุวกษัตริย์หกกระบี่ เทพบุตรซือจง และศิษย์พี่ของนางนายน้อยทะยานฟ้า แต่เมื่อเทียบกับนักศึกษาจำนวนมาก กระทั่งเป็นนักศึกษาของหอศักดิ์สิทธิ์แล้ว นางไม่รู้ว่าแข็งแกร่งกว่ากันเท่าไร
แต่กลับถูกทั้งหมัดทั้งแตะของหลี่ชิเย่เข้าให้จนบาดเจ็บสาหัสภายในชั่วพริบตาเดียวนั่นเอง ต้องนอนอยู่กับพื้นไม่สามารถเคลื่อนกายได้
ผ่านไปชั่วครู่ใหญ่ บรรดานักศึกษาที่ได้กลิ่นคาวเลือดลอยคละคลุ้งตลบอบอวลปลายจมูกต่างได้สติกลับมา มองดูเย่เมี่ยวเสวี่ยที่ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่เลือดสดๆ ที่ไหลรินเป็นทาง ทุกคนถึงกับร่างสั่นเทาขึ้นมา
แม้แต่เถาถิงเองก็ไม่เว้น ภาพลักษณ์ของหลี่ชิเย่ที่อยู่ในใจของนางเป็นคนอ่อนโยน เรียบเฉยมาโดยตลอด แต่ว่าเวลานี้พลันลงมือก็คล้ายดั่งพายุร้าย ซึ่งส่งผลให้จิตใจของนางต้องหวั่นไหวอย่างแท้จริง
แม้ว่าบรรดานักศึกษาที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างมีประสบการณ์กับกลิ่นคาวเลือดมาแล้ว แต่ว่าเฉกเช่นวิธีการที่ทารุณโหดร้ายโดยตรงของหลี่ชิเย่ พวกเขาเพิ่งจะได้เคยเห็นเป็นครั้งแรก แค่หนึ่งหมัดหนึ่งเท้าก็เล่นงานระอับอัจฉริยะบุคคลจนพิการ ช่างเป็นเรื่องที่สะเทือนหวั่นไหวจิตใจผู้คนเหลือเกิน
หลี่ชิเย่มองดูอาวุธเซียนหวังที่อยู่ในมือ จัดการโยนคืนให้กับเย่เมี่ยวเสวี่ยไปตามอารมณ์เหมือนโยนขยะอย่างนั้น กล่าวขึ้นมาเรียบๆ ว่า “ต่อให้อาวุธทรงพลังมากกว่านี้ มันก็แค่อาวุธเท่านั้น!”
เวลานี้ หลี่ชิเย่มองหน้าเย่เฉี่ยวเซียงทีหนึ่ง ขณะที่เย่เฉี่ยวเซียงตื่นตระหนกจนมีใบหน้าขาวซีด นางเกือบจะอ่อนแรงจนเหมือนเป็นอัมพาตอยู่กับพื้นแล้ว
“พานางกลับไปพักฟื้นให้ดีก็แล้วกัน!” หลี่ชิเย่สั่งการออกมาว่า “เห็นแก่พวกเจ้าที่ยังคงเป็นนักศึกษา วันนี้จะไม่เอาชีวิตน้อยๆ ของพวกเจ้า”
เย่เฉี่ยวเซียงถูกทำให้ตกใจวิญญาณแทบออกจากร่าง ในขณะนี้นางไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกมาด้วยซ้ำ เมื่อได้ยินหลี่ชิเย่สั่งการออกมาเช่นนี้เหมือนได้รับการอภัยโทษอย่างนั้น รีบเร่งหามเอาร่างของเย่เมี่ยวเสวี่ยขึ้นมาร่วมกับนักศึกษาคนอื่นๆ วิ่งหนีไปอย่างทุลักทุเล
แม้ว่าเย่เมี่ยวเสวี่ยจะถูกหลี่ชิเย่เล่นงานจนบาดเจ็บสาหัส แต่นับว่าเขาได้ออมมือให้แล้ว ไม่ได้สร้างบาดแผลใดๆ ที่จะคงอยู่อย่างยาวนานบนตัวของนาง ขอเพียงเย่เมี่ยวเสวี่ยนอนพักรักษาอาการสักระยะหนึ่งก็สามารถหายเป็นปรกติได้ ยิ่งไปกว่านั้น พรรคทะยานฟ้าที่เป็นชาติกำเนิดของนางมียาสมานแผลที่ล้ำค่ายิ่ง การที่เย่เมี่ยวเสวี่ยจะหายเป็นปรกติก็คงไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด
