Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2049 สิบสี่
เมื่อหลี่ชิเย่พูดออกมาเช่นนี้ พลันดึงดูดผู้เฒ่าทั้งหมดของสถาบันศึกษาเทพเจ้าเอาไว้ และดึงดูดนักศึกษาทุกคนเอาไว้ รวมทั้งนักศึกษาที่อยู่ด้านนอกลานธรรมก็ไม่เว้น
“เคยมีผู้คนจำนวนมากถามข้าว่า อาจารย์ โลกนี้มีเซียนหรือไม่?” เมื่อหลี่ชิเย่กล่าวถึงตรงนี้ท่าทีของเขาดูหนักแน่นยิ่งนัก เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ส่วนใหญ่แล้วสำหรับปัญหาข้อนี้ข้าก็จะไม่ให้คำตอบ เนื่องจากปัญหาข้อนี้ไม่สามารถพูดให้ละเอียดมาก พูดละเอียดเกินไปก็จะทำให้เกิดเป็นมารผจญขึ้นภายในใจของเจ้า!”
“…วันนี้ สิ่งที่ข้าอยากจะพูดถึงก็คือ บนโลกของพวกเรา ในเก้าแดน ในสิบสามทวีปไม่มีเซียน แต่ สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าโลกนี้ไม่มีเซียน!” หลี่ชิเย่กล่าวช้าๆ ว่า “อย่างไรก็ตาม เซียนไม่ได้เหมือนอย่างที่จิตใจของพวกเจ้าจินตนาการเอาไว้อย่างนั้น เหนือศีรษะของพวกเรา เมื่อแหงานหน้าขึ้นมองดูท้องฟ้า เจ้าสามารถไปสำแดงจินตนาการของตนออกมาเต็มที่ ไปเพ้อฝัน ไปจินตนาการให้ไกล…”
“…พวกเจ้าอาจสามารถจินตนาการได้ว่า ที่ยึดครองพื้นที่เหนือศีรษะของพวกเจ้าก็คือเซียนที่เป็นอมตะตลอดกาล แต่ว่า พวกเจ้ากลับไม่ได้นึกถึงว่า บางทีสิ่งที่ยึดครองพื้นที่เหนือศีรษะพวกเข้าคือมารร้าย เป็นเงามืดที่พวกเจ้าไม่สามารถจินตนาการได้ตลอดกาล” เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้แล้ว ท่าทีของหลี่ชิเย่ดูหนักแน่นจริงจัง กล่าวต่อไปว่า “บางทีอาจะเป็นเซียน บางทีอาจเป็นมาร จะเป็นเซียนหรือมารเจ้าไม่รู้ คนอื่นก็ไม่รู้ แต่ว่า ท้ายที่สุดแล้ว อะไรกันแน่ที่กลายเป็นเซียน และอะไรกันแน่ที่กลายเป็นมาร! เป็นเพราะชาติกำเนิดรึ? เป็นเพราะเผ่าพันธุ์รึ? และหรือประสบการณ์ชีวิตรึ?”
“…ทั้งหมดล้วนไม่ใช่ เป็นเพราะหัวใจดวงหนึ่ง จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรดวงหนึ่ง! จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรดวงหนึ่งของเจ้าตัดสินเส้นทางในอนาคตของเจ้า ตัดสินว่าเจ้าเป็นเซียน หรือเป็นมาร!” หลี่ชิเย่กล่าวว่า “ความจริงแล้ว ยามที่เจ้าแหงนหน้ามองท้องฟ้า สิ่งที่สามารถเป็นตัวตัดสินเจ้าอยู่เสมอๆ ไม่ใช่ทักษะของเจ้า ไม่ใช่ตระกูลของเจ้า และไม่ใช่ประสบการณ์ชีวิตของเจ้า แต่เป็นจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรดวงหนึ่งของเจ้า!”