หลังจากที่เย่เมี่ยวเสวี่ยถูกหามไปแล้ว หลี่ชิเย่มองดูนักศึกษาที่อยู่ในเหตุการณ์ ขณะที่นักศึกษาในเหตุการณ์เหล่านั้นถูกสายตาจ้องมองจนขนลุกซู่ภายในใจ แม้แต่ในใจของยุวกษัตริย์หกกระบี่ก็ขาดความมั่นใจ
แม้ว่ายุวกษัตริย์หกกระบี่มั่นใจว่าตนเองนั้นแข็งแกร่งกว่าเย่เมี่ยวเสวี่ยอยู่มาก แต่เมื่อเขาได้เห็นการลงมือของหลี่ชิเย่แล้วพลันไม่มีความมั่นใจไปในทันที ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อครู่เขายังได้ล่วงเกินหลี่ชิเย่เอาไว้ ถ้าหากหลี่ชิเย่จะเอาเรื่องในเวลานี้หละก็ เกรงว่าเขาก็คงไม่พ้นเคราะห์กรรมไปได้
“คนอย่างข้าไม่ถือสากับการท้าทายของทุกคน และทุกคนก็ไม่ต้องเกรงเรื่องข้อห้ามต่างๆ ว่าข้าคืออาจารย์คนหนึ่ง ทุกคนมีอะไรที่ดูแล้วไม่สบอารมณ์ และหรือคิดจะท้าสู้กับข้าหละก็ คนอย่างข้ายินดีต้องรับเป็นอย่างยิ่ง” หลี่ชิเย่มองดูนักศึกษาทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ยิ้มอย่างอ่อนโยนว่า “หากทุกคนจะท้าสู้กับข้า ไม่เพียงข้าจะยินดีเท่านั้น อีกทั้งยังมีรางวัลให้อีกด้วย ผู้ที่สามารถรับมือข้าได้แปดถึงสิบกระบวนท่า ข้าจะให้หนึ่งวาสนากับเขา ถ้าหากรับมือข้าได้สามสิบถึงห้าสิบกระบวนท่า ข้าจะประทานสุดยอดโชคยิ่งใหญ่ให้ ถ้าหากสามารถรับมือข้าได้สามร้อยถึงห้าร้อยกระบวนท่า ข้าจะให้ไปเป็นเซียนหวัง”
เมื่อหลี่ชิเย่เอ่ยมาถึงตรงนี้แล้วรอยยิ้มดูอ่อนโยนยิ่งนัก น้ำเสียงที่พูดออกมาก็อ่อนโยนเป็นพิเศษ กล่าวว่า “แน่นอนที่สุด ต้องมีให้ถึงจะได้รับหละนะ ส่วนที่ว่าถูกข้าเล่นงานจนพิการ และหรือนอนติดเตียงอะไรก็คงพูดยากหรอกนะ ก่อนที่จะท้าสู้กับข้าก็ต้องมีการเตรียมใจเอาไว้ ปราศจากความเจ็บปวดไหนเลยจะได้รับผลตอบแทนที่เป็นกอบเป็นกำเล่า ทุกคนว่าอย่างนั้นหรือไม่?” คำพูดลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ทำให้นักศึกษาที่อยู่ในเหตุการณ์ยืนเซ่อจนพูดอะไรไม่ออก อาจารย์ลักษณะเช่นนี้พวกเขาเพิ่งจะได้พบเจอเป็นครั้งแตก นี่เป็นการให้กำลังใจนักศึกษา หรือว่าท้าสู้กับนักศึกษาทั้งหมดกันแน่?
เกรงว่าเรื่องลักษณะเช่นนี้คงไม่เคยได้เกิดขึ้นในสถาบันศึกษาเทพเจ้ามาก่อนกระมัง มีที่ไหนกันที่อาจารย์ท้าสู้กับนักศึกษา?
ขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึงอย่างนั้น มีเพียงเหมยซู่เหยาที่ไม่สะทกสะท้านเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เรื่องทำนองนี้อยู่ในความคาดคิดของนางอยู่แล้ว เพียงแต่นักศึกษาของสถาบันศึกษาเทพเจ้ายังไม่รู้เท่านั้นเองว่า ที่ตนเองเผชิญอยู่นั้นดำรงอยู่ในสถานะอะไรเท่านั้นเอง
“เอาหละ ทุกคนหมดเรื่องกันแล้ว เรื่องที่ผ่านไปก็ให้มันจางหายไปเหมือนเมฆหมอกก็แล้วกัน ไม่ต้องไปจำใส่ใจ เวลานี้ควรจะทำอะไรก็ไปทำกัน” ขณะที่นักศึกษาทุกคนยังไม่ทันได้สติกลับมา หลี่ชิเย่ตบมือแล้วกล่าวกับนักศึกษาที่อยู่ในเหตุการณ์
เมื่อได้ยินหลี่ชิเย่สั่งการออกมาเช่นนี้ บรรดานักศึกษาที่อยู่ในเหตุการณ์เสมือนหนึ่งได้รับการอภัยโทษอย่างนั้น ทยอยกันแยกย้ายกันไป แม้แต่ยุวกษัตริย์หกกระบี่ก็เดินจากไปโดยไม่กล้าส่งเสียงออกมาสักคำ ในเวลานี้เขาเองก็ไม่กล้าพูดคำพูดที่พาลต่อหน้าหลี่ชิเย่ออกมาสักคำ จะอย่างไรเสีย ณ เวลานี้เขายังไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะท้าทายหลี่ชิเย่ได้ อย่างน้องเวลานี้เป็นเช่นนี้
ต่อให้ยุวกษัตริย์หกกระบี่ไม่พอใจในตัวของหลี่ชิเย่มากเท่าไรก็ตาม กระทั่งเรียกว่ามีความแค้นต่อกัน แต่ว่าเขาทำได้เพียงกล้ำกลืนเอาไว้อยู่ในใจ และเวลานี้เขาก็ไม่สามารถท้าสู้กับหลี่ชิเย่เป็นการชั่วคราว
หลี่ชิเย่ยิ้มๆ และนำพาเถาถิงกับเหมยซู่เหยาเดินจากที่นี่ไป
อาจารย์…หลังจากที่หลี่ชิเย่ทำร้ายจนเย่เมี่ยวเสวี่ยได้รับบาดเจ็บ ได้ก่อเกิดเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา นักศึกษาจำนวนมากต่างรู้เรื่องนี้ ดังนั้น เย่ซินเสวี่ย แขนเหล็กห่วงทองคำ และหลิวจินเซิ่นพวกเขาต่างตามมาจนพบ
เย่ซินเสวี่ยรีบร้องเรียกเสียงดังขึ้นมา เมื่อมองเห็นหลี่ชิเย่แต่ไกล กับแขนเหล็กห่วงทองคำและหลิวจินเซิ่นต่างวิ่งเข้ามาหา
เวลานี้มีนักศึกษาจำนวนไม่น้อยที่มองเห็นหลี่ชิเย่ แววตาของพวกเขาดูจะเปลี่ยนไป เนื่องจากหลังจากที่หลี่ชิเย่ทำร้ายเย่เมี่ยวเสวี่ยบาดเจ็บแล้วได้กลายเป็นเรื่องราวที่เดือดพล่าน กระทั่งมีนักศึกษามอบฉายาให้กับหลี่ชิเย่ว่า “อาจารย์จอมโหด!”