“…หนทางยาวไกล หนทางของพวกเรายาวมาก เคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งของเจ้า บางทีอาจเป็นตัวตัดสินว่าเจ้าสามารถก้าวเดินไปได้ไกลแค่ไหน แต่ว่า การตัดสินที่พักพิงสุดท้ายของเจ้ากลับเป็นจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของเจ้า! เมื่อเจ้ามีจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรเช่นใดอยู่ในครอบครองเช่นใด ก็ได้ตัดสินตำแหน่งของเจ้าแล้ว จิตใจกว้างขวางแค่ไหน ฟ้าก็จะกว้างเท่านั้น พื้นดินจึงจะกว้างเท่านั้น…” หลี่ชิเย่เอ่ยขึ้นช้าๆ ทุกคำพูดที่เข้าหูเสมือนหนึ่งเป็นเสียงสวรรค์อย่างนั้น
ทุกๆ คำพูดของหลี่ชิเย่ ล้วนแล้วแต่เอ่ยขึ้นมาช้าๆ ไม่ได้เกี่ยวพันถึงเคล็ดวิชาที่ลึกซึ้งและยอดเยี่ยมปราศจากผู้ต่อกร เพียงแค่พูดถึงจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรดวงหนึ่งเท่านั้น!
แค่พูดถึงเรื่องจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรดวงหนึ่งนี่แหละ กลับทำให้ทุกคนรับฟังอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน อย่าว่าแต่นักศึกษาที่อยู่ในเหตุการณ์เลย แม้แต่เซียนหวัง และเหล่าผู้เฒ่าของสถาบันศึกษาเทพเจ้าก็รับฟังอย่างสนุกสนานเพลิดเพลินเช่นกัน พวกเขาล้วนแล้วแต่ฟังจนลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง มีเพียงคำพูดแต่ละคำของหลี่ชิเย่เท่านั้น
แม้แต่กู่ฉวี่หังที่ท้าสู้กับหลี่ชิเย่ก็ฟังอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน เรียกได้ว่าเนื้อหาที่หลี่ชิเย่บรรยายในคาบนี้ล้วนเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเอื้อมถึงมาก่อนในอดีต กรทั่งกล่าวได้ว่าเป็นสิ่งที่เขาละเลยไปโดยสิ้นเชิง
“กล่าวได้ว่า แม้แต่กู่ฉวี่หังก่อนหน้านั้นก็ให้ความใส่ใจในเรื่องของจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรน้อยมาก กล่าวสำหรับเขาแล้วยังจะมีสิ่งใดสำคัญเหนือกว่าสุดยอดพรสวรรค์ของเขาได้เล่า?”
หลี่ชิเย่เอ่ยขึ้นมาช้าๆ ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษา หรือว่าผู้เฒ่าของสถาบันศึกษาเทพเจ้า และหรือเซียนหวัง กระทั่งม่อเชียนจวินก็นั่งฟังอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน
กล่าวได้ว่า การบรรยายคาบนี้ของหลี่ชิเย่ทำให้มีการรับรู้ของแต่ละคนแตกต่างกันไป ผู้ที่มีสติปัญญาด้อยฟังว่าต้องมั่นคงในสัจธรรม นักศึกษาประเภทอัจฉริยะฟังว่าจะต้องยืนหยัดในความตั้งใจแรกเริ่ม ส่วนผู้ที่แข็งแกร่งมากไปกว่านี้ เป็นต้นว่าเซียนหวังกลับจะตื่นตัวอย่างระมัดระวังกับอนาคตของตนเอง
เนื้อหาที่หลี่ชิเย่บรรยายนั้นช่างดึงดูดใจผู้คนเหลือเกิน แม้แต่เซียนหวังยังถูกดึงดูดอย่างยิ่งเช่นกัน ทำให้บังเกิดความจินตนาการไปไกลอย่างไม่มีขอบเขตจำกัด
เหมือนดั่งที่หลี่ชิเย่พูดเอาไว้อย่างนั้น บนโลกนี้มีเซียนหรือไม่? ถ้าหากมีเซียนอยู่จริง และจะเป็นผู้ดำรงอยู่ในสถานะเช่นใด ขณะที่ผู้เป็นเซียนหวัง คิดจะมุ่งไปบนเส้นทางของเซียนแท้จริง แล้วจะต้องยืนหยัดอย่างไร…
ขณะที่หลี่ชิเย่บรรยายออกมาช้าๆ ทุกคนที่อยู่ในบริเวณลานธรรมไม่มีใครที่บังเกิดสัจธรรมที่สอดประสานเกิดขึ้น ไม่มีกฎเกณฑ์ใดๆ ปรากฏ กระทั่งแม้แต่ผนังสัจธรรมก็ดูจะเงียบสงบเป็นพิเศษ
ดูเหมือนว่านาทีนี้ไม่เพียงนักศึกษาที่อยู่ในเหตุการณ์ ผู้เฒ่าของสถาบันศึกษาเทพเจ้า และเซียนหวังเท่านั้นที่กำลังตั้งใจฟังการบรรยายของหลี่ชิเย่ กระทั่งแม้แต่กฎเกณฑ์สัจธรรม กระทั่งเป็นสุดยอดสัจธรรมสูงสุดในเวลานี้ก็กำลังตั้งใจฟังการบรรยายของหลี่ชิเย่อย่างเงียบๆ
ตลอดเวลาที่ผ่านมา คนที่มาบรรยายในลานธรรม ผู้คนจำนวนมากจะอาศัยการสอดประสานของสัจธรรมที่รุนแรงหรืออ่อนมาเป็นตัวตัดสินว่าเนื้อหาการบรรยายของอาจารย์ผู้นี้ดีถึงระดับเช่นใด
แต่ทว่า ในขณะนี้ทุกคนต่างก็ถูกเนื้อหาที่หลี่ชิเย่บันยายนั้นดึงดูดอย่างเต็มที่ ทุกคนลืมสิ้นทุกอย่างที่อยู่นอกกาย ไม่มีใครไปใส่ใจเรื่องสัจธรรมสอดประสาน ไม่มีใครสนใจว่าตนเองนั้นได้รับอะไรมากน้อยเท่าไร ทุกคนต่างลืมเรื่องนี้ไปแล้ว สิ่งที่พวกเขาจำได้มีเพียงทุกๆ คำพูดของหลี่ชิเย่เท่านั้น
“หนทางยาวไกล อนาคตอันยาวไกลไร้ขอบเขต เส้นทางสายนี้จะเชื่อมไปที่ใด สุดท้ายแล้วยังต้องอาศัยตัวเจ้าเอง อาศัยจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของเจ้านำทางเจ้าก้าวไปข้างหน้า มันส่องสว่างบนเส้นทางของเจ้า…” ท้ายที่สุด หลี่ชิเย่ได้บรรยายคาบนี้จบสิ้นลง กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “การบรรยายในวันนี้ก็สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้”
พลันที่คำพูดของหลี่ชิเย่พูดขาดคำ ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ไม่ว่าจะเป็นนัดศึกษาของสถาบันศึกษาเทพเจ้า หรือผู้เฒ่าของสถาบันศึกษาเทพเจ้า และหรือเหล่าเซียนหวัง พวกเขาล้วนแล้วแต่ไม่สามารถเรียกสติคืนกลับมาจากคาบการบรรยายที่น่าตื่นเต้นในเวลานี้
ครั้นหลี่ชิเย่ได้ก้าวเดินลงมาจากแท่นบรรยาย พวกของผู้เฒ่าม่อจึงได้สติกลับมาจากการบรรยายที่ยอดเยี่ยมและน่าตื่นเต้นนั้น เวลานี้ ปรากฏเสียงปรบมือดั่งขึ้นก้องไปทั้งหุบเขาดั่งเสียงฟ้าร้อง
เปาะแปะ เปาะแปะ เปาะแปะเสียงปรบมือดังขึ้นมาไม่ขาดสาย ไม่ว่าจะเป็นพวกของผู้เฒ่าม่อที่เป็นผู้เฒ่าของสถาบันศึกษาเทพเจ้า หรือว่าเซียนหวังอย่างเช่นพวกราชันทักษิณต่างทยอยกันลุกขึ้นยืน มองตามการเดินจากไปของหลี่ชิเย่พร้อมด้วยเสียงปรบมือที่ให้ความเคารพ และอบอุ่นสูงสุด เป็นการแสดงความเคารพสูงสุดต่อหลี่ชิเย่