นักศึกษาทั้งหมดเมื่อพบเจอหลี่ชิเย่แล้วต่างรู้สึกขนลุกซู่ในใจ เมื่อได้ยินว่ายังไม่ทันใดก็เล่นงานนักศึกษาจนพิการ ในขณะนี้ภาพลักษณ์ในใจของนักศึกษานั้น หลี่ชิเย่ก็คือมังกรโหดร้าย
เมื่อพวกของเย่ซินเสวี่ยวิ่งเข้ามาถึง และมองเห็นเหมยซู่เหยา ทั้งเย่ซินเสวี่ย แขนเหล็กห่วงทองคำต่างถึงกับตะลึงงัน พวกเขาคือนักศึกษาของสถาบันศึกษาเทพเจ้า พวกเขาย่อมเคยได้ยินชื่อของเหมยซู่เหยามาก่อน พวกเขาไม่นึกเลยว่าเหมยซู่เหยาจะเดินอยู่ด้วยกันกับหลี่ชิเย่
เทพธิดาเหมย…หลังจากที่เย่ซินเสวี่ยพบกับหลี่ชิเย่แล้วจึ่งรีบเรียกทักทายเหมยซู่เหยาไป แววตาแสดงออกถึงความรักและชื่นชมอยู่หลายส่วน
“เทพธิดาเหมย นังหนูคนนี้คือผู้สนับสนุนอย่างแข็งขันของท่าน นับแต่วันแรกที่เข้าเรียนในสถาบันศึกษาเทพเจ้าก็ชื่นชมท่านอย่างยิ่ง” ในขณะนี้ แขนเหล็กห่วงทองคำได้พูดแทนเย่ซินเสวี่ย
พี่หวัง…คำพูดของแขนเหล็กห่วงทองคำทำให้เย่ซินเสวี่ยรู้สึกเก้อเขินยิ่งนัก มองค้อนแขนเหล็กห่วงทองคำเบาๆ รู้สึกน่าอายยิ่งนัก
เหมยซู่เหยายิ้มเรียบๆ ด้วยท่วงท่าที่มีความงดงามที่สุดในหล้า และกล่าวว่า “น้องสาวไม่จำเป็นต้องแหงนหน้ามอง ข้าเองก็เป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนธรรมดาเท่านั้น ขอเพียงมีความพยายามก้าวเดินไปข้างหน้า วันข้างหน้าไม่แน่นักเจ้าเองก็สามารถยืนอยู่บนจุดสูงสุดได้ สรรพสิ่งมีชีวิตต้องแหงนหน้ามองดูเจ้า”
คำพูดของเหมยซู่เหยาทำให้เย่ซินเสวี่ยต้องตะลึงนิดหนึ่ง นางเองนึกไม่ถึงเลยว่าเหมยซู่เหยาจะเป็นคนที่พูดดีขนาดนี้ นางยังเข้าใจว่าเหมยซู่เหยาจะยืนอยู่สูงเด่น อีกทั้งคำพูดลักษณะเช่นนี้ของเหมยซู่เหยาพลันสะกิดเส้นนั้นที่อยู่ภายในใจของนาง
“คำพูดนี้ของซู่เหยาข้าชอบ” หลี่ชิเย่พยักหน้าและยิ้มกล่าวว่า “หนทางยาวไกล พยายามเข้าไว้ ขอเพียงเจ้าไม่ลืมความตั้งใจแรกเริ่ม ก้าวเดินไปตลอด คงมีสักวันที่เจ้าต้องโผบินบนเก้าชั้นฟ้า เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องไปชื่นชมใครอีกแล้ว ตัวเจ้าเองที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดนั่น เป็นบรรดาสรรพสิ่งมีชีวิตที่ชื่นชมเจ้า”
เย่ซินเสวี่ยถึงกับตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ ขณะที่เถาถิงถึงกับครุ่นคิดอย่างละเอียดเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ ส่วนหลิวจินเซิ่นกลับคงความนิ่งเงียบเอาไว้
“ทั้งอาจารย์และเทพธิดาเหมยล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวทั้งคู่” แขนเหล็กห่วงทองคำเกาหัวแล้วก็กล่าวว่า “พวกท่านล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่ปีนขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุดทั้งสิ้น ข้าคงไม่ได้มีความทะเยอทะยานขนาดนั้น จุดสูงสุดนั้นข้าขอชื่นชมแต่ไกลก็พอแล้วหละ ขอเพียงสามารถดำเนินการกับตระกูลหวังของเราให้ได้ดีข้าก็พอใจแล้ว” ครั้นกล่าวมาถึงตรงนี้แล้ว เขาหัวเราะเหอะๆ ขึ้นมา
…………………………………………………