กล่าวได้ว่าคาบการบรรยายครั้งนี้ของหลี่ชิเย่น่าตื่นเต้นเหลือเกิน และสุดยอดเหลือเกิน แม้แต่ระดับเซียนหวัง และเหล่าผู้เฒ่าก็ได้รับดอกผลที่น่าตกใจ ทำให้พวกเขามีประสบการณ์ที่ใหม่ทั้งหมดเกิดขึ้นภายในใจ การบรรยายคาบนี้ของหลี่ชิเย่เป็นการเปิดประตูบานหนึ่งของพวกเขาอีกครั้ง
ตั้งแต่ต้นจนจบหลี่ชิเย่ไม่ได้พูดคำพูดที่ไร้สาระสักคำ กระทั่งคำพูดที่ท้าท้ายต่อกู่ฉวี่หังสักครึ่งคำก็ยังไม่มี หรือกล่าวให้ถูกต้องกว่านี้ก็คือขี้คร้านจะไปพูดถึง
“ดอกสัจธรรมบานแล้ว…” นาทีนี้เอง ไม่รู้ว่าใครร้องเสียงดังขึ้นมา บรรดาผู้อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ได้สติกลับมา สายตาทยอยพุ่งเป้าไปที่ผนังสัจธรรมที่อยู่ด้านหลังแท่นบรรยาย
เวลานี้ลวดลายเต๋าบนผนังสัจธรรมไม่ได้มีความเคลื่อนไหวที่สะเทือนฟ้าดิน กระทั่งแม้แต่ลวดลายเต๋าก็ยังไม่มีการกระเพื่อมแม้แต่น้อย เห็นเพียงดอกสัจธรรมดอกหนึ่งที่บานเบ่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ เสมือนดั่งเป็นกล้วยไม้ราตรีดอกหนึ่ง ภายใต้สภาพที่สงบเงียบอย่างยิ่ง และจิตใจที่สงบนิ่งอย่างยิ่ง ด้วยการเบ่งบานอย่างเงียบๆ ในกลางคืน โดยไม่กังวลว่าจะไม่มีใครมาชื่นชม
“หนึ่งกลีบ สองกลีบ สามกลีบ…” มีผู้ที่คอยนับกลีบดอกของดอกสัจธรรมดอกนี้อย่างเงียบๆ ขณะมองดูดอกสัจธรรมที่เบ่งบานเงียบๆ ดอกนี้
“สิบสองกลีบ…” มีนักศึกษาร้องเสียงดังขึ้นมาเมื่อดอกสัจธรรมเบ่งบานไปได้สิบสองกลีบ และกล่าวว่า “ดอกสัจธรรมที่มีกลีบดอกสิบสองกลีบ…”
“ไม่ ยังไม่สิ้นสุด เป็นสิบสามกลีบต่างหาก” ทุกคนต่างมองดูดอกสัจธรรมขณะที่เบ่งบานไปได้สิบสองกลีบแล้วเข้าใจว่าจะสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ ไม่นึกเลยว่าดอกสัจธรรมยังคงเบ่งบานต่อไป
“ดอกสัจธรรมทีมีกลีบดอกสิบสามกลีบ มันคือสิบสามกลีบ” เวลานี้แม้แต่นักศึกษาอัจฉริยะที่มองหลี่ชิเย่แล้วรู้สึกขัดลูกตาก่อนหน้านันก็ต้องร้องเสียงแหลมออกมา และกล่าวว่า “เป็นดอกสัจธรรมที่มีสิบสามกลีบ”
ทำให้นักศึกษาที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรู้สึกใจหายใจคว่ำ ดอกสัจธรรมที่มีกลีบดอกสิบสามกลีบ ผลงานเช่นนี้อยู่เหนือเซียนหวังอิเย่และผู้เฒ่าม่อเลยนะเนี่ย
สมควรทราบว่า เซียนหวังอิเย่คือเซียนหวังผู้มีชะตาฟ้าสิบสองสายในครอบครอง สำหรับผู้เฒ่าม่อนั้น เขาคืออาจารย์ที่มีคุณวุฒิสูงสุดและยอดเยี่ยมที่สุดของสถาบันศึกษาเทพเจ้า เวลานี้ หลี่ชิเย่ที่เป็นเพียงอาจารย์กลุ่มคนรุ่นใหม่ถึงกับแซงล้ำหน้าพวกเขา มีผลงานที่สะเทือนฟ้าด้านการถ่ายทอดความรู้ถึงเพียงนี้!
ดอกสัจธรรมสิบสามกลีบดอกที่สามถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว…แม้แต่อาจารย์กลุ่มคนรุ่นใหม่เช่นพวกอาจารย์โจวก็รู้สึกสะเทือนหวั่นไหว อาจารย์โจวพึมพำออกมาว่า “ได้ยินว่าตั้งแต่ครั้งอดีตที่เนิ่นนานมากก็ไม่เคยให้กำเนิดดอกสัจธรรมที่มีกลีบดอกสิบสามกลีบดอกที่สามแล้ว”
“ไม่ ไม่ใช่ ดอกสัจธรรมยังคงบานเบ่งอยู่” เวลานี้นักศึกษาที่จ้องมองอยู่กับดอกสัจธรรมตลอดเวลาร้องเสียงแหลมขึ้นมา และกล่าวว่า “เป็น เป็น เป็นกลีบดอกสิบสี่กลีบ! นักศึกษาผู้นี้รู้สึกตื่นเต้นยิ่งนักเมื่อได้เห็นเช่นนี้
“อะไรนะ ดอกสัจธรรมที่มีกลีบดอกสิบสี่กลีบ นี่ นี่ สี่มันไม่น่าเป็นไปได้กระมัง ตลอดเวลาที่ผ่านมาสูงสุดก็ได้แค่ดอกสัจธรรมที่มีกลีบดอกสิบสามกลีบนะเนี่ย” คำพูดเช่นนี้ทำเอานักศึกษาทั้งหมดที่อยู่ในเหตุการณ์ตกใจเป็นอย่างยิ่ง ต่างไม่อยากจะเชื่อคำพูดเช่นนี้
แต่ทว่า เมื่อทุกคนต่างจ้องมองไปที่นั่น มองเห็นดอกสัจธรรมสิบสี่กลีบกำลังเบ่งบานอยู่เงียบๆ มันเบ่งบานอยู่เหนือดอกสัจธรรมที่มีกลีบดอกสิบสามกลีบสองดอกนั่น
กลีบดอกสิบสี่กลีบ…อาจารย์กลุ่มคนรุ่นใหม่ล้วนแล้วแต่หวั่นไหวกับเรื่องนี้ ดวงตาทั้งสองเบิกกว้างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็นตรงหน้า กล่าวสำหรับพวกเขาแล้ว ภาพเช่นนี้เป็นภาพที่สร้างความสะเทือนหวั่นไหวมากที่สุด
“ที่แท้กลีบดอกสิบสามกลีบยังไม่ใช่ที่สุด” แม้แต่อาจารย์โจวก็ต้องพึมพำออกมาด้วยความเหม่อลอย
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ดอกสัจธรรมบนผนังสัจธรรมที่มีกลีบดอกมากที่สุดก็คือสิบสามกลีบ อีกทั้งตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ไม่มีใครทำลายสถิติเช่นนี้ได้ ดังนั้น ทุกคนจึงคิดว่าสิบสามกลีบคือที่สุดแล้ว ไม่นึกเลยว่าสิบสามกลีบจะยังไม่ใช่ที่สุดของมัน
ดอกสัจธรรมที่มีกลีบดอกสิบสี่กลีบ…เวลานี้ไม่ว่าใครก็ตาม ล้วนแล้วแต่ต้องใจหายใจคว่ำ
กู่ฉวี่หังพลันมีสีหน้าที่ขาวซีดขึ้นมาทันทีขณะมองดูดอกสัจธรรมที่มีกลีบดอกสิบสี่กลีบ เขาถือดีในพรสวรรค์ของตนอย่างยิ่งตลอดมา กระทั่งมองว่าเขาสามารถกลายเป็นเทพโบราณได้แค่เรื่องของเวลาเท่านั้น ช้าหรือเร็วสักวันเขาก็ต้องได้เป็นเทพโบราณ
กล่าวได้ว่า กู่ฉวี่หังมีความมั่นใจที่สูงมาก แต่ในชั่วพริบตาเดียวกันนี้ ขณะมองเห็นดอกสัจธรรมที่มีกลีบดอกสิบสี่กลีบ กู่ฉวี่หังรู้สึกเหมือนว่าทั้งเนื้อทั้งตัวของเขาถูกคนเขาดึงอย่างแรง คล้ายถูกค้อนยักษ์ทุบเข้าให้ที่อกอย่างแรง ทำให้เขาแม้แต่หายใจยังลำบากอยู่บ้าง
ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถแซงล้ำหน้าสิบสี่กลีบไปได้ ต่อให้กู่ฉวี่หังที่มีพรสวรรค์สูงที่สุด ต่อให้เขาคิดว่าตัวเองสามารถเป็นถึงเทพโบราณได้ สามารถยืนอยู่สุดสูงสุดได้ แม้เช่นนั้นเขาก็ไม่สามารถแซงล้ำหน้าผลงานที่อยู่ตรงหน้านี้ไปได้
ต่อให้กู่ฉวี่หังได้กลายเป็นเทพโบราณแล้ว สามารถเหนือกว่าเซียนหวังอิเย่ได้อย่างนั้นรึ? เกรงว่าเขาทำไม่ได้! เซียนหวังอิเย่ก็แค่กลีบดอกสิบสองกลีบเท่านั้นเอง ขณะที่หลี่ชิเย่กลับเป็นกลีบดอกสิบสี่กลีบ!